บทที่ 173 คนพวกนั้นจะวางโอสถพิษทั้งสำนักหรือ!
บทที่ 173 คนพวกนั้นจะวางโอสถพิษทั้งสำนักหรือ!
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงตระกูลเซี่ยเท่านั้นที่ถูกลูกชิ้นโจมตี แต่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน ลูกศิษย์ทั้งห้าสิบคนล้วนเป็นตัวแทนของห้าสิบตระกูล แทบทุกคนในครอบครัวต่างกลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำว่าลูกชิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นบุตรชายและบุตรสาวอันเป็นที่รักวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ผู้เป็นพ่อแม่ต่างรับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีลูกชิ้นแบบใหม่ออกมาโจมตีเป็นแน่ พวกเขาต้องรีบหนีก่อนที่จะสายเกินไป!
เหล่าศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษที่ไม่มีโอกาสได้แบ่งปันความสุขกับครอบครัวต่างรู้สึกสิ้นหวัง จนต้องเอื้อมมือปีศาจของตนเองไปยังผู้คนที่เดินผ่านหน้าสำนักให้พวกเขาได้ลิ้มลองดูสักครั้ง
“พี่ชาย! ท่านลองกินลูกชิ้นนี้ดู ข้าให้ท่านโดยไม่ต้องจ่ายสิ่งใดเลย!”
เพียงไม่นานก็มีศิษย์อีกคนหนึ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้ม “ท่านลุง ของที่ได้มาเช่นนั้น มันไม่ดีหรอก มาลองชิมลูกชิ้นที่มีสรรพคุณฟื้นฟูปราณของข้าเถิด ข้าคิดท่านเพียงหินวิญญาณหนึ่งก้อนเท่านั้น!”
“ของเจ้าต่างหากที่ไม่ดี”
ทั้งสองคนผลักกันไปมาจนเกิดความโมโห ก่อนจะเริ่มลงมือทำร้ายกัน โดยไม่ลืมที่จะเก็บลูกชิ้นของตนเองไว้เป็นอย่างดี
ผู้คนบนถนนพลันรู้สึกหงุดหงิด พวกเขาเสียสติไปแล้วหรือ!
“พี่สาว ข้าขายอันนี้ โอ้! ไม่สิ สามสิ่งนี้มีสรรพคุณรักษาบาดแผล เพียงแค่หินวิญญาณระดับล่างหนึ่งก้อนเท่านั้น ซื้อแล้วคุ้มแน่นอน!”
หญิงสูงวัยที่ถูกเรียกว่าพี่สาวรู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก เมื่อศิษย์คนนั้นมั่นใจว่าจะขายมันออกไปได้อย่างแน่นอน หญิงสูงวัยก็หน้าบึ้งตึงทันที “ราคาถูกเช่นนี้ เจ้าคงเอาของไม่ดีมาขายเป็นแน่ คิดจะโกงกันหรืออย่างไร!”
ศิษย์ผู้นั้น “?”
เหตุใดตนจึงกลายมาเป็นคนโกงเล่า โลกนี้มันเป็นอย่างไรกัน!
…
ความเย็นชาที่ลูกศิษย์ได้รับ ทำให้หลิงเยว่รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก เมื่อแรกเริ่มนางก็ถือเตาย่าง เดินไปขายที่ตลาดนัดของสำนักอย่างมั่นใจ แต่ทว่าผลลัพธ์นั้น… ช่างน่าเศร้า
“อาจารย์หลิง เหตุใดพวกเขาถึงไม่ยอมชิมเลยเจ้าคะ?” เถียนฉู่ฉู่ถอนหายใจ นางรู้สึกท้อแท้กับความล้มเหลวนี้ยิ่งนัก
ทั้งที่รสชาติของลูกชิ้นพิเศษนั้นดีเยี่ยม และสรรพคุณก็ไม่แพ้โอสถชนิดอื่น แต่เหตุใดถึงขายได้ยากเย็นเพียงนี้?
เมื่อเซี่ยซิ่นรุ่ยนึกถึงเรื่องเมื่อคืน มันช่างอึดอัดใจยิ่งนัก แม้แต่คนรับใช้ในบ้านเพียงเห็นเขายกลูกชิ้น ต่างก็รีบวิ่งหนีแทบไม่ทัน ทั้งตระกูลเซี่ยรวมถึงคนรับใช้ต่างหลบซ่อนราวกับว่าเขากำลังถือโอสถพิษร้ายแรงเสียอย่างนั้น แล้วตอนนี้จะยกออกมาแบ่งปันให้ผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างนั้นหรือ คงไม่พ้นมีแต่ผู้คนจะปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ฮวนฮวนยื่นริมฝีปากออกมาอย่างไม่พอใจ แม้กระทั่งรอยยิ้มไร้เดียงสาที่ปกติใช้ในการเกลี้ยกล่อมเหล่าผู้สูงอายุได้ นางก็นำมาใช้แล้ว แต่เหตุใดคนเหล่านี้ถึงยังไม่สนใจนางกัน!
หลิงเยว่เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดี
“ที่นี่คือที่ใด?” โดยไม่รอให้เหล่าศิษย์ผู้สูญเสียความมั่นใจได้ตอบ นางกลับตอบคำถามนั้นเสียเอง “นี่คือเมืองเลื่องชื่อที่สุดของทิศตะวันออก ทั้งยังอยู่ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนที่โอสถไม่เคยขาดแคลน และมีเหล่าอาจารย์นักกลั่นโอสถเดินกันเกลื่อนเมือง!”
เมืองฝู่ซางไม่เพียงมีหอกลั่นโอสถอันเลื่องชื่อไปทั่วทั้งโลกผู้บำเพ็ญเซียนเท่านั้น ทว่ายังมีสำนักกลั่นโอสถ ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบอีกด้วย คิดดูเถิด! โอสถดี ๆ นั้นมีมากมายจนล้นเมือง การที่เหล่าศิษย์ของนางจะขายของจนหมดนั้น แทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ท่านอาจารย์หลิง แล้วท่านนำอาหารวิญญาณพิเศษเข้าสู่เมืองฮั่วหยางได้อย่างไร?”
หลิงเยว่หันไปมองศิษย์ผู้นั้น คำถามของเขาแสดงให้เห็นถึงความไร้เดียงสาเสียจริง…
“ดินแดนทางตอนเหนือ เป็นดินแดนที่แม้แต่สุนัขไปเยือนยังต้องถูกเหยียบย่ำ เมืองใหญ่เช่นนั้นกลับมีนักกลั่นโอสถขั้นต้นอยู่เพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ผู้คนต่างยกย่องพวกเขาเสมือนเทพเจ้า แล้วเจ้าคิดว่าเหตุใดชาวเมืองนั้นถึงยอมรับอาหารวิญญาณพิเศษของข้าได้เร็วนัก?”
เพราะโอสถนั้นหายากอย่างไรเล่า!
จากมุมมองของหลิงเยว่ อาหารวิญญาณพิเศษจะสามารถมีที่ยืนในโลกผู้บำเพ็ญเซียนได้หรือไม่นั้น อาจเป็นไปได้ในดินแดนทางตอนเหนือ!
แต่ดินแดนตะวันออกอย่างสำนักกลั่นโอสถเหอตงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ และอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายหรือลอบสังหารได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คนเฝ้าสังเกตการณ์ทั้งหลายที่เห็นชะตากรรมของอาหารวิญญาณพิเศษ คงจะวางใจได้ว่าเหล่านักกลั่นโอสถพิเศษจะไม่แย่งชิงข้าวปลาอาหารของนักกลั่นโอสถทั่วไปแน่นอน
หลิงเยว่ยิ้มอย่างมีความสุข
สีหน้าของหลิงเยว่นั้น ทำให้เหล่าศิษย์ที่กำลังท้อแท้รู้สึกว่าอาจารย์กำลังเยาะเย้ยความโง่เขลาของพวกตน
โง่เสียจริง!
“นี่เพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากนี้พวกเจ้าย่อมเปล่งประกายและกลายเป็นดั่งเทพเจ้าที่ผู้คนเคารพสรรเสริญในแผ่นดินที่ไกลออกไปจากดินแดนตะวันออกอย่างแน่นอน!”
หลิงเยว่รีบพูดปลุกใจพวกเขา ด้วยกลัวว่าเหล่าศิษย์จะรู้สึกหมดหวังจนคิดเลิกเรียนวิชาอาหารวิญญาณพิเศษไปเสียก่อน
เหล่าศิษย์ต่างดื่มน้ำแกงไก่พร้อมน้ำตา พวกเขาเลือกเส้นทางนี้เอง ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดก็ต้องก้าวต่อไป!
หลังจากนั้นหลิงเยว่ก็กลับมาที่ห้องเรียน ก่อนจะแจกจ่ายสมุนไพรวิญญาณและเนื้อสัตว์อสูรที่เตรียมไว้ให้กับศิษย์ทีละคน
“พวกเจ้าผ่านการทำลูกชิ้นมาได้ วันนี้มาเรียนรู้อาหารวิญญาณพิเศษชนิดอื่น ที่อร่อยและมีสรรพคุณทางโอสถกันเถิด!”
หลังจากทอด ต้ม และนึ่งมาแล้ว วันนี้จึงเป็นการเรียนเกี่ยวกับวิธีย่าง
เหล่าศิษย์ล้วนเป็นผู้เริ่มต้น คงไม่เหมาะนัก ที่จะเรียนรู้วิธีปรุงอาหารวิญญาณพิเศษที่มีขั้นตอนซับซ้อน อีกทั้งยังต้องทำอาหารที่ง่ายต่อการรับประทาน สามารถรับประทานได้ทุกโอกาส
เปรียบดั่งตำรับอาหารประจำบ้าน ปัจจุบันยังไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะนำออกมาใช้
กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อสัตว์อสูรย่างตลบอบอวลไปถึงนอกหน้าต่าง…
“หอมยิ่งนัก…”
เหล่าศิษย์ที่มักจะมาแอบเฝ้าอยู่หน้าชั้นเรียนพิเศษเป็นครั้งแรกต่างน้ำลายไหล เพียงไม่นาน ความรู้สึกนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นไหม้ กลิ่นขม และกลิ่นเผ็ดที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ
“แค่ก ๆ!”
“โอ๊ย! ทำอาหารใดกันออกมากัน?”
“ข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว ช่วยด้วย!” เหล่าศิษย์ที่สำลักกลิ่นควันเหล่านั้น ต่างพากันวิ่งหนีไป
คนพวกนั้นต้องการจะวางโอสถพิษทั้งสำนักหรืออย่างไร!
เหล่าศิษย์ที่ต่างวิ่งหนีและร้องไห้ เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์ใหญ่ของสำนัก ก็ยิ่งร้องไห้โฮออกมากันเสียยกใหญ่ “ท่านอาจารย์ใหญ่ พวกชั้นเรียนพิเศษกำลังกลั่นโอสถพิษอยู่!”
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ช่วยห้ามปรามพวกเขาด้วยเถิด เดี๋ยวพิษจะแพร่กระจายไปทั่วแล้วเหล่าศิษย์ในสำนักจะได้รับอันตราย!”
ท่านอาจารย์ใหญ่ฟังแล้วถึงกับกระตุกมุมปาก “พวกเจ้าเป็นนักกลั่นโอสถแต่กลับแยกไม่ออกหรือ ว่ากลิ่นในอากาศนี้มีพิษหรือไม่?”
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ดูพวกข้าก่อนเถิด!”
ศิษย์ที่หนีออกมายังคงไอและจามไม่หยุด น้ำตาก็ไหลพราก ถึงแม้จะแยกแยะได้ว่ากลิ่นนั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้พวกเขาปวดหัวจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้
ท่านอาจารย์ใหญ่พลันรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจร้ายแรง จึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าจะไปสอนบทเรียนแก่หลิงเยว่เอง”
เมื่อเขาพูดจบ เหล่าศิษย์ที่โอบล้อมจนแน่นขนัดก็หลีกทางให้ท่านอาจารย์ใหญ่เดินผ่านไปอย่างง่ายดาย
นี่คือหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้อาจารย์ใหญ่ต้องคอยปลอมตัวอยู่บ่อย ๆ เพราะพวกเขามักมีเรื่องจุกจิกมาให้จัดการไม่เว้นวัน มิหนำซ้ำยังไม่รู้จักกาลเทศะอีก
เมื่อใกล้ชั้นเรียนพิเศษเข้าไปเท่าใด กลิ่นแสบจมูกก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แต่อาจารย์ใหญ่ยังได้กลิ่นอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน เป็นกลิ่นของสมุนไพร และกลิ่นของเนื้อย่าง…
ในที่สุดก็ยอมเปลี่ยนตำราอาหารแล้วหรือ?
นี่คือความคิดของเหล่าอาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลายที่รีบรุดมาดู เมื่อได้ยินว่าชั้นเรียนพิเศษปล่อยกลิ่นพิษออกมา
ภายในห้องเรียนพิเศษ มีตะขาบมรกตห้าสิบสองตัวกำลังรอคอยเนื้อย่างจนน้ำลายไหล คอของพวกมัน… ไม่รู้จะเรียกว่าคอได้หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ มีถังใบเล็กห้อยอยู่ที่คอของพวกมันเอาไว้สำหรับรองรับน้ำลายโดยเฉพาะ
อาจารย์ใหญ่เห็นดังนั้น ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้นมาทันที นี่มันของวิเศษของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกเลยไม่ใช่หรือ? หลิงเยว่ช่างเป็นเด็กน้อยที่ฉลาดเสียจริง!
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ใหญ่ พวกท่านมาแล้ว!”
หลิงเยว่ใช้มือทั้งสองข้างพลิกเนื้อย่างเสียบไม้บนเตาย่างที่กำลังกลิ่นหอมเย้ายวนออกมา!
หัวหน้าตะขาบมรกตที่ถือถังน้ำลายอยู่ เร่งเร้านางด้วยใจร้อน “เสร็จหรือยัง? เอาเนื้อย่างชุดแรกมาให้ข้าก่อนเลย!”
แม้เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยผู้นี้จะทำสิ่งใดไม่ได้เรื่อง แต่ฝีมือทำอาหารวิญญาณพิเศษนั้นเรียกได้ว่าหาตัวจับยากยิ่ง เหล่าลูกศิษย์ของนางในเมืองฮั่วหยางทั้งหมดเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
ศิษย์จากสำนักกลั่นโอสถนั้น ยิ่งเทียบไม่ติด!