บทที่ 259 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-1
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกนี้มีแมลงชนิดหนึ่งเรียกว่าแมลงเกล็ด”
ฮั่ววั่งหยุดฝีเท้า ชำเลืองมองและเอ่ยถาม
“ไม่รู้ นี่มันชื่อแปลกพิลึกอะไรกัน”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
“เจ้าแมลงเกล็ด นอนจำศีลในดินกว่าห้าสิบปีจึงจะโผล่ออกมา หากออกมาแล้วจะกลายร่างเป็นผีเสื้อหลากสีสันงดงามไร้ที่เปรียบ หากไม่ออกมาก็จะแตกหน่อทะลุพื้นดินเป็นบุปผางดงามไร้ที่เปรียบเช่นกัน”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ถึงอย่างไรสุดท้ายก็เป็นความงดงามหาที่เปรียบไม่ได้อยู่ดี!”
ฉู่คั่วนอนบนเตียง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ฮั่ววั่งไม่ตอบ ทว่าเปิดประตูเดินออกไป
ครั้นลงไปชั้นล่าง ผู้ที่ออกมาต้อนรับคือเถ้าแก่โรงเตี๊ยมพูนโชค
“ฝ่าบาทติ้งซีอ๋องได้รับความอับอายเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ทรงพระพิโรธพ่ะย่ะค่ะ”
เถ้าแก่กล่าวถาม
“เจ้าว่าข้าหน้าหนาหรือ”
ฮั่ววั่งย้อนถาม
“กระหม่อมไม่กล้า”
เถ้าแก่ค้อมกายคำนับกล่าวอย่างนอบน้อม
“ข้าหาได้หน้าหนาไม่ กลับกันยิ่งต้องรักษาหน้ากว่าผู้ใด เพียงแต่ในสายตาผู้คนทั่วไป ข้าดูไม่เข้มงวดกับธรรมเนียมก็เท่านั้น”
ฮั่ววั่งกล่าว
พูดจบก็ออกจากโรงเตี๊ยมพูนโชค
เถ้าแก่มองร่างฮั่ววั่งที่ไปไกลลิบด้วยความรู้สึกทอดถอนอารมณ์อย่างยิ่ง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เพียงสั่งกำชับเสี่ยวเอ้อร์
คืนนี้จัดสุราหนึ่งโต๊ะส่งให้ฉู่คั่วตามคำขอของติ้งซีอ๋อง
ฉู่คั่วนอนอยู่บนเตียงลำพังมองดูแสงแดดนอกหน้าต่างพลันรู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย
สัญชาตญาณบอกเขาว่าเขาไม่ได้ดื่มมากไป
แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามเสมอ
เขาดื่มมากแล้ว
สุราของเมืองจี๋อิงมีฤทธิ์แรงกว่าที่อื่น
เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ชายแดนมักจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าผู้ที่อยู่ที่ราบตอนกลาง
ผู้คนเป็นเช่นไรก็ดื่มสุราเช่นนั้น
สุราของเมืองจี๋อิงสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของผู้คนที่นี่
ฉู่คั่วเป็นแขกผู้มาเยือน
เขาจึงไม่รู้ว่าสุราของที่นี่มีฤทธิ์ระดับใด
และไม่รู้ชัดว่าคนที่นี่มีลักษณะนิสัยแบบใดเช่นกัน
แต่เขาไม่สนใจ
ฉู่คั่วก็คือฉู่คั่ว
ดื่มสุราที่อื่นเท่าใด อยู่ที่เมืองจี๋อิงก็ดื่มมากเท่านั้น
ไม่ว่าสุราจะแรงเพียงใด ก็ดื่มมากเท่ากันอยู่ดี
ไม่ว่าคนที่นี่จะดุร้ายเพียงใด ตราบใดที่มายั่วยุเขา ย่อมต้องตายเช่นกัน
เพียงแต่กระบี่ของเขาไม่มีทางออกจากฝักง่ายๆ
ทันทีที่กระบี่ของเขาออกมาจะต้องมีชื่อเสียงก้องโลก
เรื่องเล่าที่ฮั่ววั่งกล่าว
เขาเข้าใจมัน
ไม่ว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ในเมืองติ้งซีอ๋องจะเป็นการดื่มฉลองหรืออาวุธสังหาร
เขาก็ยังต้องฆ่าซือเฟิงอยู่ดี
ทันใดนั้นเขาก็ผล็อยหลับไป
ทั้งยังฝันอีกต่างหาก
เขาไม่ได้ฝันมานานมากทีเดียว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่เขาได้รับกระบี่ในมือเล่มนี้ก็ไม่เคยฝันอีกเลย
โดยเฉพาะฝันที่เกี่ยวกับสตรี
…………………….
ทว่าเมื่อก่อนหน้านี้เขาเคยมีสตรีผู้หนึ่ง
กระทั่งแต่งงานกันด้วยซ้ำ
เพียงแต่ไม่มีลูกเต้า
ไม่มีลูกเต้า แม้จะแต่งงานแล้วก็ตาม
ในเรือนก็ดูว่างเปล่า
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจริงๆ แล้วเขามาจากทะเลทรายทางใต้
ทางใต้อาณาจักรผิงหนานอ๋อง
ดินแดนชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้
แต่เขาไม่ใช่ชนเผ่าป่าเถื่อน
ชนเผ่าป่าเถื่อนพิเศษออกไป
คนธรรมดาอยากจะอยู่รอดในทะเลทรายทางใต้
ไม่เพียงแต่ต้องมากความสามารถ ทั้งยังต้องมีไหวพริบ
แน่นอนว่าฉู่คั่วมีความสามารถ
แต่ไม่ว่าจะมองเขาอย่างไรล้วนไม่ใช่ผู้ที่มีไหวพริบ
ทว่าเขาก็ยังสามารถตั้งรกรากที่ทะเลทรายทางใต้ได้
นี่เป็นเรื่องที่แปลกพิลึกจริงๆ
แต่เขาก็ทำได้
โลกมนุษย์มักมีข้อยกเว้นเสมอ
ฉู่คั่วก็เป็นข้อยกเว้นนี้ที่ทะเลทรายทางใต้
บิดามารดาของเขาด่วนจากไป ทั้งยังไม่มีพี่น้อง
คนเดียวลำพัง ชีวิตค่อนข้างสบาย
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง
สตรีผู้หนึ่งมาเยือนถึงหน้าประตูเรือนของเขา
สตรีผู้นั้นหน้าตาไม่สวยสดงดงาม
ทว่าบึกบึนอย่างยิ่ง
คล้ายบุรุษยิ่งกว่าฉู่คั่วหลายส่วน
นางควบม้าผ่านหน้าประตูเรือนฉู่คั่ว
มีบาดแผลจากดาบกระบี่อยู่ทั่วกาย
ฉู่คั่วในยามนั้นหาได้รู้ว่าเป็นบาดแผลแบบใดไม่
เขารู้เพียงว่าสตรีผู้นี้เลือดไหลไม่หยุด อีกทั้งลมหายใจรวยริน
เรื่องราวต่อมาก็เป็นตามแบบแผนเดิมๆ อย่างยิ่ง
แบบแผนเดิมๆ จนนักเล่าเรื่องคร้านจะใช้มันมาเป็นภาษาเล่าของตนเองด้วยซ้ำ
สตรีผู้นี้ย่อมกลายเป็นสตรีของฉู่คั่ว
หลังจากอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้น
ฉู่คั่วถามนางว่ามาจากหนแห่งใด
เนื่องจากเขาไม่เคยพบเห็นคนภายนอกมาก่อน
ตนก็ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกลๆ
สถานที่ไกลที่สุดก็เพียงเดินผ่านทะเลทรายโกบีไปตักน้ำใช้น้ำดื่ม
สตรีนางนั้นบอกเขาว่ามาจากยุทธภพ
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉู่คั่วได้ยินสองคำนี้ ดวงตาของเขาพลันลุกวาวทันที
ละม้ายคล้ายกับต้นหูหยางในทะเลทราย
ตั้งตระหง่านไม่รู้ล้มระหว่างความเป็นความตาย
สตรีผู้นั้นย่อมมองออกถึงความผิดปกติในแววตาเขา
นางบอกฉู่คั่ว
ทางที่ดีที่สุดอย่าไปยุทธภพ
หากไปแล้วอาจจะกลับมาไม่ได้อีกเลย
ฉู่คั่วพยักหน้า ถึงอย่างไรก็เป็นคำพูดที่สตรีของตนพูด
เขาไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับยุทธภพมากนัก
ไม่พยักหน้า แล้วจะตอบรับด้วยวิธีใดได้อีก
แต่สตรีของเขาหาได้โง่เขลาไม่ เพียงถอนหายใจเบาๆ
สตรีผู้นั้นรู้ว่ายามที่นางเอ่ยคำว่ายุทธภพออกมา ฉู่คั่วก็ได้เป็นชาวยุทธภพแล้ว
ตนคือผู้ที่เคยพยายามสุดชีวิตเพื่อหลบหนีจากสถานที่แห่งนั้น
จนท้ายที่สุดสตรีผู้นั้นก็เสียชีวิต
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโศกเศร้าเกินไปหรืออาการบาดเจ็บเก่ากำเริบ
แต่ฉู่คั่วไม่ได้เสียใจมากนัก เหมือนเขารู้มานานแล้วว่าวันนี้จะมาถึง
ฉู่คั่วแบกร่างศพสตรีของตนเดินผ่านทะเลทรายโกบีสองผืนนั้น
ฝังนางไว้ในที่ที่ตนเองตักน้ำ
จากนั้นฉู่คั่วก็พักแรมอยู่ที่นั่นสองวันสองคืน
ไม่เอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว ทำเพียงดื่มน้ำไม่หยุด
น้ำนี้ดูเหมือนจะละลายกระดูกและเลือดสตรีของเขาลงไปก็ไม่ปาน
ในค่ำคืนที่สอง
ฉู่คั่วเข้าใจเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือการดื่มน้ำมากๆ ทรมานยิ่งกว่าดื่มสุรามากๆ เสียอีก
ทว่าเขาในตอนนั้นไม่เคยดื่มสุรา
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่คิดและรับรู้ได้ในภายหลัง
กินน้ำมากไป ท้องปวดจนทนไม่ไหว
แม้จะอยากอาเจียน ทว่าอาเจียนไม่ออก
ทำได้เพียงนอนตัวตรงเท่านั้น เช่นเดียวกับท่าทางของเขาในโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองจี๋อิง
รอจนฟ้าสว่างโร่ในวันที่สาม
ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่นาน
เขาเหงื่อท่วมกายไม่รู้ตั้งเท่าไร จึงคลายความอึดอัดจากการอิ่มน้ำนี้ไปได้
ฉู่คั่วเคยได้ยินบิดามารดาของตนพูดไว้เมื่อมานานแล้ว
ตราบใดที่เดินตามดาวดวงใหญ่เหนือศีรษะไปเรื่อยๆ ก็จะออกจากทะเลทรายจนไปถึงอาณาจักรผิงหนานอ๋อง
อาณาจักรผิงหนานอ๋องจะเป็นยุทธภพหรือไม่ เขาไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ ที่นี่ไม่ใช่
ฉะนั้นในค่ำคืนที่สามฉู่คั่วมองดาวดวงใหญ่แล้วออกเดินทาง
นอกจากถุงหนังแพะใส่น้ำสองใบบนกายแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดอีก
นับว่าเป็นการเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ
ทะเลทรายโกบีถูกทิ้งร้าง
ช่วงบ่ายอากาศร้อนอบอ้าว มักมีภาพลวงตาปรากฏตรงหน้า
ช่วงกลางวัน เขาพยายามหาร่มเงาเพื่อเลี่ยงแสงแดดรุนแรงอย่างสุดความสามารถ
ช่วงกลางคืนก็ยังเดินหน้าตามทิศทางของดาวดวงใหญ่โดยไม่หยุดแม้เพียงครู่
เขาก็ไม่รู้ว่าแรงจูงใจมาจากที่ใด
เพียงเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แต่โชคของเขาดีจริงๆ
มักจะพบแหล่งอุดมสมบูรณ์หลังจากดื่มน้ำหมดเกลี้ยงได้ไม่นานเสมอ
สิ่งที่เรียกว่าแหล่งอุดมสมบูรณ์
เป็นเพียงแอ่งน้ำและต้นไม้ไม่กี่ต้นเท่านั้น
แต่กลางทะเลทรายโกบีทางใต้แล้ว มันคือความหวังของชีวิต
ไม่มีสถานที่แหล่งอุดมสมบูรณ์
พื้นทะเลทรายโกบีมีหุบเขาที่สลับซับซ้อนเต็มไปหมด
คล้ายผิวหนังสตรีของเขายิ่งนัก
สตรีของเขาบอกกับเขาว่า นี่ล้วนเป็นเครื่องหมายของยุทธภพ
เมื่อคนทั่วไปเห็นเครื่องหมายเช่นนี้ จะต้องสะท้านหวาดกลัวยุทธภพทั้งสิ้น
แต่ฉู่คั่วไม่ใช่
ยิ่งสตรีพูดมากเท่าใด ความสนใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูน
ยิ่งต้องการไปยุทธภพ
ฉู่คั่วไม่เคยทำความฝันนี้สำเร็จเลยแม้แต่หนเดียว
แม้เขาไม่รู้ว่าทำเช่นไรจึงจะนับว่าสำเร็จก็ตาม
เดินทางออกจากทะเลทรายทางใต้หรือว่าตามหายุทธภพนั่นกันเล่า
…………………….
ยามที่ตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็มืดแล้ว
พระจันทร์ยังไม่ทันได้ขึ้น
ฉู่คั่วตื่นนอน เห็นบนโต๊ะนำสุรามาจัดวางใหม่อีกครั้ง
ฉู่คั่วหัวเราะร่าพลางเดินไปด้านหน้าโต๊ะ
ดื่มสุราทีละกาจนเกลี้ยง
เดิมทีผู้ที่เมาสุรา หลังจากสร่างเมาแล้วจะกระหายน้ำที่สุด
ฉู่คั่วก็กระหายน้ำมากเช่นกัน
แต่เขากลับไม่ดื่มน้ำ
เขาดื่มสุรา
สุรายิ่งดื่มยิ่งกระหาย ยิ่งกระหายก็ยิ่งดื่ม
ในที่สุดฉู่คั่วก็ดื่มสุราทั้งโต๊ะจนหมด
เขาเมาอีกแล้ว จึงไม่รู้สึกว่ากระหายน้ำอีก
ในยามนี้เอง
พระจันทร์นอกหน้าต่างลอยเด่น
เขาดื่มสุราจนเกลี้ยง ทั้งยังชักกระบี่ออกมา
ตวัดใส่ดวงจันทร์เน้นๆ ครู่หนึ่ง
ราวกับจะแบ่งพระจันทร์ออกเป็นสองซีกก็ไม่ปาน
จากนั้นก็ไปทั้งเช่นนี้ แม้แต่ฝักกระบี่ก็ไม่หยิบไปด้วย
ถือกระบี่ออกจากห้องแล้วลงไปชั้นล่าง
“ท่านลูกค้าจะไปแล้วหรือขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์เห็นฉู่คั่วลงมาจึงรีบร้อนก้าวเข้าไปถามไถ่
“ราชสำนักทุ่งหญ้าไปอย่างไร”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
กลิ่นสุราคละคลุ้งทั่วปาก
“ท่านลูกค้าดื่มสุรามากเพียงนี้ เกรงว่าจะเดินทางลำบาก”
เสี่ยงเอ้อร์กล่าวอย่างสุภาพ
“อย่างไรจึงจะนับว่าดื่มสุรามาก”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
เสี่ยวเอ้อร์ตอบคำถามไม่ได้
แต่ยังคงยืนนอบน้อมอยู่ข้างกายฉู่คั่วเช่นเดิม
“แม้ข้าน้อยจะบอกปริมาณสุราของท่านลูกค้าไม่ได้ว่าดื่มเท่าใดจึงจะนับว่ามาก แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ฆ่าเจ้าซือเฟิงนั่นไม่ตายหรอก แม้แต่เดินเข้าเขตทุ่งหญ้าก็เป็นเรื่องยาก”
จู่ๆ เถ้าแก่ก็เดินออกมาแล้วกล่าวขึ้น
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงรู้เรื่องของข้า”
ฉู่คั่วเมาปลิ้น
ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย
ชั่วครู่หนึ่ง มองไม่เห็นความแตกต่างของการแต่งกายระหว่างเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์
“ข้าน้อยเถ้าแก่โรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองจี๋อิง”
เถ้าแก่กล่าวพร้อมค้อมกายคำนับ
แต่ฉู่คั่วไม่ได้คำนับกลับ
เขาได้ยินเพียงเถ้าแก่สองคำสุดท้ายในประโยคนี้เท่านั้น
เถ้าแก่
“หรือว่าฮั่ววั่งเป็นผู้เปิดโรงเตี๊ยมแห่งนี้”
ฉู่คั่วยิ้มพลางกล่าวถาม
“ย่อมไม่ใช่…แต่ทว่าในเมื่อเปิดอยู่บนดินแดนของติ้งซีอ๋อง ทุกคนย่อมรู้จักคุ้นเคยกัน”
เถ้าแก่กล่าว
“รู้จักคุ้นเคยหรือ เคยดื่มสุราด้วยกันหรือไม่”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
“นี่…นับว่าไม่เคย”
เถ้าแก่ถูกฉู่คั่วถามจนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“แม้แต่สุรายังไม่เคยดื่มด้วยกัน ยังกล้าบอกว่ารู้จักคุ้นเคยหรือ”
ฉู่คั่วกล่าวค่อนแขวะ
“หรือเพียงเพราะท่านลูกค้าเคยดื่มสุรากับติ้งซีอ๋องจึงกล้าดูแคลนโรงเตี๊ยมพูนโชคของข้าเช่นนี้”
เถ้าแก่ก็มีน้ำโหเช่นกัน
ดูแคลนเขาย่อมได้
แต่เขาเป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองจี๋อิง
เขาเป็นถึงหน้าตาของโรงเตี๊ยมพูนโชค
แต่ดูแคลนเขาก็เท่ากับดูแคลนทั้งโรงเตี๊ยมพูนโชคไม่ใช่หรือ
ฉะนั้นจะได้หรือไม่ได้นั้น ยังคงคลุมเครืออยู่
“ข้าไม่เพียงแต่เคยดื่มสุรากับเขาเท่านั้น ข้ายังคิดจะฆ่าเขา กระทั่งประมือไปหลายกระบี่ เจ้าว่ารู้จักคุ้นเคยมากพอหรือยังเล่า”
ฉู่คั่วโน้มกายกล่าวข้างหูเถ้าแก่
กลิ่นสุราคลุ้งเต็มปากทำเอาเถ้าแก่ลืมตาไม่ขึ้นเล็กน้อย
แต่คำพูดที่ได้ยินในหูทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวสั่น
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงนักรบเดนตายผู้หนึ่งของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวีรบุรุษ
“ท่านวีรบุรุษ โปรดอภัยให้สายตาโง่เขลาของข้าน้อยด้วยขอรับ!”
เถ้าแก่รีบถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมค้อมกายคำนับแล้วกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าว่า ข้าจะเดินไปถึงราชสำนักทุ่งหญ้าหรือไม่”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
“ด้วยความกล้าหาญของท่านย่อมไปถึงอย่างแน่นอนขอรับ!”
เถ้าแก่กล่าว
“เจ้าผู้นำหน่วยซือเฟิงนั่น ข้าจะฆ่าได้หรือไม่”
ฉู่คั่วกล่าวถามอีกครั้ง
“ด้วยความใจกล้าที่ลอบสังหารติ้งซีอ๋อง เจ้าซือเฟิงนี้ย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดขอรับ”
เถ้าแก่กล่าว
“ฮ่าๆ! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ แต่ข้าก็จะไม่โต้แย้งกับเจ้า! กระบี่ข้านี้ ฝักกระบี่ยังอยู่ในห้องพักชั้นบน อย่าลืมเก็บมันไว้ให้ข้าอย่างดีด้วย รอฆ่าคนเสร็จให้กลิ่นอายสังหารหายไปจากกระบี่ ข้าจึงจะกลับมารับฝักกระบี่คืน!”
ฉู่คั่วกล่าว
“ไฉนท่านจึงปล่อยให้กลิ่นอายสังหารสลายไปก่อนจะเก็บกระบี่เข้าฝักได้เล่า”
เถ้าแก่กล่าวถาม
“เพราะกลิ่นอายสังหารที่ฆ่าซือเฟิง ไม่คู่ควรตกค้างอยู่ในฝักกระบี่ของข้า!”
ฉู่คั่วกล่าว
จากนั้นสาวเท้าก้าวเดินเร็วราวกับดาวตกออกจากประตูใหญ่โรงเตี๊ยมพูนโชคไป
“เถ้าแก่ คนผู้นี้…”
เสี่ยวเอ้อร์เห็นฉู่คั่วจากไปจึงพูดอึกอัก
“หากเขาไม่ใช่คนฟั่นเฟือน ก็คงเป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญเทียมฟ้า จะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังขึ้นอยู่กับกระบี่ในมือเขาแล้ว!”
เถ้าแก่กล่าว
…………………………………………………………….