Invincible โลกอมตะ – ตอนที่ 331

ตอนที่ 331
ตอนที่ 331 นิกายเทพนักรบปรากฏอีกครา
เท้าของหวงเสี่ยวหลงนั้นก็หยุดอยู่ห่างจากเหอฮุยไม่กี่เมตร มือข้างหนึ่งก็ได้ยกขึ้นพร้อมกับที่มีแรงดูดอันทรงพลังดึงตัวเหอฮุยขึ้นมาจากพื้น ในขณะจ้องมองเหอฮุยอย่างเย็นชา หวงเสี่ยวหลงนั้นก็พูดออกมาอย่างช้าๆ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือภูเขายังมีภูเขา?”
ก่อนหน้านี้ เขานั้นได้สั่งให้เพียหยางออมมือๆไว้ มิฉะนั้นแล้วเหอฮุยคงได้ตายอยู่ตรงนั้นแน่ๆ…แต่ว่ามันก็อยู่ห่างจากความตายอีกไม่กี่ก้าวแล้ว
เหอฮุยนั้นก็พยายามลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรงแล้วจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างดูถูก ต่อมามันก็พูดออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “ไอ้เด็กเวร เจ้าตายแน่!! นิกายเทพวายุของเราอยู่ภายใต้นิกายเทพนักรบ เจ้ารู้จักนิกายเทพนักรบหรือเปล่าหล่ะ? นิกายเทพนักรบนั้นเป็นขุมกําลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจิตวิญญาณการต่อสู้ การจัดการเจ้ากับคนในครอบครัวของเจ้านั้นก็ง่ายดายมากราวกับผายลม
นิกายเทพวายุนั้นเป็นหนึ่งในขุมกําลังที่อันอ่อนแอที่พึ่งพานิกายเทพนักรบ และเหอะฮุยนั้นก็เป็นคนที่มิได้สําคัญอะไร ดังนั้นมันจึงไม่รู้ว่าระหว่างหวงเสี่ยวหลงและนิกายเทพนักรบมีความบาดหมางกันอยู่
เหอฮุยนั้นก็คิดว่าหวงเสี่ยวหลงนั้นคงจะไม่รู้จักตัวตนอันสูงส่งอย่างนิกายเทพนักรบซึ่งนั่นเป็นเหตุให้มันตั้งใจพูดเกินจริงออกมาเพื่อขมขู่
หวงเสี่ยวหลงนั้นกลับหัวเราะคิกคักให้กับคําพูดของเหอฮุยแต่เขานั้นก็ไม่คิดว่านิกายเทพวายุนั้นจะเป็ นส่วนหนึ่งของนิกายเทพนักรบ
“โอ้ว – การจัดการข้ากับตระกูลของข้าไม่ต่างอะไรจากการผายลมงั้นหรอ?”หวงเสี่ยวหลงก็หัวเราะเยาะ
เมื่อเห็นแบบนี้ เหอฮุยก็แสดงท่าทางอันยิ่งยโสออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะไม่เชื่อแต่….”ทันใดนั้นน้ําเสียงของเขาก็หยุดลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับที่เขาก้มลงมองดูหน้าอกของเขาที่แตกออกจากการโดนฝ่ามีของหวงเสี่ยวหลงซัดใส่
หวงเสี่ยวหลงนั้นแค่ฟาดร่างของเหอฮุยไปด้านข้างซึ่งทําให้เหอฮุยนั้นร่วงลงไปจากแท่นประหาร แล้วจากนั้นเขาก็เดินไปหาลูไคในขณะเมินสีหน้าอันอึ้งของลู่ไค ต่อมาเขาก็ได้ใช้ปราณฉีคลุมฝ่ามือแล้วโจมตีใส่โซ่ที่รัดมือกับขาลูไคราวกับมีดฟันจนขาดออก
หลังจากนั้นหวงเสี่ยวหลงก็หยิบเอาผลเสริมวิญญาณที่เขาเก็บมาจากถ้ําฝึกตนของราชาผีออกมา แล้วบอกให้ลู่ไคอ้าปากแล้วยัดใส่ปากไคพร้อมกับสั่งให้เขาดูดซับมัน
ทะเลปราณฉีและเส้นลมปราณที่ฉีกขาดของลูไคนั้นก็ไม่อาจจะเล็ดรอดจากสายตาของหวงเสี่ยวหลงได้ ผลของเจ้าผลเสริมวิญญาณนี้ดีกว่าหญ้าม่วงเก้ากลีบมาก ในไม่ช้ใบหน้าอันซีดเซียวและร่างกายอันอ่อนแรงของลู่ไคนั้นก็ฟื้นกลับมาดูแข็งแรงเหมือนเดิม และความแข็งแกร่งของเขาก็คืนมาแถมมันยังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย
“นี่มัน….!!”ลูไคนั้นก็ตกตะลึงกับผลลัพธ์ของผลไม้อันนี้มาก เขานั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นแบบนี้ ใบหน้าของเขานั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยความตกตะลึงในขณะที่เขาสัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณและทะเลปราณฉีของเขาฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่นั้น กระทั่งปราณฉีที่ไหลเวียนในลมปราณฉีและเส้นลมปราณของเขานั้นก็แข็งแกร่งและทรงพลังมากกว่าเดิมด้วย ซึ่งกล่าได้ว่าเขานั้นได้ทะลวงขั้นอย่างต่อเนื่องจนไปถึงระดับโฮวเที่ยน 8 ขั้นกลางในทันที!!
ลูไคนั้นก็ดวงตาเปร่งประกายอย่างตื่นเต้นในขณะจ้องมองหวงเสี่ยวหลงแต่ในขณะที่เขากําลังจะพูด หวงเสี่ยวหลงก็หยุดเขาไว้พร้อมกับส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กทีหลัง ก่อนอื่นเรามาจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน” เขาก็พูดออกมา ในขณะชี้ไปยังลู่จิงที่อยู่ด้านข้าง
ล่ไคจึงพยักหน้าหันไปมองสู่จึง
เมื่อเห็นลู่ไคจ้องมองเขา ดวงตาของลู่จึงนั้นก็ฉายแววไปด้วยความหวาดกลัวในทันที และเมื่อเขากําลังจะหนีไปจากที่นี่ ลู่ไคก็พุ่งทะยานเข้ามาขวางทางของเขา
“ฆ่ามัน ข้าของสั่งให้พวกเจ้าฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด!!”ลู่จึงนั้นก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนกใส่ทหารองครักษ์รอบตัวเขา หลังจากได้รับคําสั่ง ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างสู่จึงนั้นก็ตะวัดดาบเข้าโจมตีไค อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เหล่าองครักษ์จะโจมตีโดน ผียักษ์เฟิงหยางนั้นกลับอ้าปากแล้วดูด ต่อหน้าดวงตาที่เต็มไปด้วยความ หวาดกลัวและหวาดหวั่น เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่รอบตัวของเขานั้นก็เหี่ยวแห้งจนกลายเป็นมัมมี่เลย
เหล่าทหารองครักษ์ที่เหลือที่เตรียมจะโจมตีก็หยุดชะงักเมื่อเห็นผลลัพธ์นี้แล้วจึงสูดหายใจเข้าอย่างหนาวเหน็บ ในขณะจ้องมองผียักษ์เฟิงหยางที่ยืนอยู่ข้างหวงเสี่ยวหลงอย่างหวาดระแวง
แม้ว่าลูไคนั้นจะตกตะลึงมากๆแต่เขานั้นก็ฟื้นสติได้อย่างรวดเร็วแล้วหันมาจดจ่ออยู่กับน้องชายของเขา ลู่จิง ลูไคนั้นก็ได้ใช้หมัดชักออกไปใส่อกของคู่จิงโดยไม่พูดอะไรสักคํา ลู่จิงที่โดนชกใส่นั้นก็ตัวงอและร่วงหล่นไปจากเวที
ลูไคนนั้นก็กระโดดลงแล้วเก้าเข้าหาสู่จึง
เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่รอบๆนั้นก็ยืนเรียงเป็นแถวอยู่เฉยๆ และเฝ้ามองดูฉากตรงหน้าซึ่งพวกเขานั้นไม่มีใครกล้าจะหยุดไคเลยสักคน
“ท่านพี่ ได้โปรด อย่า อย่าฆ่าข้าเลย!!”ลู่จึงนั้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นในขณะใช้ดวงตาเฝ้ามองลู่ไคที่เดินมาหา เขานั้นรู้สึกหวาดกลัวไปหมดและบโบกไม้โบกมือให้ลูไค “ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด ขอร้องหล่ะ อย่าฆ่าข้าเลย”
ใบหน้าของลูไคนั้นกลับเย็นชาและมืดครึ้มไปหมด “อย่าฆ่าเจ้างั้นเรอะ?!”ลูไคนั้นก็เหยียดฝ่ามือซ้ายตรงแล้ว ใช้มือเฉือนออกไปอย่างแน่วแน่
ทางสู่จึงนั้นก็ยกมือขึ้นจับคอของตัวเองในขณะอ้าปากค้างราวกับปลาขาดน้ําและใบหน้าของเขานั้นก็แดงแจ๋ไปหมด ตั้งแต่ต้นจบตบในสายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความสิ้นหวังและความโมโหเต็มไปหมด จากนั้นเขาก็พยายามตะเกียตะกายใช้มือราวกับกรงเล็บตะวัดขีดข่วนใส่ลู่ไคแต่หลังจากก้าวได้สองก้าว ฟูจิงก็ตัวสั่นสะท้านแล้วล้มลงกับพื้นโดยไม่เคลื่อนไหวใดๆอีก
ลูไคนั้นก็จ้องมองร่างของลู่จิงอย่างเย็นชา ส่วนเหล่าทหารองครักษ์รอบข้างและรวมไปถึงฝูงชนที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็นิ่งเงียบลงในขณะเฝ้ามองศพของลู่จึง
จากนั้นชั่วครู่ หวงเสี่ยวหลงก็เดินมายืนข้างสู่ไค “ท่านเป็นไงบ้าง?”
ลู่ไคนั้นก็ส่าหัวแล้วสูดหายใจเข้าออกอย่างโล่งอกราวกับว่าภาระที่เขาแบกไว้นั้นได้หลุดออกไปแล้ว “ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ยิ้มออกมา “ข้าเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้ที่โรงเตี้ยมเลิสรสแล้วนะ งั้นเราไปดื่มกันใหม?”
ลูไคนั้นก็อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะฉีกยิ้มออกมา “แล้วมีสุราจันททราหิมะหล่ะ?”
หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “มีสิ”
“ในเมื่อมีอาหารและสุราดีๆ งั้นข้าก็ต้องไปแน่นอน”ลูไคก็หัวเราะออกมา
จากนั้นชั่วครู่ เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่ภายในลานแห่งนั้นก็เฝ้ามองดูหวงเสียวและลู่ไคเดินจากไปอย่างชิวๆ ไม่มีใครกล้าขัดขวางและหรือหยุดพวกเขาเลย ไม่นานนัก พวกเขาทั้งสามก็เดินทางไปถึงโรงเตี้ยมเลิศรส
เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมเลิศรสได้เห็นหวงเสี่ยวหลงกลับมาพร้อมกับลูไคที่อยู่ข้างๆ เขานั้นก็ยืนอึ้งไปราวกับท่อนไม้ไปนาน ก่อนที่เขาจะนึกขี้เนมาได้ว่าต้องคุกเข่าทักทายลู่ไค
หลังจากเจ้าของโรงเตี้ยมยืนขึ้น หวงเสี่ยวหลงก็เดินนําพวกเขาขึ้นไปยังชั้นสองพร้อมกับถามว่า “เถ้าแก่ อุ่นอาหารแล้วหรือยัง?”ก่อนที่หวงเสี่ยวหลงจะจากไป เขานั้นได้สั่งให้อุ่นอาหารไว้รอ
เจ้าของโรงเตี้ยมนั้นจึงแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาซึ่งเขานั้นก็ไม่รู้ว่าจะตอบหวงเสี่ยวหลงยังดี เพราะเขานั้นไม่เชื่อว่าหวงเสี่ยวหลงนั้นจะสามารถช่วยไคได้และนี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลับมากินเลย
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อุ่นอาหารไว้ให้
แล้วหวงเสี่ยวหลงจะไม่เข้าใจสีหน้าของเจ้าของโรงเตี้ยมได้อย่างไร เขานั้นก็ไม่ได้คิดจะกล่าวโทษด้วย เพราะงั้นเขาจึงเดินไปยังโต๊ะเดิมของเขาพร้อมกับลไค
แม้ว่าเจ้าของร้านนั้นจะไม่ได้อุ่นอาหารของหวงเสี่ยวหลงไว้ให้ แต่เขานั้นก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นใช้โต๊ะนี้หรือเอาอาหารไป
หลังจากนั่งลงแล้วหงายมือออกมา เปลวเพลิงแก่นแท้อันกระจ้อยร่อยนั้นก็ได้ลอยขึ้นมาบนฝ่ามือของหวงเสี่ยวหลง และด้วยการปัดผ่านสุราและอาหารก็ได้เกิดควันอันเล็กกระจ้อยร่อยลอยขึ้นมาอาหารพร้อมกับกลิ่นหอมอันโอชะที่กระจายไปทั่วอากาศ
เจ้าของโรงเตี้ยมนั้นก็ตกตะลึงกับฉากตรงหน้า จากนั้นเขาก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “นายน้อยหวงองค์ชายลูไค เหล่าองครักษ์ที่ไล่ตามมาก็คงจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้า ท่านไม่ควรจะ…?”สําหรับเขาแล้ว ในเมื่อหวงเสี่ยวหลงช่วยเหลืององค์ชายลู่ไคได้สําเร็จแล้ว หวงเสี่ยวหลงและองค์ชายลูไคนั้นก็ควรจะหนีออกไปจากอาณาจักรลั่วถางทันทีและยิ่งไกลยิ่งดี แต่ทั้งสองคนนี้กลับมีอารมณ์มานั่งกินดื่มสังสรรค์กันซะงั้น?
หากว่านิกายเทพวายุและทหารองครักษ์มาเจอพวกเขาที่นี่แล้ว และพวกเขาจะทํายังไงกันดีหล่ะ?
ทั้งหวงเสี่ยวหลงและลูไคนั้นก็หัวเราะกันออกมาเมื่อได้ยิน ซึ่งมันทําให้เจ้าของโรงเตี้ยมนั้นอึ้งจนไม่เข้าใจอะไรเลย
หวงเสี่ยวหลงจึงหยุดหัวเราะแล้วพูดว่า “เอาน่าเถ้าแก่ เจ้าลงไปก่อนเลย ถ้าหากพวกเราต้องการอะไร พวกเราจะเรียกแล้วกัน”
เมื่อเห็นแบบนี้ เจ้าของโรงเตี้ยมนั้นก็ไม่กล้าจะซักไซร้ไปมากกว่านี้แล้ว จึงทํายกมือทําความเคารพก่อนจะจากไป
“มา มาดื่มกัน” เมื่อเห็นเจ้าของโรงเตี้ยมหายไปจากสายตาแล้ว หวงเสี่ยวหลงก็ชูแก้วขึ้นแล้วชนใส่แก้วของลู่ไค
ที่จริงแล้วก็ไม่จําเป็นต้องพูดถึงแต่สุราจันททราหิมะที่ใช้เพลิงแก่นแท้รุ่นนั้นมันกลับอร่อยกว่าเดิมอีก สุรานั้นมันก็นุ่มละมุนลื่นลงคอ และยังมีความอบอุ่นแทรกอยู่ในนั้น ซึ่งเรียกว่ามันเป็นสุราที่ทําให้ติดใจมาก
เรียกว่ามันเป็นอาหารทิพย์ของเทพก็ว่าได้
แต่ในโกนี้ คงมีแต่หวงเสี่ยวหลงแค่คนเดียวเท่านั้นที่บ้าพอถึงขั้นใช้เพลิงแก่นแท้อุ่นอาหารและสุรา
ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงและลู่ไคกําลังเพลิดเพลินอยู่กับอาหารและสุราที่โรงเตี้ยมเลิศรส ที่นอกเมืองหลวงลั่วถางห่างออกไปหลายร้อยเมตร บนสันเขาขนาดย่อมนั้นก็มีพระราชวังตั้งอยู่ พระราชวังนี้ก็คือฐานหลักของนิกายเทพวายุที่สร้างขึ้นในอาณาจักรลั่วถาง
ในตอนนี้ประมุขนิกายเทพวายุนั้นก็ยืนอยู่ด้านล่างของที่นั่งสําหรับประมุข ส่วนที่นั่งของประมุขในห้องโถงนั้ นก็มีชายหนุ่มชุดขาวที่มีดวงตาสีฟ้าเย็นชานั่งอยู่ ส่วนที่หน้าผากของเขานั้นก็มีลวดลายสีทองอันเด่นชัดอยู่
ชายหนุ่มคนนี้นั้นก็คือชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่พาหลี่ลู่ไปจากเมืองจักรพรรดิของจักรวรรดิตัวนเริ่นพร้อมกับหลี่โม่หลิน ซึ่งก็คืออ่าวไปเสวียแห่งนิกายเทพนักรบ!! เมื่อหลายปีก่อน อ่าวไปเสวียนั้นได้เผยพลังขั้นนักบุญศักดิ์สิทธิออกมาและทําให้หวงเสี่ยวหลงบาดเจ็บ
Invincible โลกอมตะ

Invincible โลกอมตะ

จากลูกศิษย์ของวัดเส้าหลินบนแผ่นดินใหญ่ หวงเสี่ยวหลงกลับคืนสู่โลกแห่งการต่อสู้โดยได้อาศัยความรู้จากความลับของหัวเซี่ย ซึ่งเป็นวิชาลับจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ในโลกของจิตวิญญาณการต่อสู้โดยเฉพาะผู้ที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้เท่านั้นที่จะสามารถฝึกในปราณฉีและกลายเป็นนักรบได้ หวงเสี่ยวหลงเกิดมาพร้อมกับวิญญาณการต่อสู้ที่หายากจากภายในสวรรค์แห่งนี้ได้ถูกปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ ในช่วงพิธีปลุกเสกโดยคนของโลกแห่งนี้ อย่างไรก็ตามหวงเสี่ยวหลง กับ “ตัวแปร” จิตวิญญาณการต่อสู้ต้องลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้งและแสดงความสามารถพิเศษอื่น ๆ เพื่อเอาชนะเหล่าอัจฉริยะสร้างความตกตะลึงให้กับตระกูลและเหล่าผู้คนของโลกจิตวิญญาณการต่อสู้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท