ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 358 จัดการลงโทษ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 358 จัดการลงโทษ

ฉางชุนโหวเดือดดาล “พวกเจ้ากล้ารึ!”

ตาสามเหลี่ยมมีท่าทางไม่แยแสอะไร “ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ติดหนี้ก็ต้องคืนเงิน นี่เป็นหลักการของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นับตั้งแต่โบราณกาล ท่านโหวไม่ยินยอมคืนเงินแทนบุตรชาย ทั้งยังอาศัยอิทธิพลมากดดันผู้คน นี่เป็นการคาดการณ์อย่างแม่นยำว่า พวกข้าน้อยซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไร้ความสามารถไม่มีสถานที่ให้ไปร้องทุกข์นี่ขอรับ! เหล่าเพื่อนบ้านว่าใช่หรือไม่”

คนที่มุงดูพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

หลายคนโห่ร้องว่า การที่คุณชายใหญ่จวนฉางชุนโหวเล่นพนันก็ไม่ใช่คนดีอะไรแล้ว ทว่ายังก่อเรื่องมาถึงจวนอีก ไม่คืนเงิน หรือว่าจะมองบุตรชายถูกขายเข้าไปในหอคณิกาชายกัน

ฉางชุนโหวสีหน้าเขียวคล้ำ ความคิดที่จะฆ่าสวี่ซีก็มีแล้ว

จวนโหวต้องการฆ่าอันธพาลสองสามคนนั้นง่ายดายเหมือนบี้มดหลายตัวให้ตาย ทว่าต้องแอบทำเท่านั้น ตอนนี้อันธพาลหลายคนโวยวายเสียงดังต่อหน้าผู้คน ผู้ที่อับอายก็คือจวนฉางชุนโหว

“ท่านโหว” หยางซื่อ ฮูหยินฉางชุนโหวเร่งรีบเดินออกมา เมื่อเห็นสวี่ซีซึ่งถูกตาสามเหลี่ยมจับเอาไว้ก็อดร้อนใจไม่ได้ “พวกเจ้าเป็นใครกัน ทำอะไรซีเอ๋อร์น่ะ”

ตาสามเหลี่ยมแสยะยิ้ม “โอ้ ท่านก็คือมารดาของคุณชายใหญ่สวี่สินะขอรับ”

หยางซื่อขมวดคิ้วถาม “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ทำอะไรหรือ บุตรชายท่านเล่นพนันแพ้ห้าพันตำลึงเงินที่บ่อนทองพันชั่ง พวกข้าน้อยมาทวงหนี้ขอรับ”

การที่สวี่ซีมีนิสัยเลวร้ายอย่างเล่นพนัน เดิมก็เป็นการชักนำอย่างไร้ร่องรอยของหยางซื่อ การที่มีคนมาทวงหนี้ถึงจวนก็เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์แต่แรก

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อได้ยินว่าสวี่ซีพนันแพ้ไปห้าพันตำลึง หยางซื่อก็ยังตะลึงอยู่ดี

เจ้าตัวโง่งมนี้ ไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ

นำเงินห้าพันตำลึงออกมา ถึงแม้ว่าจะปวดใจจนแทบจะเลือดไหลซิบๆ แต่หากใช้ห้าพันตำลึงนี้ไล่สวี่ซีออกจากจวนโหวได้ก็ไม่ขาดทุนแล้ว

“ฮูหยินโหว สรุปว่าจะคืนห้าพันตำลึงหรือไม่ขอรับ”

หยางซื่อมีสีหน้าจริงจัง เอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกเจ้าปล่อยเด็ก ข้าจะสั่งให้คนไปนำเงินมา”

ตาสามเหลี่ยมหัวเราะ “ยังคงเป็นฮูหยินโหวตัดสินใจได้รวดเร็ว ผู้คนล้วนพูดกันว่า มีแม่เลี้ยงก็จะมีพ่อเลี้ยง ดูท่าวาจานี้จะไม่ถูกต้องนะ”

สวี่ซีที่มีสีหน้าด้านชามาตลอดมองหยางซื่อแวบหนึ่ง

ฉางชุนโหวยับยั้งด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หลายคนนี้วางแผนรีดไถ…”

หยางซื่อส่ายหน้า “ท่านโหว อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าซีเอ๋อร์นะเจ้าคะ ให้เงินพวกเขาไปเถอะเจ้าค่ะ”

นางเอ่ย พลางส่งสายตาให้บ่าวเฒ่าคนสนิท

บ่าวเฒ่าคนสนิทเร่งฝีเท้าเข้าไปในจวนโหว ไม่นานนักก็กลับมา

“ให้พวกเขาไป”

บ่าวเฒ่าคนสนิทมอบกล่องขนาดเล็กใบหนึ่งให้ถึงมือตาสามเหลี่ยม

ตาสามเหลี่ยมเปิดดูแวบหนึ่งแล้วปิดกล่องใบเล็กให้เรียบร้อยทันที พลางยิ้มระรื่น “ฮูหยินโหวเอ็นดูบุตรชายจริงๆ เช่นนั้นพวกข้าน้อยไม่รบกวนจวนโหวฉลองปีใหม่แล้วขอรับ เหล่าสหาย ไป!”

ตาสามเหลี่ยมผลักสวี่ซีไปด้านหน้า พร้อมกับพาคนหลายคนเร่งฝีเท้าจากไป

หยางซื่อจ้องเงาร่างที่รีบร้อนจากไปของหลายคนนั้น มุมปากประดับรอยยิ้มเยาะเอาไว้

คนยอมตายเพื่อทรัพย์สินเงินตรา เหล่าปักษายอมตายเพื่ออาหาร[1] พกเงินจำนวนมากขนาดนี้ไว้กับตัว ไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าหลายคนนี้จะสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย

คนที่มามุงดูยังไม่แยกย้ายไป หยางซื่อเอ่ยสั่งข้ารับใช้เสียงดัง “พวกเจ้ารีบพาคุณชายใหญ่ไปอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ อากาศแบบนี้ หากไม่สบายล่ะก็แย่แน่…”

เสียงชื่นชมหยางซื่อที่มีไม่น้อยถูกทิ้งเอาไว้ตามประตูสีแดงบานใหญ่ของจวนฉางชุนโหวที่ค่อยๆ ปิดลง

“แม่เลี้ยงสามารถทำได้จนถึงขั้นนี้ ช่างหาได้ยากเสียจริง”

“ครั้งนั้นที่คุณหนูลั่วมาโวยวาย ข้ายังนึกว่าแม่เลี้ยงผู้นี้ไม่ได้เรื่อง คิดไม่ถึงว่า เงินพนันห้าพันตำลึงในวันนี้ บอกว่าจะหยิบก็หยิบออกมาเลย”

“ใช่แล้ว แม่เลี้ยงน่ะเป็นยากนะ สามารถเป็นเช่นนี้เหมือนฮูหยินฉางชุนโหวก็ไม่เลวแล้ว”

ในขณะเดียวกันที่ประตูใหญ่จวนฉางชุนโหวปิดลง ข้ารับใช้หลายคนก็แอบออกไปทางประตูหลัง

ฉางชุนโหวดวงหน้าปกคลุมไปด้วยความอึมครึม เมื่อเห็นว่าข้ารับใช้จะประคองสวี่ซีไปอาบน้ำจริงๆ ก็บันดาลโทสะทันที “อาบน้ำอะไร พาเขาเข้ามา!”

เมื่อเข้าไปในห้องโถง ฉางชุนโหวก็ตวาด “เดรัจฉาน คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”

ข้ารับใช้ที่ประคองสวี่ซีปล่อยมือ สวี่ซีก็นั่งแหมะลงบนพื้น

ฉางชุนโหวมองบุตรชายที่เหมือนโคลนตมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ

บุตรชายเช่นนี้ นอกจากก่อเรื่องให้อับอายขายขี้หน้าแล้ว ยังสามารถทำอะไรได้อีก

ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่วิวาทกันจนต้องมอบของแทนคำขอโทษก็คือเติมเงิน นี่คือหลุมลึกที่ถมอย่างไรก็ไม่มีวันเต็ม

หยางซื่อเห็นอยู่ในสายตา มีความสุขอยู่ในใจ อาศัยสถานการณ์นี้เกลี้ยกล่อมว่า “ท่านโหว ซีเอ๋อร์ยังเด็ก ท่านอย่าโมโห…”

“ยังเด็กหรือ” ฉางชุนโหวโทสะพวยพุ่ง “เขาอายุสิบกว่าปีแล้วยังเด็กอีกหรือ พวกหนานเอ๋อร์เด็กกว่าเขาขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ก่อเรื่องแทบไม่เว้นวันเหมือนเขาล่ะ”

“เด็กทุกคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน…ท่านโหวมีความอดทนให้มากหน่อย อีกสองปีค่อยสู่ขอภรรยาให้ซีเอ๋อร์ ก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ…”

“พอได้แล้ว!” ฉางชุนโหวยกมือขึ้น วาจาเกลี้ยกล่อมของหยางซื่อกลับทำให้เขาตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

หนึ่งมังกรมีลูกเก้า ลูกทั้งเก้าต่างไม่เหมือน[2] บุตรชายคนโตเป็นคนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หมดหนทางจะช่วยเหลือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยซ้ำ หากว่าปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อไป ทั้งจวนโหวคงถูกเขาทำลายทิ้งไม่เร็วก็ช้า

ฉางชุนโหวจ้องสวี่ซีที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เอ่ยเน้นทีละคำว่า “เปิดหอบรรพชน ข้าจะไล่เจ้าลูกทรพีคนนี้ออกจากจวน!”

สวี่ซีเงยหน้าทันควัน มองไปทางฉางชุนโหวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เขาเคยคิดว่า ครั้งนี้ท่านพ่อไม่มีทางละเว้นเขาง่ายๆ แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะถึงกับไล่เขาออกจากจวน

เขาเป็นบุตรชายคนโตของท่านพ่อ แต่จะไล่เขาออกไปเพราะห้าพันตำลึง ไม่ยอมรับเขาที่เป็นบุตรชายคนนี้แล้วหรือ

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มผู้ซึ่งชอบเอาชนะและเอาแต่ใจรู้สึกว่า อะไรที่เรียกว่าความกลัวอย่างแท้จริง

เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วจะเป็นอย่างไร

เขาเห็นคนถูกตัดนิ้วมือในดาบเดียวเพราะคืนหนี้พนันไม่ได้เองกับตา ทั้งยังเคยเห็นศพของคนที่ตายเพราะไม่เหลืออะไรจนหิวโหยและเหน็บหนาว ถูกคนลากไปเหมือนลากสุนัขที่ตายแล้ว

สูญเสียฐานะคุณชายตระกูลโหวไป เขาจะกลายเป็นแบบนั้นด้วยไหม

ความไม่ยี่หระเพราะมีคนหนุนหลังในอดีต กล่าวตามตรง นั่นเป็นเพราะมีจวนโหวให้การสนับสนุน

ความหวาดกลัวมหาศาลปกคลุมเด็กหนุ่ม ทำให้เขาพลันเกิดความรู้สึกเสียใจในภายหลังที่หมกมุ่นอยู่กับการพนันในหลายวันมานี้เล็กน้อย

หยางซื่อตะลึง “ท่านโหวอย่าพูดด้วยอารมณ์เลยเจ้าค่ะ”

“ข้าไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ เจ้าลูกทรพีคนนี้นิสัยเกเร อบรมสั่งสอนหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ปรับปรุงแก้ไข ไม่ไล่เขาออกจากจวน ช้าเร็วก็ต้องก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา สร้างหายนะให้ทั้งจวนโหวรวมถึงคนตระกูลสวี่ ถึงตอนนั้นข้าก็ยิ่งผิดต่อบรรพบุรุษแล้ว”

หยางซื่อแววตาเปล่งประกาย “เรื่องใหญ่ขนาดนี้…ต้องให้คุณหนูใหญ่รับรู้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ”

เดิมฉางชุนโหวคิดว่า สตรีนางหนึ่งไม่ต้องเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องเหล่านี้ และไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมเช่นกัน ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสองคนนี้มีมารดาคนเดียวกัน บุตรสาวคนโตก็ใกล้ชิดกับจวนหนิงกั๋วกง ดังนั้นจึงถามว่า “คุณหนูใหญ่ล่ะ”

“ดูเหมือนคุณหนูใหญ่จะออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ” หยางซื่อถามผู้ดูแล “คุณหนูใหญ่ออกไปข้างนอกได้บอกหรือไม่ว่าไปที่ไหน”

ผู้ดูแลรีบตอบ “คุณหนูใหญ่บอกว่าจะออกไปเดินเล่นเจ้าค่ะ”

“รีบไปเชิญคุณหนูใหญ่กลับมา” หยางซื่อสั่ง

ฉางชุนโหวยิ่งไม่สบอารมณ์ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ทำให้สบายใจเลยสักคน!”

วันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แม่นางผู้หนึ่งขยับไม่ขยับก็วิ่งแจ้นออกไปข้างนอก ช่างไม่มีกฎระเบียบเลยสักนิดจริงๆ

บรรยากาศในหอสุราเต็มไปด้วยความอบอุ่น สวี่ฟางกินมันเทศเผา แต่จิตใจกลับเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวายและกวาดสายตาไปทางประตูบ่อยๆ

คนผู้หนึ่งวิ่งมาถึงประตูหอสุราอย่างรีบร้อนแล้วตะโกนว่า “คุณหนูใหญ่ ในจวนเกิดเรื่องแล้วขอรับ ท่านรีบกลับไปเถอะ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” สวี่ฟางสงบใจพลางถาม

“คุณชายใหญ่ทำความผิดใหญ่หลวง ท่านโหวจะไล่เขาออกจากตระกูลขอรับ!”

[1] คนยอมตายเพื่อทรัพย์สินเงินตรา เหล่าปักษายอมตายเพื่ออาหาร เป็นสำนวนโบราณที่ใช้เตือนสติคนไม่ให้ละโมบโลภมาก เพราะความอยากในทรัพย์สินมากจนเกินไปมักนำมาซึ่งภัยแก่ตัวเสมอ

[2] หนึ่งมังกรมีลูกเก้าตัว ลูกทั้งเก้าต่างไม่เหมือนกัน ใช้เปรียบเปรยถึงพี่น้องร่วมสายเลือด ที่แม้จะเป็นลูกของพ่อแม่เดียวกัน แต่ก็ย่อมมีความชอบความสนใจที่แตกต่าง จุดดีด้อยปะปนกันไป

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท