เมื่อทั้งสองคนเข้ามาใกล้จนทำให้หวงเสี่ยวหลงเห็นรูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนอย่างชัดเจน หวงเสี่ยวหลงก็ประหลาดใจขึ้นมา เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นชายและหญิง ถ้าหากหวงเสี่ยวหลงจำไม่ผิด ชายหญิงคนนี้จะต้องเป็นศิษย์นิกายเงาภูติ ซึ่งหวงเสี่ยวหลงนั้นเคยพบเธอเมื่อครั้งที่เขามาถึงเมืองปีศาจทมิฬเป็นครั้งแรก และในตอนนั้นผู้อาวุโสเติงกวงเหลียงแห่งนิกายพ่อมดนภานั้นได้บอกเขาไว้ว่าหญิงคนนี้ดุเหมือนจะเป็นศิษย์ส่วนตัวของประมุขนิกายเงาภูติ
“ศิษย์พี่หญิงสอง ตรงหน้าเรามีคนอยู่ขอรับ”หวงเสี่ยวหลงได้ยินชายคนนั้นพูดกับผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับชี้มาที่เขา
แม้ว่ากลางคืนจะมืดพร้อมกับหมอกโลหิตที่บดบังวิสัยทัศน์ แต่หวงเสี่ยวหลงนั้นได้ตั้งแคมป์ไฟไว้มันเลยทำให้ตำแหน่งของเขานั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ผู้หญิงคนนั้นก็มองมาทางหวงเสี่ยวหลง แต่ดูเหมือนว่าสายตาของเธอนั้นจะค่อนข้างแย่กว่าหวงเสี่ยวหลง ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของเขาได้อย่างชัดเจน หลังจากลังเลสักครู่ เธอก็ได้พูดออกมาว่า “งั้นไปตรวจสอบกันเถอะ”จากนั้นทั้งสองก็บินตรงมาหาหวงเสี่ยวหลง
พออยู่ห่างจากหวงเสี่ยวหลงไม่ถึงร้อยเมตร ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็มองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน จากนั้นเธอก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา “เป็นเขา?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้จำหวงเสี่ยวหลงได้ แม้ว่าเธอจะมองเห็นเขาเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม
“ศิษย์พี่หญิงสอง ท่านรู้จักคนๆนี้งั้นหรือ?”ผู้ชายที่มาด้วยกันก็ได้ถามออกมาซึ่งเขานั้นสับสนกับปฏิกิริยาที่เธอแสดงออกมา
เธอจึงได้พยักหน้าแล้วอธิบาย “หลายเดือนก่อน ข้าเห็นชายคนนี้อยู่ในเมืองปีศาจทมิฬ ตอนนั้นเขาอยู่กับผู้อาวุโสเติงกวงเหลียงและตู่ซินแห่งนิกายพ่อมดนภา”
ณ ตอนนี้ พวกเขาทั้งสองก็ได้มายืนอยู่หน้าหวงเสี่ยวหลงซึ่งยืนไม่ห่างมากเท่าไหร่นัก
เมื่อตอนที่ผู้อาวุโศเติงกวงเหลียงพูดว่าดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะเป็นศิษยส่วนตัวของประมุขนิกายเงาภูตินั้นพูดถูกแล้ว และยังไม่เพียงแค่นั้น เธอนั้นยังเป็นศิษย์ที่ประมุขนิกายเอ็นดูมากที่สุด เธอนั้นมีชื่อว่าหลี่เฟย
ประมุขนิกายเงาภูตินั้นมีศิษย์ส่วนตัวทั้งหมด 12 คน และหลี่เฟยคนนี้ก็เป็นศิษย์คนที่ 2 แต่ในท่ามกลางศิษย์ส่วนตัวของประมุขนิกายเงาภูติแล้ว เธอนั้นเป็นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด และชายหนุ่มที่มาด้วยกันนั้นเป็นหนึ่งในศิษย์ส่วนตัวของประมุขนิกายเงาภูติ ลำดับที่ 6 ชื่อว่าโจวเฉิง
ทันทีที่โจวเฉิงได้ยินถึงผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภา เติงกวงเหลียงและตู๋ซินนั้น ในดวงตาของเขาก็ได้เปล่งประกายจิตสังหารขึ้นมา 2 ปีก่อน เติงกวงเหลียงและตู่ซินนั้นได้หักนิ้วซ้ายและทำลายแหวนของเขา
“ไอ้สารเลว เจ้ามีความสัมพันธ์กับเติงกวงเหลียงและตู่ซินจากนิกายพ่อมดนภาอย่างไร?”โจวเฉิงก็เดินเข้าไปหาหวงเสี่ยวหลงพร้อมใบหน้าอันเย็นชา
หวงเสี่ยวหลงก็ไม่แยแส “เรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับเติงกวงเหลียงและตู่ซิน ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”
ดวงตาของโจวเฉิงก็หรี่แคบ จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไปมากกว่านี้และในขณะนั้นเองก็ได้มีแสงสีแดงเข้มเปล่งขึ้นมาจากร่างของเขา เมื่อแสงจางลง เหนือหัวของโจวเฉิงก็ได้ปรากฏดาบยักษ์ลอยอยู่ ด้วยการปรากฏของดาบยักษ์ ทำให้รอบร่างของโจวเฉิงนั้นส่องแสงสีเงินราวกับเหล็กกล้า จากนั้นก็มีพายุปราณกระบี่อันเกรี้ยวกราดพุ่งไปหาหวงเสี่ยวหลง
หลี่เฟยไม่คาดคิดว่าโจวเฉิงจะโจมตีหวงเสี่ยวหลงทันที เธออ้าปากต้องการจะหยุดศิษย์น้องของเธอ แต่มันสายเกินไปแล้ว เธอนั้นทำได้เพียงเฝ้าดูปราณดาบแสงของโจวเฉิงเข้าเขมือบหวงเสี่ยวหลง หลี่เฟยนั้นถอนหายใจและส่ายหัวในขณะที่เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้านข้าง จิตวิญญาณต่อสู้ของศิษย์น้องหก โจวเฉิงนั้นเป็นจิตวิญญาณที่มีการโจมตีที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ–––ดาบยักษ์ปฐพี พอนำมาใช้รวมกับเคล็ดวิชาต่อสู่ระดับปฐพี เคล็ดวิชากระบี่วายุแล้ว แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียนขั้นที่ 6 ปลายก็ยังลำบากในการเผชิญหน้าโจวเฉิง เธอนั้นจิตนาการออกเลยว่าหวงเสี่ยวหลงคงถูกดาบยักษ์ผ่าครึ่งเป็นสองซีกไปแล้ว
ช่างน่าสงสารเสียจริง เธอแค่ต้องการจะค้นข้อมูลจากหวงเสี่ยวหลงว่านิกายพ่อมดนภาและสถาบันกลืนกินโลหิตนั้นร่วมมือกำจัดฮูหานและกลืนกินนิกายเก้าอสูรได้อย่างไร เมื่อตอนที่เธอพบเขาครั้งแรก ทั้งเติงกวงเหลียงและตู่ซินนั้นก็เดินตามหลังเขาซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะของเขานั้นจะต้องสูงส่งอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะมีข้อมูลภายในนิกายก็ได้
ในขณะที่ปราณดาบแสงกลืนกินหวงเสี่ยวหลงทั้งร่าง โจวเฉิงที่จริงแล้วค่อนข้างจะประหลาดใจที่พบว่าการฆ่าคนๆนี้มันช่างง่ายดายิ่งนัก โจวเฉิงนั้นคาดว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องมีความสามารถแน่นอนเนื่องจากเขากล้ามาสถานที่อย่างดินแดนรกร้างอำมหิตด้วยตัวคนเดียว แต่เขาไม่คาดคิดว่าหวงเสี่ยวหลงจะไม่สามารถป้องกันกระบวนท่าแรกจากเขาได้
“น่าสงสารเสียจริง เจ้ามันไม่ต่างอะไรจากพวกอ่อนแอ!”โจวเฉิงก็เย้ยหยันออกมาอย่างเย็นชา
แต่ในขณะที่เขาพูดขึ้นก็ได้มีปราณกระบี่ส่องสว่างพุ่งขึ้นฟ้า ปราณเหล่านี้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายกดขี่และกลิ่นสังหารออกมาในขณะที่มันเข้าทำลายพายุปราณกระบี่ของโจวเฉิงทันที ซึ่งทำให้พายุปราณกระบี่นั้นแตกสลายเป็นเสี่ยงๆและหายไป
ทำให้รอบๆกลับมาเงียบสงบทันที
หลี่เฟยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็จ้องมองหวงเสี่ยวหลงที่ถือดาบเทพอสูรในมืออย่างตกตะลึง
หวงเสี่ยวหลงนั้นยืนอยู่ตรงที่เดิมที่เคยยืนอยู่พร้อมกับปราณสีดำเข้มพันอยู่รอบตัวในขณะที่เดียวกันปราณพวกนั้นก็พุ่งออกไปรอบทิศทางราวกับสึนามิ ซึ่งปราณพวกนี้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารอันน่าขกลุกที่พอจะทำให้ใครหลายคนต้องใจสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัว
ใบหน้าของหลี่เฟยและโจวเฉิงก็เคร่งเครียดขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งสองสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันสะกดข่มและกลิ่นอายสังหารอันน่าหวาดหวั่น โดยเฉพาะโจวเฉิง ใบหน้าของเขานั้นซีดเซียวมาก หวงเสี่ยวหลงก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาโจวเฉิงอย่างช้าๆโดยไม่สนใจหลี่เฟย
พอมองเห็นหวงเสี่ยวหลงเดินเข้ามา โจวเฉิงก็ตื่นจากความสับสน “เด็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถขนาดนี้ แต่แบบนี้ก็ดี มันน่าสนใจกว่าเยอะ ถ้าหากเจ้าตายเพราะรับกระบวนท่าเดียวหล่ะก็ การฆ่าเจ้าคงไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่” ดวงตาของโจวเฉิงก็ได้เปล่งประกายออกมาด้วยความกระหายเลือด จากนั้นดาบยักษ์ปฐพีที่อยู่เหนือหัวเขานั้นก็ได้หมุนตัวปลดปล่อยพลังงานลึกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
พลังลึกลับพวกนี้ทำให้ความแข็งแกร่งและแรงกดดันของโจวเฉิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมันทำให้ทำให้เขาแข็งแกร่งมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า ความสามารถของจิตวิญญาณต่อสู้ของโจวเฉิงคนนี้มีความคล้ายคลึงกับความสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณต่อสู้แม่น้ำสีเงินของเฟยฮาว ทั้งสองจิตวิญญาณนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้าของได้แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มความแข็งแกร่งของโจวเฉิงนั้นก็ยังด้อยกว่าเฟยฮาวนั้น
โจวเฉิงนั้นได้กู่ร้องออกมาในขณะเดียวกันร่างกายของเขานั้นก็ได้ระเบิดรังสีปราณกระบี่ออกมา จากนั้นรังสีปราณกระบี่เหล่านั้นได้รวมตัวกลายเป็นดาบยักษ์แล้วพุ่งโจมตีใส่หวงเสี่ยวหลง ในครู่ต่อมาดาบยักษ์ก็ได้พุ่งมาถึงเหนือหวงเสี่ยวหลงจากนั้นมันก็ฟันลงด้วยแรงทั้งหมดที่มี แม้ว่าดาบยักษ์จะยังไม่ถึงตัวหวงเสี่ยวหลง แต่พลังงานที่มันปลดปล่อยมานั้นก็ทำให้ก้อนหินต่างๆลอยขึ้นและถูกบดขยี้จนกลายเป็ฯฝุ่น
หวงเสี่ยวหลงนั้นเหลือบมองดาบยักษ์ที่ฟันลงมาหาเขา แต่เขากลับไม่คิดจะรับการโจมตีตรงๆ ด้วยการใช้เงาปีศาจ หวงเสี่ยวหลงก็ได้หลบการโจมตีออกไปได้อย่างง่ายดายโดยทิ้งไว้เพียงภาพติดตา
พอหลวงเสี่ยวหลงหลบการโจมตีไปแล้ว ก็ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากจุดที่หวงเสี่ยวหลงเคยยืนอยู่ พอมองหันไปดู ก็พบว่าดาบยักษ์นั้นได้ทำให้เกิดลอยแยกกว้างร้อยเมตรซึ่งมันได้ทำให้หน้าผาแตกออก เนินเขาทั้งเนินก็สั่นไหวอย่างรุนแรงทำให้ฝุ่นผงลอยไปทั่ว
พอมองเห็นหวงเสี่ยวหลงหลบการโจมตีของเขาได้ โจวเฉิงรู้สึกอารมณ์เสีย “ไอ้เด็กน้อย ถ้าเจ้ากล้าก็อย่าหลบสิวะ!”ก่อนที่โจวเฉิงจะได้พบจบ ก็ได้มีร่างหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาในพริบตา นั่นก็คือหวงเสี่ยวหลงที่ไปปรากฏตัวตรงหน้าโจวเฉิงซึ่งอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร พร้อมกับใช้ดวงตาอันเย็นชาจ้องมอง จากนั้นเขาก็ได้เหวี่ยงดาบออกไปอย่างไม่เมตตาและลังเล
ปราณดาบที่พุ่งออกไปนั้นได้กลายเป็นโซ่เข้าล้อมรอบพื้นที่รอบๆซึ่งโซ่พวกนี้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมาด้วย
โซ่ยมทูต!
โจวเฉิงก็ตกใจ จากนั้นเขาก็เอียงตัวเพื่อต้องการจะหลบการโจมตีแต่ไม่ว่าเขาจะตอบสนองเร็วแค่ใหน เขากับพบว่าไม่ว่าเขาจะหันไปทางใหนก็ไม่มีที่ให้หลบการไล่ตามของโซ่พวกนี้ และจู่ๆร่างกายของเขาก็ถูกตรึงอยู่กับที่ โจวเฉิงนั้นได้ก้มลงมองและพบว่าโซ่หลายเส้นต่างพันรอบตัวของเขาราวกับงูนรก เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันเย็นยะเยือกที่มีต้นกำเนิดมาจากนรกซึ่งมันได้ปล่อยออกมาจากโซ่และพลังงานพวกนี้ได้ไหลซึมเข้าร่างกายของเขาราวกับอสรพิษนับหมื่น
ในค่ำคืนนี้โจงเฉิงก็ได้กรีดร้องดังก้องไปทั่ว
หลี่เฟยก็ยืนอยู่อย่างมึนงง ณ จุดๆเดิมที่เธอยืนอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป โจวเฉิงที่มั่นใจในตัวเองว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนแต่สถานการณ์ก็กลับตาลปัดไปในเสี้ยวพริบตา เมื่อหลี่เฟยที่รีบสงบสติและกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือโจวเฉิง โซ่พุ่งออกไปรอบด้านก็ได้วกกลับมาพุ่งเสียบทะลุร่างของโจวเฉิง
ทำให้หลี่เฟยที่กำลังจะเข้าไปช่วยนั้นแข็งทื่อ และเวลารอบๆดูเหมือนจะถูกหยุดลงด้วยเหมือนกัน
โจวเฉิงก็ดวงตาเบิกกว้างและมองลงไปที่ร่างของตัวเองที่เต็มไปด้วยรูเลือด จากนั้นเขาก็หมดแรงและล้มลงไปกองกับพื้น
“เจ้า!”โจวเฉิงก็ชี้ไปที่หวงเสี่ยวหลง