ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 305 เวลา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 305 เวลา

เว่ยหานรู้ว่าลั่วเซิงร้อนใจจึงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “สิบสองปีก่อน หลังจากองครักษ์นายนั้นพาบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องหลบหนีไปก็ไปพำนักอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่งในอําเภอหลิวชิง ต่อมาได้แต่งงานมีลูกลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น…คนที่อยู่ทางตอนใต้ของข้าพบว่าภรรยาและลูกชายขององครักษ์นายนั้นถูกคนคุมตัวเอาไว้ องครักษ์นายนั้นอาจถูกข่มขู่จากเรื่องภรรยาและลูกจึงชี้ความผิดไปที่แม่ทัพใหญ่”

“เช่นนั้นสืบพบคนที่บีบบังคับภรรยาและลูกของเขาแล้วหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะช่วยภรรยาและลูกของเขาออกมา”

“คนที่ออกมาข่มขู่พวกเขาไม่แน่ว่าจะเป็นผู้บงการเบื้องหลังตัวจริง หากต้องการสืบหาให้ชัดแจ้งคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก” เมื่อทนเห็นเด็กสาวต้องผิดหวังต่อหน้าไม่ได้ เว่ยหานจึงเอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ลูกน้องของข้าค่อนข้างเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือตัวประกัน คิดว่าไม่ใช่เรื่องยากที่ช่วยภรรยาและลูกของเขามาจากเงื้อมมือคนเหล่านั้น แต่ถึงจะช่วยออกมาแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักในการพาตัวประกันส่งมายังเมืองหลวง…”

สิ่งที่แตกต่างกับข่าวที่นกพิราบส่งมาก็คือ การพาเด็กและสตรีที่เข้าเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สำเร็จ

ลั่วเซิงก้มหน้าครุ่นคิด เอ่ยว่า “แม้องครักษ์จะรู้ว่าภรรยาและลูกชายของเขาถูกส่งมาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเขาจะกลับคำให้การ”

องครักษ์เป็นคนของจวนเจิ้นหนานอ๋อง ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของฮ่องเต้มานานแล้ว ภรรยาและลูกของเขามาถึงเมืองหลวงก็ไม่ต่างอะไรจากการอยู่กับคนเหล่านั้น มีแต่ตายสถานเดียวเช่นเดียวกัน

หากเปลี่ยนให้นางเป็นองครักษ์ คงไม่มีความรู้สึกดีต่อแม่ทัพใหญ่ลั่วซึ่งนำกองทหารไปปิดล้อมจวนเจิ้นหนานอ๋อง ในเมื่อถึงอย่างไรล้วนต้องตาย จะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องล้างความผิดให้แม่ทัพใหญ่ลั่วด้วย

นอกเสียจาก…ให้ทางรอดแก่ภรรยาและลูกชายของเขา

ลั่วเซิงคิดถึงตรงนี้ก็ได้ยินเว่ยหานเอ่ยว่า “ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะมอบภรรยาและลูกของเขาให้แก่กรมตุลาการทั้งสามแห่ง”

ลั่วเซิงตกใจเล็กน้อย มองเขาเงียบๆ

ชายที่อยู่ตรงหน้าเม้มปากยิ้ม “เก็บไว้ในมือของข้า เอาไว้ใช้ข่มขู่องครักษ์นายนั้นจะดีกว่า”

“ข่มขู่งั้นหรือ” แววตาของลั่วเซิงเป็นประกาย

ต้องยอมรับเลยว่า ชายที่อยู่ตรงหน้ามักทำเรื่องที่คนคาดคิดไม่ถึง

เว่ยหานหัวเราะ “พูดว่าข่มขู่ก็คงไม่ถูกต้อง ควรเรียกว่าให้โอกาสรอดแก่ภรรยาและลูกของเขาดีกว่า เราจะคุ้มครองชีวิตภรรยาและลูกของเขาได้ยากหากส่งพวกเขาออกไป การที่เก็บไว้ในมือของข้า ตราบใดที่เขายอมคืนความบริสุทธิ์ให้แก่แม่ทัพใหญ่ ข้าก็รับปากว่าจะคุ้มครองภรรยาและลูกของเขาไปตลอดชีวิต”

ลั่วเซิงขยับริมฝีปาก

นางอยากกล่าวขอบคุณ แต่รู้สึกว่าคำขอบคุณนั้นเบาบางเกินไป

สุดท้าย เสียงนั้นก็ถูกกลืนหายไป

“เพียงแต่พวกเรายังมีอีกหนึ่งปัญหา”

“เรื่องเวลาใช่หรือไม่” ลั่วเซิงถาม

สายตาของเว่ยหานมีความชื่นชมวาบผ่าน เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง เวลา เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการจัดการ แต่ในระหว่างนี้แม่ทัพใหญ่สามารถถูกกำหนดโทษได้ตลอดเวลา คาดว่าต้องใช้แรงต่อต้านค่อนข้างมากหากถูกกำหนดโทษแล้ว”

ตำแหน่งสูงส่งอย่างแม่ทัพใหญ่ลั่ว การกำหนดโทษเป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึงให้คนทั่วแผ่นดิน ไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างง่ายดายได้

ลั่วเซิงหลุบตาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ามีวิธีหาเวลาเพิ่มได้ เรื่องอื่นๆ คงต้องรบกวนท่านอ๋องด้วยแล้ว”

นางลุกขึ้นและแสดงความเคารพอย่างจริงจัง

เว่ยหานยื่นมือไปประคอง “คุณหนูลั่วไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรทำแล้ว”

สมควรทำงั้นหรือ

ลั่วเซิงคิ้วกระตุก อดเหลือบมองเขาไม่ได้

เว่ยหานไม่คิดว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เขาดึงมือกลับแล้วกล่าวว่า “ข้าไปจัดการก่อนสักหน่อย หากคุณหนูลั่วมีธุระอะไรก็บอกสือหั่วและคนอื่นๆ ให้ส่งจดหมายมารายงานข้า”

“ท่านอ๋องค่อยๆ เดิน”

ลั่วเซิงส่งเว่ยหานเดินออกจากห้องโถง หงโต้วที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ยื่นกล่องอาหารที่เตรียมเอาไว้ไปให้ “ท่านอ๋อง อาหารของท่านเจ้าค่ะ”

เว่ยหานรับกล่องอาหารมา รู้สึกว่าหนักกว่ากล่องอาหารครั้งก่อนเล็กน้อยจึงยกยิ้มมุมปากและก้าวเท้ายาวๆ ออกไป

หงโต้วเดินมาข้างกายลั่วเซิงและถามขึ้นว่า “คุณหนู ตอนบ่ายท่านจะไปส่งข้าวให้แม่ทัพใหญ่ที่ศาลาว่าการหรือไม่เจ้าคะ”

“ต้องไปแน่นอน”

“ให้บ่าวไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะอย่างไรก็ไม่ได้พบแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว บ่าวไปก็คงไม่ต่างกัน”

โค่วเอ๋อร์ดึงหงโต้วทีหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “หงโต้ว เจ้าพูดไม่เก่งก็เก็บปากไว้กินข้าวเถอะ!”

หงโต้วกลอกตาอย่างไม่ยอม “คุณหนูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ มีแต่เจ้านั่นแหละที่พูดมาก”

ยัยเด็กอันธพาลช่างดื้อรั้นจริงๆ

จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้หอสุราเงียบเหงามาก ไม่มีใครมาแย่งกินอาหารกลับทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย

ลั่วเซิงเอ่ยปาก “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องส่งอาหาร นี่คือความกตัญญูที่ข้ามีต่อท่านพ่อ”

และเป็นหนทางในการซื้อเวลาให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว ในที่สุดก็ได้เวลาเก็บแหเสียทีหลังจากเตรียมการล่วงหน้ามาหลายวัน

เสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านพี่ ให้ข้าไปเถอะ”

ลั่วเซิงมองเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลั่วเฉิน เจ้ามาที่หอสุราได้อย่างไรกัน”

เด็กหนุ่มเอ่ยเยาะเย้ยตนเอง “ข้าอยู่ในจวนก็ไม่มีอะไรทำ อย่างน้อยมาที่หอสุราก็พอมีงานจิปาถะให้ทำบ้าง”

เมื่อถึงเวลาแบบนี้จริงๆ เขาจึงรู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถมากพอ

ลั่วเซิงเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ยังสามารถคิดหาวิธีไปพบท่านพ่อและทำอาหารรสเลิศไปให้ท่านพ่อทุกวันได้ ถึงขั้นได้รับการช่วยเหลือจากไคหยางอ๋อง วิ่งวุ่นแก้สถานการณ์แทนท่านพ่อ

แต่เขาทำได้เพียงรออยู่ในจวน ฟังเหล่าอี๋เหนียงร้องไห้ระงม

“วันนี้ข้าไปส่งอาหารให้ท่านพ่อเอง”

“ไม่ได้”

เด็กหนุ่มสีหน้าเคร่งเครียด “ทำไมเล่า”

“เด็กสาวไปส่งอาหารจะเหมาะสมกว่า”

“แล้วข้าเล่า”

เมื่อมองเด็กหนุ่มที่ขมวดคิ้วแน่น ลั่วเซิงก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเหมาะสมที่จะอยู่ในจวนเพื่อปลอบใจคนที่เหลือ”

“ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า” สีหน้าของลั่วเฉินเย็นชามากขึ้น “ตอนที่ข้าออกจากบ้านวันนี้ มีพวกไอ้พวกเศษสวะมาอยู่หน้าบ้านมากขึ้นอีกแล้ว”

ท่านพ่อยังไม่ได้ถูกกำหนดโทษ ผู้คนที่เคยแค้นเคืองต่อแม่ทัพใหญ่กระทั่งพวกว่างงานที่ชอบสร้างสถานการณ์ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อนาคตข้างหน้าไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้แล้วว่าเป็นเช่นไร

ลั่วเซิงหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้ บนโลกนี้มักเกิดการซ้ำเติมกันอยู่แล้ว เมื่อคืนความบริสุทธิ์ให้ท่านพ่อได้ เรื่องเลวร้ายเหล่านี้ก็จะมลายหายไปจนสิ้น”

“หากไร้หนทางทวงคืนความบริสุทธิ์ให้ท่านพ่อเล่า” ลั่วเฉินย้อนถาม

ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบว่า “หากโทษไม่พัวพันถึงคนในตระกูล เช่นนั้นเจ้าในฐานะบุตรชายคนเดียวของจวนลั่วก็ต้องทำให้ตระกูลอยู่รอดต่อไปให้ได้ แต่หากความผิดพัวพันถึงคนในตระกูล พวกเราจะได้ไปอยู่กับท่านพ่อแน่นอนและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนใจคนน่าชิงชังเหล่านั้น”

น้องชายคือเป่าเอ๋อร์ ท่านอ๋องน้อยแห่งจวนเจิ้นหนานอ๋อง และยังเป็นลั่วเฉิน บุตรชายของแม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยเช่นกัน

“กลับจวนเถอะ เจ้าอยู่ในจวน ผู้คนจึงจะรู้สึกอุ่นใจ”

ลั่วเฉินเม้มปากครุ่นคิดอยู่นานจึงพยักหน้า “ได้ ข้าจะกลับไป”

อีกไม่นานก็จะถึงเวลากินอาหารเย็นแล้ว

มีหอสุรายังคงไม่มีลูกค้า ได้แต่ปล่อยให้กลิ่นหอมลอยออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

ลั่วเซิงถือกล่องอาหารสองกล่องไปยังศาลาว่าการของกรมยุติธรรม

เสนาบดีจ้าววางหนังสือในมือลง เมื่อมองสีของท้องฟ้าก็ใจลอยอย่างเงียบๆ

วันนี้เวลาผ่านไปช้าจัง

“ใต้เท้า เสนาบดีเฉียนมาหาท่านขอรับ”

เสนาบดีจ้าวได้ยินดังนั้นก็ตื่นตัวในทันที

เหล่าเฉียนเป็นเสนาบดีกรมโยธา เกิดอะไรขึ้นถึงมาหาเขาในเวลางานเช่นนี้

เพิ่งคิดจะให้ลูกน้องไปบอกว่าเขาไม่อยู่ก็เห็นเสนาบดีเฉียนเดินเข้ามาอย่างว่องไวแล้ว

“สหายจ้าว ยังไม่เลิกงานอีกหรือ”

เสนาบดีจ้าวซ่อนความตื่นตัวเอาไว้ในใจพลางหัวเราะเหอะๆ “ก็เพราะยุ่งไม่ใช่หรือไร สหายเฉียนเลิกงานแล้วหรือ”

เสนาบดีเฉียนพูดอย่างยินดี “ช่วงนี้กรมโยธาไม่ค่อยยุ่ง ข้าจึงมาดูว่าสหายจ้าวมีสิ่งใดให้ช่วยเหลือได้บ้าง”

เสนาบดีจ้าวได้ฟังก็โมโหขึ้นมา แทบอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเสนาบดีเฉียน

ช่วยเหลือ? คงได้ข่าวว่าคุณหนูลั่วมาส่งข้าวให้เขาแล้วสินะ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท