ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 112 ความมั่งคั่งมหาศาลจะมาเยือนเมืองฮั่วหยางแล้วหรือ?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 112 ความมั่งคั่งมหาศาลจะมาเยือนเมืองฮั่วหยางแล้วหรือ?

บทที่ 112 ความมั่งคั่งมหาศาลจะมาเยือนเมืองฮั่วหยางแล้วหรือ?

หลิงเยว่ไม่ได้ออกจากเมืองเพียงลำพัง นางยังพาเด็ก ๆ มาด้วย เด็กที่อายุน้อยที่สุดมีอายุเพียงสามขวบ นางสามารถสอนให้เด็ก ๆ จดจำสมุนไพรวิญญาณได้ในทันที

การศึกษาเรียนรู้ควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาอายุเท่ากับนาง จะต้องรู้จักและจดจำสมุนไพรวิญญาณได้มากมายเป็นแน่ เด็กที่ฉลาดและมีความเข้าใจในเรื่องสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้อาจกลายเป็นพ่อครัวแม่ครัวตัวน้อยได้ในวันหน้า

สำหรับเรื่องนี้ ซูซวงทั้งรู้สึกขำและภูมิใจ หลังจากความพยายามของนาง รองเจ้าเมืองน้อยก็เริ่มมีความรู้สึกผูกพันกับเมืองขึ้นมาทีละนิด สมกับตำแหน่งแล้ว ดูเถิด นางยังดูแลไปถึงเด็กอายุสามขวบเสียด้วยซ้ำ

“พี่เสี่ยวชิง นี่ใช่สมุนไพรฟื้นฟูวิญญาณหรือไม่?”

“พี่เสี่ยวชิง เจอสมุนไพรวิญญาณแล้วเจ้าค่ะ!”

ด้วยความที่มีซูซวงและผู้บำเพ็ญอีกหลายคนคอยปกป้อง หลิงเยว่จึงรู้สึกวางใจที่จะปล่อยให้เด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นกัน การวิ่งเล่นครั้งนี้ทำให้พวกเขาพบสมุนไพรวิญญาณได้มากกว่าตอนที่นางมาคนเดียวเสียอีก

หลิงเยว่รู้สึกอยากจะอุ้มเด็ก ๆ น่ารักเหล่านี้มาหอมแก้มทีละคน พวกเขายังเด็ก ทั้งสายตาไวและความจำดี นางสอนเพียงครั้งเดียว พวกเขาก็สามารถจดจำได้แล้ว

การเดินทางครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งนัก

“ผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้จะทำให้การก่อสร้างที่หยุดชะงักดำเนินต่อไปได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ถามซูซวง

“การก่อสร้างสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่หากต้องการให้สร้างเมืองนี้แล้วเสร็จ เราคงต้องเผชิญกับสัตว์อสูรอีกประมาณสามสิบครั้งกระมัง”

เมื่อฟังคำตอบของซูซวง หลิงเยว่ก็ชะงักไปชั่วครู่ จริงอยู่ หากมีเวลาเพียงพอสำหรับการสร้างเมืองให้เสร็จภายในเวลาสามปี เทียบกับการรุกรานจากเหล่าสัตว์อสูรสามสิบครั้งนับว่าไม่ช้า ทว่านี่เป็นเพียงแค่การสร้างเมืองเท่านั้น ยังมีเรื่องของการฝึกฝนเหล่าพ่อครัวอาหารวิญญาณอีกเป็นจำนวนมาก และเสบียงอาหารก็จะต้องเพียงพอ…

นี่ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีเรื่องของผู้คนอีก ในทุกครั้งที่เหล่าสัตว์อสูรรุกราน จำนวนผู้คนที่ต้องเสียชีวิตไปนั้น ไม่สมดุลกับจำนวนผู้คนที่ถูกส่งมาทุกปี

หากต้องการจะสร้างเมืองแห่งอาหารให้สำเร็จลุล่วง จำเป็นต้องใช้ผู้คนและหินวิญญาณอีกจำนวนมาก

หลิงเยว่คล้ายจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง “พาข้าไปที่การประลองครั้งใหญ่ของสำนัก”

เหตุใดเรื่องราวถึงวนเวียนกลับมาที่การแข่งขันประลองครั้งใหญ่ของสำนักเช่นนี้เล่า?

สีหน้าของซูซวงไม่สู้ดีนัก

“ท่านไม่อยากหาเงินเพื่อให้แผนการสำเร็จโดยเร็วหรือเจ้าคะ?”

หลิงเยว่หรี่ตามอง นางมีสหายผู้มั่งคั่ง หากลองรีดไถพวกเขาเสียหน่อย จากนั้นค่อยลองหาทางติดต่อกับบรรพจารย์และอาจารย์ เมื่อถึงเวลานั้นเมืองฮั่วหยางอาจยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาวางแผนเอาไว้เป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น หากเชิญอาจารย์พวกเขามาอยู่ด้วย ก็จะสามารถควบคุมดูแลผู้คนในเมืองได้ หลิงเยว่ไม่ใช่คนโง่ ถึงแม้ซูซวงอาจจะไม่ได้มีเจตนาร้ายเพียงนั้น แต่ย่อมมีบางกลุ่มคนคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน

ที่แห่งนี้ไม่ได้สงบสุขและกลมเกลียวอย่างที่เห็นจากภายนอก

ยิ่งไปกว่านั้น ราชาผีนิกายอสุภะ เห็นตอนที่นางช่วยดึงซูซวงออกจากเขตอาคม จึงจำเป็นต้อง…จัดการเขา!

หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ อันที่จริงแล้ว หลิงเยว่ไม่อยากรบกวนอาจารย์และบรรพจารย์ ตอนนี้นางกำลังฝึกฝนด้วยตัวเอง นับได้ว่าชีวิตยังดีอยู่ แต่ดีตรงที่มีแสงสว่างจากสำนักหลานเทียนคอยปกป้อง ไม่เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้นางคงไม่วายถูกขังอยู่ในคุกเป็นแน่

ไม่อย่างนั้น นางอาจจะตายจากการรุกรานของสัตว์อสูรไปแล้วก็เป็นไปได้

ในที่สุดซูซวงก็ตกลง สำหรับผู้บำเพ็ญระดับขั้นแสวงหาจากดินแดนเหนือสุดเดินทางไปยังดินแดนใต้สุดใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้น

สามวันต่อมา ซูซวงและหลิงเยว่ก็มาถึงตลาดสำนักจ้านเจี้ยนที่คึกคัก

โอ้โห! ช่างเจริญรุ่งเรืองเสียจริง…

หลิงเยว่พยายามสื่อสารถึงสหายร่วมสำนัก

อยู่ใกล้กันเพียงนี้แล้ว หากพวกเขายังอยู่ในงานประลองของสำนักจ้านเจี้ยน น่าจะส่งถึงกระมัง?

โม่จวินเจ๋อรู้สึกถึงกระแสสื่อสาร แต่ในตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับเหล่าศิษย์จากสำนักจ้านเจี้ยนเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนขุมทรัพย์อยู่ เมื่อได้รับการติดต่อจากหลิงเยว่ เขาพลันชะงักไปจนทำให้กระบี่ในมือสั่นคลอน คู่ต่อสู้เห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสนี้ ใช้กระบี่ฟันเข้าที่หน้าอกของเขา จนเลือดสาดกระเซ็น

“รอก่อน ข้าจะไปที่นั่นโดยเร็ว”

หลังจากโม่จวินเจ๋อตอบกลับไปแล้ว ใบหน้าของเขาที่แต่เดิมเรียบนิ่ง พลันเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

วันนี้ไม่มีการแข่งขัน อวี้เจินจึงยืนดูอย่างเบื่อหน่ายด้านล่างสนามประลอง เพียงครู่เดียวก็สะดุ้งแล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

ติงหลิวหลิ่วได้รับการติดต่อเช่นกัน นางอยากจะวิ่งออกไป แต่ว่านอวี้เฟิงที่ดูสงบคว้าตัวนางไว้เสียก่อน “ใจเย็น ๆ ก่อน เราต้องแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วแยกกันเดิน”

ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนมารวมตัวกันที่โรงเตี๊ยม

เมื่อหลิงเยว่เมื่อได้พบกับอวี้เจิน ก็รู้สึกราวกับว่าผ่านมาหลายภพหลายชาติ ทั้งสองโผเข้ากอดกันแล้วร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ

หลิงเยว่ร้องไห้อยู่นาน พอเริ่มสงบสติอารมณ์ลง นางก็รีบเข้าประเด็น

“ศิษย์พี่อวี้ ท่านมีหินวิญญาณเท่าไหร่หรือเจ้าคะ?”

“ศิษย์น้องหลิง เจ้าต้องการหินวิญญาณไปทำสิ่งใด?”

ในที่สุด อวี้เจินผู้มีดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนักก็สังเกตเห็นซูซวงที่อยู่ด้านข้าง ความรู้สึกถึงอันตรายพลันพุ่งขึ้นมาทันที จึงลากหลิงเยว่มาไว้ด้านหลังแล้วพูดว่า “บอกมาว่าต้องการหินวิญญาณเท่าใด ถึงจะยอมปล่อยศิษย์น้องของข้าไป”

หากไม่ใช่เพราะตรวจสอบระดับการบำเพ็ญของซูซวงไม่ได้ อวี้เจินคงลงมือไปแล้ว นางคงไม่มาถามว่าต้องการหินวิญญาณเท่าใดหรอก

“หลิง… ศิษย์น้องหรือ?”

ซูซวงเริ่มนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อไม่นานมานี้ ชิงยวนได้จัดงานเลี้ยงรับศิษย์ชื่อหลิงเยว่ ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน เพียงไม่นาน เหล่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งห้าที่สวมเครื่องแต่งกายของศิษย์สำนักหลานเทียนก็มายืนยันการคาดเดาของซูซวงให้กระจ่าง

ในที่สุด ความมั่งคั่งมหาศาลก็จะมาเยือนเมืองฮั่วหยางของพวกเขาแล้วหรือ?

ปีศาจร้ายภายในร่างของซูซวงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับเอามือเท้าเอว

เมื่ออวี้เจินเห็นพวกพ้องของนางมาถึง นางก็รีบเล่าสิ่งที่ตนคาดเดาให้ทั้งห้าคนฟัง โม่จวินเจ๋อรีบบีบหยกสื่อสารให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่ว่านอวี้เฟิงได้แจ้งข่าวไปยังชิงยวนตั้งแต่ตอนที่ได้รับการติดต่อจากหลิงเยว่แล้ว

เมื่อเห็นดังนั้นซูซวงไม่ได้ขัดขวาง และไม่แม้แต่จะอธิบาย ปล่อยให้พวกเขาคาดเดาไปตามใจชอบเถิด

หลิงเยว่รู้สึกไร้หนทาง จึงจำใจต้องเล่าเรื่องราวที่นางพบเจอมาอย่างรวบรัดให้พวกเขาฟัง แท้จริงแล้วตอนนั้นนาง ‘ถูกลักพาตัว’ ไปจริง ๆ แล้วหลังจากนั้น…

ชิงยวนที่ยืนอยู่หน้าประตูฟังเรื่องราวทั้งหมดพลันผลักประตูเข้ามาคว้าคอเสื้อของซูซวง “เจ้าคนตระกูลซู! กล้าดีอย่างไร ถึงได้ซ่อนศิษย์ของข้าไว้!”

“ข้าไม่รู้ว่านางเป็นศิษย์ของท่าน รู้เพียงว่ามาจากสำนักหลานเทียน ท่านก็รู้ว่าเมืองฮั่วหยางจนแค่ไหน” ซูซวงทำหน้าจนปัญญา

หลิงเยว่รู้ว่าการมาที่นี่จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่เพื่อหินวิญญาณและเมืองฮั่วหยางนางอดทนได้!

หากไม่อดทนก็ทำไม่ได้ ระดับการฝึกฝนของทั้งสองคนนั้นต่างกันมาก

ไม่อาจสู้ได้เลย

“อั้ก!”

ชิงยวนโยนซูซวงที่แกล้งทำเป็นสุภาพลงบนพื้นไป นางโกรธจนตัวสั่น จนแทบอยากจะฉีกผู้หญิงตรงหน้าเป็นชิ้น ๆ

ในตอนแรก บรรพจารย์ก็คาดการณ์ว่าหลิงเยว่ติดอยู่ในดินแดนทางเหนือ แต่ดินแดนทางเหนือนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล กว้างกว่าดินแดนทางใต้หลายเท่า การจะตามหาคนก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทรเลย

“ท่านอาจารย์ ท่านใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ ที่ข้าไม่ให้ท่านเจ้าเมืองซูบอกท่านว่าข้าอยู่ที่เมืองฮั่วหยางน่ะ” หลิงเยว่โอบแขนชิงยวนที่กำลังโกรธจัด “ข้าคิดว่าตนเองสามารถจัดการได้ เลยไม่ได้ติดต่อท่านเจ้าค่ะ”

“แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงติดต่อมาล่ะ” ชิงยวนยิ่งโกรธกว่าเดิม

หลิงเยว่หัวเราะแก้เก้อ นางเล่าแผนการสร้างเมืองแห่งอาหารวิญญาณทั้งหมดออกมา ทุกคนในที่นั้นยกเว้นซูซวงต่างก็อ้าปากค้างตกตะลึงกันหมด

ช่างบ้าบิ่นเสียจริง!

“มีเพียงเท่านี้หรือ?”

โม่จวินเจ๋อนำหินวิญญาณ แผ่นค่ายกลและยันต์ทั้งหมดให้หลิงเยว่

“เมื่อการแข่งขันจบลง ข้าจะไปหาเจ้า”

หลิงเยว่กอดถุงเก็บของไว้แน่น นางรู้สึกตื้นตันใจกับน้ำใจของชายหนุ่ม “ถือว่าเมืองฮั่วหยางยืมไปก่อน เมื่อถึงเวลา ข้าจะแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าแน่!”

เขาอยากปฏิเสธเหลือเกิน ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจะไม่ใช่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับซูซวงหรือ?

โม่จวินเจ๋อพยักหน้าตอบรับ เขาเองก็อยากไปชมฝูงสัตว์อสูรที่นั่นอยู่พอดี ถือโอกาสนี้ฝึกฝนไปด้วยเลยแล้วกัน

“ศิษย์น้องห้า ข้าก็มีเพียงเท่านี้” ติงหลิวหลิ่วควักหินวิญญาณของตัวเองออกมา พร้อมทั้งโอสถอีกมากมาย แผ่นดินทะเลทรายทางตอนเหนือไม่เพียงกันดารแต่ยังอันตรายอีกด้วย โอสถย่อมเป็นสิ่งสำคัญ

ด้วยเหตุนี้ หลิงเยว่จึงได้ของสนับสนุนมาเต็มอ้อมแขน นางยิ้มร่าราวกับคนเสียสติ

ทางด้านซูซวงก็อารมณ์ดีเช่นกัน

“ศิษย์น้องหลิง เจ้าก็รู้ว่าผู้ฝึกกายายากจนเพียงใด รอข้าหน่อยเถิด เมื่อการแข่งขันจบ ข้าจะรีบไปเป็นนักรบรับจ้างให้กับเมืองฮั่วหยางทันที”

“ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าจะรอพวกท่าน”

ชิงยวนที่ถูกเมินก็ทำหน้าเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ต้องการให้ข้าอุปถัมภ์เสียแล้ว”

“ต้องการสิเจ้าคะท่านอาจารย์ หากปราศจากท่านอาจารย์ แผนการนี้คงต้องหยุดชะงักไปอีกหลายสิบปี ถึงเวลานั้นคงสายเกินแก้แล้ว” หลิงเยว่เก็บถุงเก็บของเรียบร้อย นางไม่มีทางลืมว่าสำนักหลานเทียนแห่งนี้ ผู้ที่มีทรัพย์สินมหาศาลที่สุดและใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายที่สุดก็คืออาจารย์ของนางเอง!

ชิงยวนใจเย็นลง เมื่อเห็นเจตจำนงอันแน่วแน่ในดวงตาของศิษย์ และหลิงเยว่เองก็ต้องฝึกฝนจริง ๆ นางจึงไม่ได้บังคับให้พากลับเมืองฮั่วหยางด้วย แต่เมื่อพากลับไม่ได้ นางจะติดตามไปเองไม่ได้หรือ?

“ข้าจะไปเมืองฮั่วหยางพร้อมกับพวกเจ้า”

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ ‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท