บทที่ 250 ฟังเสียงนับหมื่นคุ้มค่าชั่วชีวิต-2
ยามเที่ยงของวันก่อนออกเดินทาง
เสิ่นชิงชิวและตี๋เหว่ยไท่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งด้วยความกระตือรือร้นสุดขีด
ตบโต๊ะให้เสี่ยวเอ้อร์นำสุราฤทธิ์แรงที่สุดในร้านจัดวางจนเต็มทั่วทั้งโต๊ะ
“ท่านจอมยุทธ์น้อยทั้งสอง จะออกเดินทางไกลหรือขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมล้วนแล้วแต่ฉลาดทันคน
แม้จะไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือก็ตาม
แต่เมื่อผ่านไปนานเข้าภายใต้สิ่งที่พบเห็นและได้ยิน เมื่อพบเจอใครล้วนเสวนากันอยู่หลายประโยค
“ถูกต้อง! ฉะนั้นจึงต้องการสุราฤทธิ์แรงและขอเยอะๆ ด้วย!”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจให้ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างพากันหันหน้ามา
หมายจะดูว่าทั้งสองคนนี้รูปร่างท่าทางเป็นเช่นไร
ระหว่างรอสุรา
ตี๋เหว่ยไท่ไม่เอ่ยวาจา
เสิ่นชิงชิวก็เช่นเดียวกัน
พวกเขาต่างจินตนาการถึงโลกยุทธภพในหัว ยุทธภพผืนนี้จะต้องน่าตื่นเต้นสักเพียงใด
อิสระรื่นรมย์ ร่ำสุราตวัดดาบ
ไม่แน่ว่าอาจจะหาหญิงงามมาเคียงข้างกาย
สุขสมอารมณ์หมาย!
แต่เมื่อสุราวางเต็มทั่วทั้งโต๊ะ
ทั้งสองสบตากันและยิ้มขมขื่น
เดิมคิดว่าหลังจากดื่มสุราแล้วจึงจะนับว่าเข้าสู่ยุทธภพ
คิดไม่ถึงว่า
ยุทธภพนี้จะเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้
ออกไปเลี้ยวซ้าย ห่างออกไปไม่ถึงห้าสิบก้าว
ทั้งสองได้สัมผัสถึงความมืดมนและการต่อสู้ดิ้นรนในยุทธภพแล้ว
เพราะเสี่ยวเอ้อร์ดูเหมือนจะอัธยาศัยดี
นำสุราฤทธิ์แรงให้พวกเขา
ทุกกาล้วนผสมน้ำทั้งสิ้น…
อันที่จริงหัวใจของตี๋เหว่ยไท่เปลี่ยนไปตั้งแต่ก่อนที่จะเดินทางแปดพันลี้ สายลมพัดแปดพันลี้เสียอีก
เพราะสุราฤทธิ์แรงผสมน้ำกานี้
ทว่าหัวใจของเสิ่นชิงชิวมีความมุ่งมั่นขึ้นนับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา
ตี๋เหว่ยไท่จ่ายเงินและลากเสิ่นชิงชิวเตรียมจากไป
แม้จะไปตามหาร้านสุราดองในเมือง
สั่งเหล้าขาวสองสามจิน
อย่างน้อยก็เป็นของแท้
แต่เสิ่นชิงชิวกลับคว่ำโต๊ะ
แม้เขาจะไม่ชักกระบี่
แต่กลับเอาฝักกระบี่กดแนบลำคอเถ้าแก่ร้าน
บังคับให้เปลี่ยนสุราปลอมผสมน้ำทั้งหมดบนโต๊ะเป็นสุราฤทธิ์แรงของจริงกาแล้วกาเล่า
ผลลัพธ์สุดท้ายสามารถจินตนาการได้
หลังจากดื่มมากไป
นอกจากเสิ่นชิงชิวที่ปกป้องกระบี่ของตนอย่างไม่คิดชีวิตแล้ว
ทั้งสองถูกเปลื้องผ้าเหลือเพียงชั้นในแล้วโยนออกมา
เสิ่นชิงชิวใบหน้าช้ำบวมปูดหัวเราะดังลั่น
ทว่าตี๋เหว่ยไท่เผาโรงเตี๊ยมแห่งนั้นในคืนนั้น
แม้ว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกเขาก็ตาม
แต่การเปลี่ยนแปลงของคนผู้หนึ่ง มาจากการสะสมเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไม่ใช่หรือ
หอทรงภูมิทางทิศใต้ก็เคยมีนักปราชญ์เช่นกัน
ปราชญ์เคยว่าไว้ ‘ไม่สั่งสมก้าวเดินย่อมไปไม่ถึงพันลี้ ปราศจากแม่น้ำสายเล็กย่อมไม่มีธาราและสมุทร’
แม้ว่านี่จะเป็นหลักการศึกษาเรียนรู้ก็ตาม
แต่สายบุ๋น สายบู๊ล้วนต้องมีมนุษยธรรม
คนฝึกยุทธ์
คนร่ำเรียนตำรา
คนชั่วฝึกยุทธ์ย่อมเผาฆ่าปล้นชิง
คนชั่วร้ายศึกษาตำราย่อมมากด้วยอุบายแผนการ
สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่บู๋นบู๊
แต่อยู่ที่ผู้ฝึกยุทธ์และผู้ศึกษาตำรา
แม้ในตอนแรกตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิวสัญญาว่าจะเดินทางไปยังสุดขอบฟ้า
ทว่านับตั้งแต่จากลาสตรีวัยเยาว์ผู้นั้น
พวกเขาพลันเปลี่ยนเป้าหมาย
สำหรับชายหนุ่มแล้ว
นี่เป็นเรื่องปกติ
ทิศทางของพวกเขาเดิมก็ควรจะมาจากทุ่งหญ้าถึงทะเลทรายทางใต้ จากเมืองหลวงถึงทะเลบูรพา
เลาะเลียบตามเชิงเขา ไม่มีข้อจำกัด
พบคนนับหมื่นบรรลุการเป็นมนุษย์
ฟังเสียงนับหมื่นคุ้มค่าชั่วชีวิต
………………..
“เจ้ายังดื่มสุราได้หรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่ปริปากถามก่อน
เสิ่นชิงชิวยังคงมีสีหน้าภาคภูมิใจ
เขาไม่สนใจว่าตี๋เหว่ยไท่จะเอ่ยกล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น
“หากเจ้าไม่ดื่ม ข้าจะดื่มหนึ่งจอก”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“จอกเดียวหรือ”
เสิ่นชิงชิวย้อนถามแกมดูแคลน
“เจ้าอยากดื่มกี่จอก”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เสิ่นชิงชิวไม่ตอบ
แต่เขาเชื่อมั่นว่าตี๋เหว่ยไท่จะเข้าใจความคิดของตน
วินาทีที่ตี๋เหว่ยไท่ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
เสิ่นชิงชิววางมือซ้ายบนพื้น คลานลุกขึ้นอย่างลำบากยิ่งนัก
เขาใช้มือซ้ายดึงปกเสื้อตรงหน้าออก
จากนั้นยัดแขนขวาที่สูญเสียไปแล้วเข้าไป
จากนั้นจ้ำเท้าเดินข้างกายตี๋เหว่ยไท่
ตี๋เหว่ยไท่พลันแข็งทื่อ
ขาทั้งคู่ตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นชิงชิวมองเห็นแต่ไม่ได้ถือสาใดๆ
ยกแขนซ้ายขึ้นสูง
พาดบนไหล่ของตี๋เหว่ยไท่สบายๆ
“แม้ว่าข้าจะเอาแต่พูดว่าชาติหน้า แต่อย่างน้อยชาตินี้ข้าก็มีชีวิตที่มีความสุขมาก”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“เจ้าเกลียดชังข้ามากเท่าใดก็พูดมาตรงๆ หรืออีกเดี๋ยวมีสุราแล้วไว้ค่อยพูดก็ไม่เป็นไร”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ร่างกายของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง
จากนั้นพาดมือบนไหล่ของเสิ่นชิงชิว
แต่ไม่ทันระวังกลับฟาดโดนบาดแผลของเขา
เสิ่นชิงชิวกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
“เกลียดชังรึ คำพูดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ควรพูดระหว่างบุรุษสองคนหรือ”
สายตาเสิ่นชิงชิวมองเบื้องหน้า
“เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เราสองคนควรจะกล่าวสิ่งใดดี”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก็ไม่ต้องกล่าว คำที่ฝืนกล่าวออกมา เจ้ากล่าวแล้วเจ็บปวด ข้าฟังก็บาดหูเช่นกัน”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“ได้ ข้าไม่พูด”
ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้ากล่าว
“แต่เจ้าก็พูดอีกแล้ว”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“เจ้าก็ต่อประโยคอีกไม่ใช่หรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ทั้งสองต่างก็หัวเราะ
เพียงหาเรื่องพูดคุยไปเรื่อยๆ เช่นนี้
เดิมตามรอยเท้าจิ่วซานปั้นที่จากไปก่อนหน้านี้ตลอดถนนสายยาว
“อันตัวข้าแสร้งผูกมิตรวีรบุรุษฟ้าดิน
ไร้เรือนเครื่องผูกใหญ่กว้างทุกหนแห่ง
เอ่ยวาจามิเพียงเที่ยงตรง
ยังมิเคยแสร้งชมรถม้าวิจิตร
อาศัยกระบี่ยาวคำรามเยื้องย่างกราย
ยุทธภพใต้หล้าดื่มอวยพร
มิตัดสินเรื่องละอองธุลี
ทลายเก้าบรรพตเพียงขยับมือ
ข้ามสมุทรง่ายดายในคราเดียว
มิคาดคิดเสน่ห์กวีถูกวิพากษ์
เพียงนึกคิดเป็นลิขิตสวรรค์
ไม่แปรงผมไม่ล้างหน้าเสียสติ
ทว่าผู้ใดเคยพานพบ
ร้องคร่ำครวญใครเล่าจะเมตตา
กระบี่สังหารคนชั่วนับร้อยพัน
เมามายทั่วหล้าทุกยุคทุกสมัย
หากโชคดีหลับสนิททั้งคืน
จำต้องรอบรู้ทุกทักษะ
สวมเกราะบุกสู้เพื่อผู้สูงส่ง
ไม่ปรากฏชื่อเสียงรุ่งโรจน์ใด
…”
ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองผู้ใดเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิวขับร้องเพลงนี้บนถนนแปดพันลี้ในตอนนั้น ขับร้องให้เมฆและพระจันทร์ลับหายไป
………………….
จิ่วซานปั้นถือกระบี่เดินตรงไปยังที่พักของหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นจิ่วซานปั้นมีสติสร่างเมาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ดึกดื่นค่อนคืนไม่หลับนอน ทั้งยังไม่ดื่มสุราอีกด้วย
นี่ใช่จิ่วซานปั้นจริงหรือ
จากนั้นจึงมองเห็นคราบเลือดเปื้อนบนด้ามกระบี่ของเขา
ชั่วครู่หนึ่งจึงอดประหม่าขึ้นมาไม่ได้
“วางใจได้ ไม่ใช่เลือดของข้า”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ข้าหาได้กังวลไม่ ข้าเพียงแต่นึกสงสัย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สงสัยสิ่งใด”
จิ่วซานปั้นเอียงศีรษะพลางถาม
ครั้นเดินไปที่ริมโต๊ะ ก็ไม่เอ่ยทักทายเซียวจิ่นข่านและหวาหนง
เอื้อมมือหยิบไหสุราแล้วกระดกไปหลายอึก จากนั้นเบนสายตาไปทางหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง
“ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดให้สงสัยแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเม้มริมฝีปากกล่าว
“หรือเจ้าเพียงสงสัยว่าดึกค่อนคืนแล้วไฉนข้าจึงไม่ดื่มสุรา”
จิ่วซานปั้นกล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่งด้วยสีหน้าหยอกล้อเป็นครั้งแรก
“เช่นนั้นกระมัง เจ้าจงรู้ไว้ว่าความประทับใจครั้งแรกเปลี่ยนแปลงได้ยากนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่…ความประทับใจใดล้วนเปลี่ยนได้ เปลี่ยนไม่ได้เพียงเพราะเวลาไม่พอเท่านั้น”
จู่ๆ เซียวจินข่านก็หันหน้ามากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
ครั้งก่อนที่พบกับเซียวจินข่าน เขาไพล่กระบี่บนหลัง สองมือวางบนกระบี่ เดินโซเซออกจากประตูกรมสอบสวนกลาง
พบกันคราวนี้ ไม่เพียงตาบอด
ทั้งยังกลายเป็น ‘ไท่ไป๋’ หนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยางในใต้หล้าอีกต่างหาก
สิ่งเหล่านี้ก็ใช้เวลาเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ
จิ่วซานปั้นดื่มสุราที่เหลืออยู่ในไหจนเกลี้ยงในคราวเดียว
หวาหนงพลันยืนขึ้น
แย่งไหสุราในมือจิ่วซานปั้น
“นี่เป็นสุราที่ข้าให้อาจารย์ของข้า หลิวรุ่ยอิ่งนับเป็นอาจารย์อาดื่มได้ไม่เป็นไร แต่ท่านมีสิทธิ์ใดจึงดื่มสุรานี้”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่าเขาอดทนอดกลั้นอยู่นานทีเดียว
และรู้ว่าในยามนี้ ไม่อาจทนได้อีกแล้ว
“ข้าดื่มสุราไม่ได้หรือ ราคาของเจ้าเท่าใดกัน ข้าจะซื้อ!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งและเซียวจินข่านลอบยิ้ม
เพราะเขาทั้งคู่รู้ว่าในกระเป๋าของจิ่วซานปั้นไม่มีแม้แต่เหรียญทองแดงด้วยซ้ำ
“เจ้าซื้อสุรานี้ไม่ไหวหรอก”
หวาหนงกล่าว
“ขึ้นชื่อว่าสิ่งของย่อมมีราคา มีเพียงสูงหรือต่ำเท่านั้น เจ้าเรียกมูลค่าได้มากเท่าที่ต้องการ!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“สุราไหนี้ยี่สิบตำลึงเงิน”
หวาหนงกล่าว
จิ่วซานปั้นไม่ส่งเสียงทว่ามองไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาไม่รู้ว่ายี่สิบตำลึงเงินมีค่าเท่าไร ไม่มีความคิดใดๆ แม้แต่น้อย
แต่เขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะต้องมียี่สิบตำลึงเงินนี้เป็นแน่
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบแท่งเงินยี่สิบตำลึงมาวางบนโต๊ะก่อนที่สายตาของเขาจะมองมาด้วยซ้ำ
“มีเงินแล้ว ตอนนี้เราก็เสมอกันแล้ว”
จิ่วซานปั้นกล่าว
แต่หวาหนงก็ยังส่ายศีรษะ
ไม่พอใจอย่างยิ่ง
“อย่างไรเล่า นี่เป็นราคาที่ตัวเจ้าตั้งเอง!”
จิ่วซานปั้นขมวดคิ้วพลางเอ่ย
“สุราไหนี้ มูลค่ายี่สิบตำลึงก็จริง แต่ยี่สิบตำลึงนี้หาได้ควักออกมาง่ายดายเพียงนี้ไม่”
หวาหนงกล่าว
“มีแต่เงินทั้งสิ้น ยังจะมีสิ่งใดแตกต่างอีกเล่า”
จิ่วซานปั้นถาม
เขานั่งลง เห็นได้ชัดว่าสงสัยใคร่รู้ต่อเด็กหนุ่มหวาหนงผู้นี้ยิ่งนัก
“เพราะเงินยี่สิบตำลึงนี้แลกมาด้วยสองชีวิตน่ะสิ”
……………………………………………………………….