ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 299 ส่งคน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 299 ส่งคน

ในสมองลั่วเซิงเต็มไปด้วยคำว่า ‘บุตรชายของเจิ้นหนานอ๋อง’ ดังสะท้อนไปมา

บุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องกับองครักษ์ที่ช่วยชีวิตเขาถูกจับกุมตัวส่งมาถึงเมืองหลวงแล้ว…

สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว หันไปมองลั่วเฉินซึ่งอยู่ข้างกายแวบหนึ่ง

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป่าเอ๋อร์อยู่ที่นี่ บุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องที่ผิงลี่เอ่ยถึงนั้นเป็นใครกัน

“เป็นไปไม่ได้!”

เมื่อเผชิญกับสายตาตื่นตะลึงเล็กน้อยของผิงลี่ ลั่วเซิงก็ข่มคลื่นความรู้สึกที่โหดซัดสาดในใจ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ท่านพ่อข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท จะทำเรื่องพวกนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!”

ผิงลี่มองลั่วเซิงด้วยสายตาที่เจือไปด้วยประกายจนปัญญาหลายส่วน ราวกับมองเด็กไม่รู้ความ “คุณหนูสามอย่าโวยวายอีกเลย ข้าจะตรวจสอบให้ชัดเจนแน่นอน”

ลั่วเซิงโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย

‘โวยวาย’ คำนี้ใช้ได้น่าสนใจจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูลั่วตัวจริงที่เผชิญเรื่องแบบนี้กะทันหัน ได้ยินผิงลี่พูดแบบนี้ เกรงว่าคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในทันที

ลั่วเซิงยิ่งสงบเยือกเย็น จ้องผิงลี่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางถาม “พี่ใหญ่เตรียมจะตรวจสอบให้ชัดเจนอย่างไรหรือ”

ผิงลี่แววตาไหววูบ

จำเป็นต้องพูดว่า ปฏิกิริยาตอบสนองของคุณหนูสามอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา

หากว่านังหนูนี่โวยวายขึ้นมาก็จะจัดการได้ง่าย จวนแม่ทัพใหญ่ประสบภัยพิบัติ สั่งคนให้ดูแลคุณหนูลั่วให้ดี อย่าให้ออกมาสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีกก็ไม่มีใครพูดอะไรได้

“ย่อมตรวจสอบขุนนางที่ร้องเรียนท่านพ่อบุญธรรมว่ามีคนบงการหรือไม่ ในนั้นมีความเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า…” ผิงลี่ซ่อนความหงุดหงิดไว้ในก้นบึ้งนัยน์ตา “คุณหนูสาม ข้าจะจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อย ท่านกับพวกพี่สาวน้องสาวอดทนรอก็พอ”

“อดทนรอหรือ” ลั่วเซิงมองผิงลี่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “พี่ใหญ่ หากว่าฝ่าบาทตัดสินว่าท่านพ่อมีความผิด จะมีโทษประหารเก้าชั่วโคตรใช่หรือไม่ เช่นนั้นท่านก็กลายเป็นคนที่มีความผิดด้วย แล้วจะช่วยล้างมลทินให้ท่านพ่อได้อย่างไร”

เมื่อวาจานี้หลุดออกมา เสียงร่ำไห้ของบรรดาอี๋เหนียงพลันดังขึ้น

ผิงลี่มุมปากกระตุก เอ่ยปลอบประโลม “ยังไม่ถึงขั้นนั้น เรื่องเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องขุนนางกบฏ อย่างไรก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนถึงจะมีข้อสรุป”

“นั่นก็หมายความว่า ยังมีเวลาเหลือให้พี่ใหญ่?”

ผิงลี่ได้ยินวาจานี้ก็รู้สึกอึดอัดใจพิลึก

อันใดที่เรียกว่ายังมีเวลาเหลือให้เขาอีก ราวกับเวลาที่เขาจะมีชีวิตอยู่เหลือไม่มากแล้วอย่างนั้นแหละ

แต่เมื่อมองเด็กสาวที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าแล้วก็คล้ายกับว่าเขาคิดมากไปเอง

ผิงลี่ทำได้แค่พยักหน้า

“ท่านพ่อถูกพาตัวไปที่ไหนหรือ”

“ตอนนี้ถูกคุมขังไว้ที่กรมยุติธรรม”

ลั่วเซิงนัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน “เช่นนั้นพี่ใหญ่ยังจะทำอะไรอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่อีก เหตุใดจึงไม่ตามไปดูที่กรมยุติธรรมกัน?”

ผิงลี่ “…”

ผิงลี่ข่มเพลิงโทสะ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ คุณหนูสามอย่าได้สร้างความวุ่นวาย เฝ้ารออยู่ในจวนอย่างสงบเถอะ”

“ได้ ข้าจะรอข่าวจากพี่ใหญ่”

ผิงลี่โล่งใจเล็กน้อย ทักทายลั่วเฉินและคนอื่นๆ แล้วนำองครักษ์จิ่นหลินหน่วยหนึ่งเร่งฝีเท้าจากไป

ลั่วเซิงมองคนเหล่านั้นหายลับไปจากประตูสีแดงบานใหญ่อย่างเย็นชา หยาดน้ำตาในนัยน์ตาเลือนหายไป กลับคืนสู่ประกายสดใส

“ปิดประตูให้เรียบร้อย!”

ในจวนลั่วคุ้นชินกับการที่คุณหนูลั่วพูดคำไหนคำนั้นจึงมีข้ารับใช้ไปปิดประตูใหญ่ทันที

ลั่วเซิงกวาดตามองรอบหนึ่งแล้วหยุดอยู่ที่ใบหน้าอี๋เหนียงใหญ่ “อี๋เหนียงใหญ่ กิจทั่วไปในจวนมอบให้ท่านแล้ว ทำทุกอย่างเหมือนปกติก็พอ”

“คุณหนูโปรดวางใจ”

ลั่วเซิงมองลั่วเฉิน “เจ้าเป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัวพวกเรา ดูแลพวกพี่สาวให้ดี”

“ท่านจะไปไหนหรือ” ลั่วเฉินฟังออกถึงความหมายในวาจาของลั่วเซิง

“ข้าจะกลับไปหอสุรา”

ทุกคนได้ยินวาจานี้ก็ตะลึง

ตอนนี้คุณหนูสามยังจะมีความคิดกลับไปมีหอสุราอีกหรือ

ลั่วเฉินกลับคล้ายจะเดาอะไรได้ ลังเลอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งก็พยักหน้า “ได้ ท่านกลับมาเร็วหน่อย”

คุณชายสามเซิ่งตามลั่วเซิงไป “น้องลั่ว แล้วข้าล่ะ”

ลั่วเซิงลังเลครู่หนึ่ง พลางเอ่ยว่า “ท่านพี่กลับไปหอสุรากับข้าเถอะ ทางด้านนั้นก็ขาดคนไม่ได้”

คุณชายสามเซิ่งคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนนี้ยังต้องกลับไปที่หอสุรา แต่กลับตามไปเงียบๆ

เขาไม่เข้าใจการวิวาทเหล่านี้และไม่มีความสามารถอะไรได้ สิ่งที่สามารถทำได้คือเคียงข้างญาติผู้น้องทั้งคู่

ญาติผู้น้องให้เขากลับไปที่หอสุรา เช่นนั้นเขาก็จะกลับหอสุรา

ฟ้าพลันมืดครึ้ม ยังไม่ถึงตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน ฟ้าก็มืดแล้ว

ธงสุราสีเขียวหน้าประตูมีหอสุราสั่นไหวท่ามกลางลมหนาว แสงไฟสลัวในหอสุราเผยให้เห็นถึงความเย็นยะเยือกชัดเจนหลายส่วน

ราวกับฤดูหนาวมาเยือนกะทันหัน

ท่ามกลางความเหน็บหนาวมืดสลัว เงาร่างสีแดงสดใสสะดุดตาเป็นอย่างมาก

เสี้ยววินาทีที่ลั่วเซิงเห็นเว่ยหาน ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ

นางไม่ชอบหลอกตัวเองและผู้อื่น อาศัยคำพูดและการกระทำในหลายวันมานี้ของไคหยางอ๋องก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าเขาจะมา

การที่นางกลับมาหอสุรา ไม่ได้เป็นเพราะเขาจะมา แต่เห็นเขามาแล้ว ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หัวใจที่แข็งและเย็นเยือกพลันมีความรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นางไม่ใช่คนซื่อๆ เชื่องช้าแต่กำเนิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกกลัว ความแค้น…กระทั่งความซาบซึ้งใจ อารมณ์ความรู้สึกที่ควรมีนั้นไม่ขาดไปสักอย่าง

เว่ยหานก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา

“วันนี้ท่านอ๋องมาเช้าแล้ว”

เว่ยหานจ้องดวงหน้าเด็กสาวที่ยังคงสงบนิ่ง พลางเอ่ยว่า “ไม่ มาช้าไป”

ลั่วเซิงนัยน์ตาสั่นไหวเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงปกติ “วันนี้หอสุราเปิดทำการตามปกติ ท่านอ๋องเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”

“ไม่เข้าไปแล้วล่ะ มีเรื่องต้องทำอีก ข้าจะมาบอกกับคุณหนูลั่วว่า เรื่องของบิดาเจ้า ข้าจะพยายามสอบถามให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด”

ลั่วเซิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ย่อเข่าลงเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องมากเจ้าค่ะ”

“พวกสือหั่วสามคนจะรั้งทำงานจิปาถะอยู่ที่หอสุราชั่วคราว คุณหนูลั่วมีเรื่องอะไรก็สั่งพวกเขาได้เลย”

ด้านหลังเว่ยหานมีชายหนุ่มยืนอยู่สามคน คนแรกคือสือหั่วที่เพิ่งได้พบกันริมแม่น้ำจินสุ่ยไม่นานมานี้ สืออี้ดวงหน้านี้ล้วนได้เห็นทุกวัน และหนึ่งในนั้นเพิ่งได้พบกันครั้งแรก แต่นัยน์ตาและคิ้วกลับคุ้นเคย

เว่ยหานกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง พลางเอ่ยเรียบๆ “แนะนำตัวเองกับคุณหนูลั่วสักหน่อย”

“ข้าน้อยสือหั่วขอรับ”

“ข้าน้อยสือเหยียนขอรับ”

“ข้าน้อยสืออี้ขอรับ”

สามพี่น้องประสานหมัดทำความเคารพลั่วเซิง

สือเยี่ยนที่แต่งกายเหมือนเสี่ยวเอ้อร์ของร้านลังเลเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร

เขาเป็นคนของหอสุราไปนานแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้

“ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้…”

“คุณหนูลั่วไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” เว่ยหานเอ่ยขัดคำพูดนางแล้วหมุนตัวจากไป

ลั่วเซิงยืนอยู่หน้าประตู ไม่ขยับเขยื้อนชั่วขณะ

พวกสือหั่วสามคนยืนประสานมือ โดยไม่พูดอะไรสักคำ

สือเยี่ยนเขยิบเข้ามา “คุณหนูลั่ว มีเรื่องอะไร ไม่สู้เข้าไปด้านในค่อยจัดการเถอะขอรับ”

ลั่วเซิงก้าวเท้าเข้าไปในหอสุรา

ภายในห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา คล้ายจะไม่มีความแตกต่างจากวันวาน

ลั่วเซิงเดินไปข้างตู้คิดเงิน แล้วนั่งลง

“น้องลั่ว ต่อไปพวกเราจะทำอะไรกันหรือ”

“ท่านพี่ทำเหมือนปกติก็พอ”

“เอ่อ…” คุณชายสามเซิ่งอึกอัก สุดท้ายก็หยิบผ้าเช็ดเหงื่อสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมาพาดบนบ่าเงียบๆ

ลั่วเซิงกลับมาหอสุราเพราะต้องการรอคนผู้หนึ่ง นั่นก็คือเสนาบดีจ้าวผู้ควบคุมดูแลกรมยุติธรรม

หากว่ารอแล้วไม่ได้พบ นางก็จะเป็นฝ่ายไปหาเอง

ทว่าหลังจากได้พบกับเว่ยหาน นางก็เปลี่ยนความคิด

ในเมื่อไคหยางอ๋องบอกว่าจะไปสอบถามสถานการณ์ ไม่สู้รอดูอีกสักหน่อย

ทำความเข้าใจสถานการณ์อีกหน่อยค่อยลงมือปฏิบัติการ ดีกว่าไม่รู้สถานการณ์อะไรแล้วกระทำการวุ่นวายไปหมด

ถึงเวลาเปิดทำการของหอสุราแล้ว กลิ่นหอมของอาหารค่อยลอยออกไป ทว่าตั้งแต่หอสุราเปิดทำการจนปิดทำการก็ไม่มีนักดื่มมาเลยสักคน

คุณชายสามเซิ่งมองเด็กสาวนั่งโดดเดี่ยวข้างโต๊ะคิดบัญชีแล้วรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้างจึงปลอบโยนอย่างระมัดระวัง “น้องลั่ว เจ้าอย่าเสียใจไปเลย คนเหล่านี้ไม่มาก็เป็นการขาดทุนของพวกเขา”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “มุ่งหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตราย เป็นสิ่งตามธรรมชาติที่มนุษย์ต้องพบเจอ ดูท่าข่าวคราวจะแพร่ออกไปเร็วมาก พวกเรากลับจวนกันเถอะ”

คนทั้งขบวน รวมถึงสามพี่น้องสือหั่วเดินย่ำน้ำค้างแข็งกลับจวนแม่ทัพใหญ่

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท