บทที่ 165 นางเคยเจอปัญหาใหญ่มาไม่น้อย จะต้องกลัวสิ่งใดกัน
บทที่ 165 นางเคยเจอปัญหาใหญ่มาไม่น้อย จะต้องกลัวสิ่งใดกัน
สายตาคาดหวังของหลิงเยว่จ้องตรงไปที่ผู้อาวุโสแห่งสำนักกลั่นโอสถ
นางพยายามอย่างมากที่จะปรุงอาหารวิญญาณพิเศษนี้ให้กลายเป็นรูปร่างของเม็ดโอสถ ถึงแม้จะมีเพียงรูปร่างและสรรพคุณที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่นางทำออกมาได้เหมือนโอสถมากที่สุดแล้ว!
ผู้คุมสอบกินเม็ดโอสถห้าชนิดนั้นอย่างไร้อารมณ์ แล้วประกาศอย่างเยือกเย็นว่า “ไม่ผ่าน”
“ทำไมกัน?” หลิงเยว่ไม่ยินยอม
“สรรพคุณทางโอสถออกฤทธิ์ช้าเกินไป ทั้งยังต้องเคี้ยวอีกด้วย”
“แต่มันไม่มีพิษจากโอสถเลยแม้แต่น้อย!”
อาศัยเพียงเหตุผลข้อนี้ก็เอาชนะโอสถระดับต่ำทั้งหลายได้แล้ว เถาวั่งพยายามอย่างมากที่จะปกป้องหลิงเยว่
“ถูกต้อง และใช้เวลาในการกลั่นเพียงสี่ชั่วยามเท่านั้น!”
การกลั่นโอถหายากห้าชนิดในเวลาสี่ชั่วยามนั้น มันมีความหมายอย่างไร ผู้คุมสอบคงไม่ทราบ
เหล่าอาจารย์ก็ออกมาช่วยเหลือ นอกจากข้อบกพร่องสองประการที่ผู้คุมสอบกล่าวถึงแล้ว สิ่งอื่น ๆ ล้วนสมบูรณ์แบบ!
“อาหารวิญญาณพิเศษทำให้อิ่มท้อง โดยไม่จำเป็นต้องกินโอสถปี้กู่ด้วยซ้ำ!”
“เพียงเป็นผู้บำเพ็ญก็สามารถเรียนรู้ได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เถาวั่งจ้องไปที่ผู้คุมสอบอย่างมีความนัย “ท่านกลัวว่าอาหารวิญญาณพิเศษจะแพร่ออกไป แล้วจะส่งผลต่อสถานะของนักกลั่นโอสถใช่หรือไม่?”
หรือพูดอีกอย่างก็คืออาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของนักกลั่นโอสถ
นอกจากสองประเด็นนี้ เถาวั่งก็นึกไม่ออกว่าเหตุผลใดที่หลิงเยว่ถึงไม่ผ่านการทดสอบ
“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียนรู้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถพิเศษอยู่บ้าง” หลิงเยว่พยายามอธิบาย เช่น คนพิการในห้องครัวหรือก็คือผู้ที่เรียนรู้ส่วนผสมและสมุนไพรวิญญาณได้ช้า
ชาวเมืองฮั่วหยางมากกว่าครึ่งเล่าเรียนมาหลายปีก็ยังทำได้แค่อาหารธรรมดาที่พอกินได้เท่านั้น การทำอาหารวิญญาณพิเศษยังไม่มีใครเรียนรู้ได้เลยสักคน
การทำอาหารวิญญาณพิเศษนั้น เป็นเพียงการลดทอนเงื่อนไขสำหรับผู้บำเพ็ญที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักกลั่นโอสถเท่านั้น สุดท้ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ยังต้องพึ่งพาความสามารถและความเข้าใจ
ผู้คุมสอบถูกเถาวั่งพูดตรงประเด็นจนหน้าเสีย พยายามแก้ตัวว่า “ท่านไม่กลัวว่านางจะถูกลอบสังหารหรืออย่างไร?”
เถาวั่งรู้ดีว่าการตัดเส้นทางทำกินของผู้อื่นนั้นย่อมส่งผลร้ายแรงเพียงใด
“ข้าย่อมกลัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านต้องปิดเป็นความลับชั่วคราวก่อน”
เถาวั่งวางแผนจะให้หลิงเยว่ฝึกสอนศิษย์หลายร้อยคนที่มีความแข็งแกร่ง หากนางจะต้องเผชิญกับการลอบสังหารก็ยังมีศิษย์เหล่านั้นคอยปกป้องอยู่
หลังจากนั้นก็รอเวลาการแข่งขันกลั่นโอสถครั้งใหญ่ในอีกห้าปีข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น อาหารวิญญาณพิเศษนี้ย่อมเข้าถึงผู้คนได้อย่างดี แล้วพวกเขาก็จะเปิดรับสมัครศิษย์เพิ่มได้สมใจ แน่นอนว่าจะทำให้สำนักกลั่นโอสถเหอตงเลื่อนอันดับขึ้นจากเดิม ไม่ให้ตกลงจากสิบลำดับแรกในการจัดอันดับสำนักของโลกผู้บำเพ็ญเซียนอย่างแน่นอน
หากทุกอย่างราบรื่น… การจะเปลี่ยนจากสำนักกลั่นโอสถธรรมดาเป็นสำนักกลั่นโอสถพิเศษก็คงไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
ผู้อาวุโสมองเถาวั่งอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วหันไปมองหลิงเยว่
หลิงเยว่ถูกจับจ้องจนรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะเรื่องลอบสังหารที่ผู้คุมสอบพูดถึง นางเพิ่งจะตระหนักได้เมื่อครู่ว่าที่แท้การปรากฏตัวของอาหารวิญญาณพิเศษก็เปรียบเสมือนการแบ่งอาหารส่วนหนึ่งจากเหล่านักกลั่นโอสถไปเสียแล้ว!
หากเป็นนางก็คงคิดหาหนทางกำจัดคนผู้นั้นเช่นกัน!
นางช่างโง่เขลานัก อยู่ในดินแดนทะเลทรายทางเหนือก็ดีนักหนา อย่างน้อยยังมีเมืองใหญ่สองแห่งคอยหนุนหลัง แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก ทั้งยังพาเพียงแค่ตะขาบมรกตตัวหนึ่งมาด้วย อันตรายร้ายแรงยิ่งนัก นางอยากจะหนีไปให้ไกลเสียจริง
ชุดคลุมนักกลั่นโอสถระดับหนึ่งหรืออะไรนางล้วนไม่ต้องการแล้ว
“ไม่เช่นนั้น ให้ข้ากลับดินแดนทางเหนือไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?”
จะทำภารกิจบ้าบอไปเพื่อสิ่งใดกัน ในเมื่อไม่มีบทลงโทษใด ๆ อยู่แล้ว
[หากภารกิจหลักที่ 15 ล้มเหลว : โทษทวีคูณ!]
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจหลิงเยว่ ระบบก็รีบออกมาตัดความหวังนางทันที มันคงทนไม่ได้ที่เห็นนางสุขสบายเป็นแน่
ดี ดียิ่งนัก!
“ขี้ขลาดนัก” หัวหน้าตะขาบมรกตติเตียนและดูถูกหลิงเยว่ในทันทีเช่นกัน
“วางใจเถิด การลอบสังหารล้วนเป็นเรื่องขำขัน ไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใดไป เพราะเจ้ามีสำนักใหญ่หนุนหลังอยู่!”
เถาวั่งจะเชื่อในคำพูดของตนเองหรือไม่?
ถึงอย่างไรหลิงเยว่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว การลอบสังหารคงเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย นางเคยเจอปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านี้มาไม่น้อย จะต้องกลัวสิ่งใดกัน
ในเมื่อนางเองก็มีไม้ตายสุดแกร่ง หลิงเยว่ให้กำลังใจตนเองแล้วรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“ชุดนักกลั่นโอสถระดับหนึ่งนั้น ถึงอย่างไรก็ให้ไม่ได้” คำพูดของผู้อาวุโสแห่งสำนักกลั่นโอสถ ผู้ซึ่งในอดีตเคยเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักยังคงมีน้ำหนัก
รอยยิ้มเย้ยหยันของผู้คุมสอบปรากฏขึ้น แต่ก็ถูกถ้อยคำถัดมาของอาจารย์ที่ตนเองเคารพซัดให้จมดิ่ง
“แต่จะรีบดำเนินการผลิตชุดนักกลั่นโอสถพิเศษให้เจ้าหนึ่งชุด…”
วันข้างหน้าจะต้องได้ใช้เป็นแน่
“เช่นนั้น ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส!”
เถาวั่งดีอกดีใจ และไม่ลืมที่จะหันไปมองผู้คุมสอบด้วย
อารมณ์ของหลิงเยว่แปรปรวนราวกับการตีลังกาไปมา นางทำได้เพียงฝืนยิ้ม พลางคิดว่ายังมีชุดพิเศษอีกหรือ ต่อไปนี้นางคงตกเป็นเป้าสายตาเป็นแน่ นับเป็นเกียรติยศที่นางไม่ต้องการเสียเลย
น่าเสียดายที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิเสธ เหล่าปรมาจารย์แห่งสำนักกลั่นโอสถได้เดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงจานอาหารทั้งห้าที่วางอยู่บนโต๊ะ และหัวหน้าตะขาบมรกตที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยก็เตะโต๊ะแล้วเดินออกไปด้วยความโกรธ
“เพียงแค่อาหารเล็กน้อย วันหน้าข้าจะทำให้เจ้าเป็นตะขาบมรกตอ้วนพุงโตเลยก็ยังได้ ไม่เพียงเจ้าจะอ้วนเท่านั้น แต่ยังทำให้เจ้าไม่กล้าแลแม้แต่จะมองหาอาหารอร่อยด้วย!”
“เจ้าต่างหากที่จะอ้วนพุงโต!”
หัวหน้าตะขาบมรกตโต้กลับ แต่นั่นทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย คนทั้งหลายในสำนักแห่งนี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่น่ารังเกียจ คงจะไม่เลวร้ายไปกว่าเมืองฮั่วหยางหรอกใช่หรือไม่?
“ขอบคุณสำหรับความทุ่มเทของท่านผู้คุมสอบเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ยื่นแท่งอมยิ้มหลากสีขนาดใหญ่ให้กับผู้คุมสอบที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ก่อนจะมาที่นี่หลิงเยว่ได้นำอมยิ้มฟื้นปราณหลากสีแห่งเมืองฮั่วหยางมาจนเกลี้ยง โดยนางได้โยนความผิดทั้งหมดให้ซูซวง และตอนนี้นางก็รู้สึกสะใจยิ่งนัก!
เมื่อหลิงเยว่ได้กลับมายังสำนักเหอตงก็ได้ยินว่านางต้องดูแลเพียงชั้นเรียนเดียว นางดีใจยิ่งเพราะมันง่ายดายกว่าที่เมืองฮั่วหยางมาก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเริ่มการสอน นางก็ได้จดรายการอุปกรณ์และส่วนผสมที่จำเป็นทั้งหมด แล้วส่งมอบให้กับเถาวั่ง
นางคิดไว้แล้วว่าจะสอนอาหารวิญญาณพิเศษทั้งห้าชนิดที่ทำไปในห้องสอบ
ขั้นตอนการทำนั้นง่ายดายและไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้ยังสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบและหลากหลายรสชาติด้วย มันน่าจะเพียงพอสำหรับช่วงเวลาสั้น ๆ นี้กระมัง
หลิงเยว่ที่ไม่เคยเป็นอาจารย์ประจำในสำนักมาก่อน ทบทวนตำราอาหารอย่างต่อเนื่องหลายวัน เพื่อให้มั่นใจว่าการสอนจะราบรื่น
“นี่ พวกเจ้าได้ยินกันหรือไม่? คนที่สามารถเข้าไปในชั้นเรียนพิเศษได้ล้วนเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นชั้นเรียนที่พิเศษเสียจริง” เหล่านักกลั่นโอสถคนหนึ่งกล่าวด้วยความเวทนา
“ใช่ นอกจากพวกเกเรที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังมีคนที่เอาแต่ทะนงตนว่าดีเด่กว่าผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนที่ผ่านมาสิบปีแล้วก็ยังเรียนไม่จบที่เข้ามาได้ด้วยเส้นสาย ล้วนเป็นยิ่งกว่าเศษเดน…”
“จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอาจารย์ผู้นั้นน่าสงสารเสียจริง นางจะทนได้ถึงหนึ่งวันหรือไม่?”
“เจ้าก็พูดเกินไป อย่างนางข้าว่าหนึ่งวันยังมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ ข้าเดาว่าแค่ครึ่งชั่วยามก็คงทนไม่ไหวแล้ว!”
ในระหว่างที่เหล่าศิษย์กำลังนินทากันอยู่นั้น ซีชางก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเหล่าศิษย์พิเศษที่ถูกจัดให้ไปอยู่ในชั้นเรียนพิเศษตามมาด้วยอีกหลายคน
ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากห้องอาจารย์ใหญ่ แต่จากสีหน้าอันเศร้าหมองของพวกเขา ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเรื่องราวคงไม่ราบรื่นนัก
“ถ้าเช่นนั้น ลองไล่อาจารย์คนนั้นออกจากสำนักไปเลยดีหรือไม่?”
“ไล่ออกไปจะดูวุ่นวายมากเกินไป ทำลายศพให้สิ้นซากไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?”
มีคนคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะทำลายศพให้สิ้นซาก ทว่าก็ถูกซีชางปฏิเสธ
“ทำลายศพให้สิ้นซากนั้นไม่ง่ายนัก สัตว์อสูรรับใช้ที่อยู่เคียงข้างนางนั้นคือสัตว์อสูรหายาก และที่สำคัญคนแซ่เถาผู้นั้นก็ยังคอยปกป้องนางอีกด้วย”
“มิเช่นนั้น ลองหาผู้อื่นที่มีรายชื่อในชั้นเรียนเดียวกันแล้วร่วมมือหยุดเรียนดีกว่าหรือไม่?”
เป็นคราวนี้ที่ทุกคนยอมรับความเห็นโดยพร้อมเพียง
ไม่มีผู้ใดไปเข้าชั้นเรียน ดูซิว่านางจะยังกระตือรือร้นได้อีกหรือไม่!