ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 261 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 261 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-3

ห้าสิบลี้

หากเป็นอดีต

เขาควบหมาป่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ไปถึงแล้ว

แต่ตอนนี้รถม้านี้โคลงเคลง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งค่อนวัน

เขาล้วงจดหมายของอวี้หรงพี่สาวออกจากอ้อมอก

อ่านมันทีละตัวใหม่อีกรอบ

ทันทีที่เปิดประตูรถลมหนาวพลันกระทบศีรษะ

ทำให้เขารู้สึกปวดร้าวจนทนไม่ไหวอีกครั้ง

เขากำหมัดแน่นจิกจนเล็บเข้าเนื้อ

ฝืนบังคับให้ตนมีสมาธิ

แม้จะอ่านช้าแต่ก็อ่านมันจนจบในที่สุด

ซือเฟิงสูดหายใจเข้าลึก

‘พลั่ก!’

เขากัดฟันเปิดประตูรถอีกครั้ง

กระโดดลงจากรถไปยืนตากลม

แม้ว่าปวดศีรษะจวนจะระเบิด

แต่สีหน้าของเขาเป็นปกติ

“ผู้นำหน่วยสาม! ร่างกายของท่าน…”

ทหารหน่วยกลืนจันทราที่ติดตามรีบก้าวเข้าไปหมายจะช่วยพยุง

“เจ้าไปขึ้นรถ ค่อยๆ เดินทางตามมา นำหมาป่าที่เจ้านั่งให้ข้า”

ซือเฟิงชี้ไปที่คนผู้หนึ่งแล้วกล่าว

คนผู้นั้นดูตกตะลึงเล็กน้อย

เนื่องจากซือเฟิงไม่ได้ขี่หมาป่ามาระยะหนึ่งแล้ว

พวกเขาในฐานะทหารองครักษ์

คอยเฝ้าอารักขาขนาบซ้ายขวาทั้งวันคืน

ย่อมรู้ชัดในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

แต่พวกเขาไหนเลยจะกล้าฝืนคำสั่งของซือเฟิง

จึงรีบลงจากหลังหมาป่าถอยให้ซือเฟิง

เมื่อซือเฟิงขึ้นควบ แม้เขาจะมองเห็นความยากลำบากของเจ้านายตน

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยพยุง

เพราะเขารู้จักนิสัยของซือเฟิงดี

เขาไม่มีทางแสดงด้านอ่อนแอขลาดเขลาของตนต่อหน้าผู้อื่นเด็ดขาด

ต่อให้เป็นทหารคนสนิทของตนก็ไม่มีทาง

สองสามครั้งก่อนหน้านี้เนื่องจากอาการปวดศีรษะกำเริบจนหมดสติไป

ถูกทุกคนหามกลับเข้ากระโจมก็ทำให้เขาอับอายอย่างยิ่งแล้ว

สามวันเต็มๆ ที่ซือเฟิงโกรธจัดระเบิดอารมณ์ในกระโจมค่าย

จานชามถูกเขวี้ยงแตกเป็นชิ้นๆ จนหมด

ยิ่งกว่านั้นไม่กินข้าวแม้แต่เม็ดเดียว เอาแต่ดื่มสุรา

“คำพูดในจดหมายของพี่สาวเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าไม่อาจชักช้าเสียเวลาได้อีก…”

ทหารด้านหลังยังไม่ทันได้โต้ตอบ

ชั่วพริบตาก็ถูกทิ้งห่างไปไกลแล้ว

………………….

“แม้จะสงบจนเกินไป แต่อาณาจักรห้าอ๋องมีอยู่สำนวนหนึ่งที่ว่ากันไว้ดีกว่าแก้”

อวี้หรงยกจอกสุราขึ้นมาจิบ

จากนั้นเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน

สายตามองตรงไปยังทางเข้ากระโจมโดยไม่ละสายตาแม้แต่น้อย

“ข้าน้อยก็รู้จักคำนี้ ไม่เพียงแต่กันไว้ดีกว่าแก้ ทั้งยังมีเตรียมการล่วงหน้า”

จื่อเหวินกล่าว

“ดูท่าแล้วผู้นำหน่วยรองจะรู้จักขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของอาณาจักรห้าอ๋องเป็นอย่างดี!”

อวี้หรงกล่าวและหันไปมองจื่อเหวินพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย

“มิกล้า แน่นอนว่าไม่มีทางรู้ไปมากกว่าผู้นำหน่วยใหญ่! ผู้นำหน่วยใหญ่สืบทอดแบบอย่างทั้งวาจาและการกระทำจากผู้นำหน่วยอาวุโสแห่งหน่วยกลืนจันทรา วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้า ย่อมเหนือกว่าข้ามากโข”

จื่อเหวินก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างนอบน้อม

อวี้หรงถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย

หากจื่อเหวินฝืนดันทุรังเช่นก่อนหน้านี้ต่อไป

เมื่องานเลี้ยงนี้จบลง กลุ่มวาณิชอาณาจักรอ๋องเหล่านี้จะต้องขำฟันร่วงเป็นแน่

ทว่าอวี้หรงสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ทันใดนั้นจึงสังเกตเห็นคมดาบนี้ในวาจาของจื่อเหวิน

ภายนอกดูเหมือนจะยกย่องตนว่ามีต้นกำเนิดสูงส่งและหยั่งรากลึก

แต่ในความเป็นจริง กำลังเอ่ยว่าตนสนิทชิดเชื้อกับอาณาจักรห้าอ๋องอยู่ไม่ใช่หรือ

หัวโขนที่สมคบคิดกับศัตรูสะกิดลงมาทีละน้อย

วันนี้เจ้ารู้จักหนึ่งสำนวนของอาณาจักรอ๋อง วันมะรืนก็รู้จักหนึ่งกลุ่มวาณิช

แต่ย่อมมีผลประโยชน์ต่อกันและกันเสมอ

ไม่มีผู้ใดได้รับบางสิ่งโดยไร้สิ่งตอบแทนได้

อวี้หรงสามารถให้สิ่งใดตอบแทนได้บ้าง

ย่อมเป็นสิ่งต่างๆ จากราชสำนักทุงหญ้า

ในสายตาของจื่อเหวิน

เพียงทรยศต่อผลประโยชน์ของทุ่งหญ้าก็เท่านั้น

อย่างน้อยก็เป็นผลประโยชน์ของหน่วยกลืนจันทรา

ก่อนส่งจื่อเหวินมายังหน่วยกลืนจันทรา หลางอ๋องหมิงเย่าเคยอธิบายเป็นพิเศษ

เขาบอกจื่อเหวิน

หน่วยกลืนจันทรานี้อยู่ภายใต้อำนาจแม่ทัพฝ่ายซ้ายอั๋งหราน

ผู้นำหน่วยอาวุโสที่เพิ่งเสียชีวิตในสนามรบเป็นพี่น้องร่วมสาบานของอั๋งหราน

ธรรมชาติของชาวทุ่งหญ้าเปรียบเสมือนไฟลุกโชน ความชอบธรรมและความกล้าหาญมาก่อน

พี่น้องร่วมสาบานของตนเพิ่งล่วงลับ ย่อมให้การดูแลหน่วยกลืนจันทราเป็นพิเศษ

ยิ่งกว่านั้นหน่วยกลืนจันทราเป็นหน่วยที่องอาจห้าวหาญที่สุดท่ามกลางฝ่ายซ้ายซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของอั๋งหราน

แม้ว่าพลังของเขาจะสาหัสในสงครามครั้งนั้นก็ตาม

แต่แมลงร้อยขา แม้ตายก็ไม่ล้ม

หมิงเย่ารู้สึกว่าหน่วยกลืนจันทรามีความลับมาโดยตลอด

แต่เนื่องจากเกียรติอันสูงส่งของอั๋งหราน ท้ายที่สุดก็ไม่อาจสืบหาได้ละเอียด

ฉะนั้นที่เขาให้จื่อเหวินมาที่หน่วยกลืนจันทรามีเพียงเป้าหมายเดียว

ฟังให้มาก สังเกตให้มาก คิดให้มาก

สามคำนี้ดูเหมือนจะเลือนรางไม่ชัดเจน

แต่ความเป็นจริงแล้วมันครอบคลุมทุกสิ่ง

เหตุใดต้องฟังให้มาก

เพียงแค่ฟังและพูดให้มากก็เท่านั้น

โดยเฉพาะระหว่างผู้นำหน่วยใหญ่อวี้หรงและผู้นำหน่วยสามซือเฟิง

เหตุใดจึงต้องสังเกตให้มาก

สังเกตความเปลี่ยนแปลงและรูปลักษณ์ของผู้คนหน่วยนี้เท่านั้น

สำหรับคิดให้มาก

จื่อเหวินกลับไม่ได้จัดระเบียบความคิดใดๆ

แต่หลางอ๋องหมิงเย่าเป็นอ๋องที่ฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ

อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ใช้จื่อเหวินคนผู้นี้ผิดไป

ต้องกล่าวว่าจมูกของจื่อเหวินไวอย่างยิ่ง

เพิ่งจะมาอยู่หน่วยกลืนจันทราไม่เท่าใด

เขามุ่งความสนใจทั้งหมดและเล็งหัวหอกไปทางผู้นำหน่วยสามซือเฟิง

อวี้หรงดูเหมือนจะเป็นผู้นำหน่วยใหญ่

แต่ยามงานราชการมักจะทำตามคำชี้แนะของผู้นำหน่วยสามซือเฟิง

แม้ว่าทั้งสองจะมีบิดาคนเดียวกันก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จื่อเหวินเกิดความคลางแคลงใจ

อย่างไรเสียอั๋งหรานฝ่ายซ้ายและอั๋งสยงฝ่ายขวาก็เป็นฝาแฝดกัน

เพียงเพื่อเสบียงอาหารก็วุ่นวายจนสถานการณ์ตึงเครียดตลอดวันแล้วไม่ใช่หรือ

“ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ ผู้นำหน่วยสามก็ไม่ควรละเลยเช่นนี้จึงจะถูก! ตอนที่ข้าน้อยได้รับจดหมายจากผู้นำหน่วยใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในหน่วย ทว่ารีบทะยานข้ามคืนที่เต็มไปด้วยดวงดารา พยายามไม่ให้มาช้าไป หนึ่งถือเป็นการไม่เคารพผู้นำหน่วยใหญ่จนเกินไป สองคือไม่ใช่วิถีต้อนรับของพวกเราชาวทุ่งหญ้า!”

จื่อเหวินกล่าวหลังจากยกจอกสุราเคารพกลุ่มวาณิชอาณาจักรอ๋องรอบวงอยู่ไกลๆ

อวี้หรงเม้มริมฝีปาก

เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว

คิดไม่ถึงว่าจื่อเหวินจะเปลี่ยนทิศโจมตีอีกครั้ง

ละเลย

ช่างเป็นลูกไม้ของบุรุษผู้นี้จริงๆ

ตามหลักเหตุผลแล้ว

วันนี้เป็นซือเฟิงที่ละเลยจริงๆ

แม้ว่าชาวทุ่งหญ้าจะไม่มีความแตกต่างเรื่องความสูงต่ำเช่นอาณาจักรห้าอ๋อง

แต่อย่างน้อยก็ยังมีกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติตาม

งานเลี้ยงเริ่มไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้วซือเฟิงยังไม่ปรากฏตัว นี่ไม่ใช่ว่าละเลยหรอกหรือ

แต่ครึ่งประโยคหลังของจื่อเหวินนั้นล่อแหลมอันตรายยิ่งกว่า

ครั้นได้ยินเข้าหูอวี้หรง เรียกได้ว่าบีบหัวใจทุกคำ

วิถีต้อนรับ

ทันทีที่สี่คำนี้หลุดออกมา กลุ่มวาณิชอาณาจักรอ๋องเหล่านั้นพลันตกตะลึงและมีแผนการอย่างเห็นได้ชัด

นางคิดไว้แล้วว่า

หัวหน้ากลุ่มวาณิชนี้จะต้องไปเยี่ยมเยือนกระโจมค่ายของจื่อเหวินแน่นอน

“วาจานี้ของผู้นำหน่วยรองมีอคติยิ่งนัก แม้ข้าจะยอมรับว่าซือเฟิงละเลยอยู่บ้าง แต่วิถีต้อนรับนี้เขาไม่มีทางทำผิดพลาดเป็นแน่”

อวี้หรงกล่าว

ตอนนี้นางก็หมดความคิดเช่นกัน

ทำได้เพียงเลี่ยงงานหนักทำงานเบา รีบดำเนินประเด็นต่อไป

“งั้นรึ หรือผู้นำหน่วยใหญ่มีแผนอื่นสำหรับเรื่องนี้เล่า”

จื่อเหวินแสร้งถามด้วยความประหลาดใจ

อวี้หรงยิ้มบางๆ อีกครั้ง

ดูมีเลศนัยอย่างเห็นได้ชัด

“เช่นนั้นข้าน้อยจะรอเรื่องประหลาดใจของผู้นำหน่วยใหญ่อย่างเงียบๆ!”

จื่อเหวินกล่าว

ประโยคนี้ไล่ต้อนอวี้หรงให้จนตรอกอีกครั้ง

หากซือเฟิงมาถึงโดยไร้การเตรียมตัวใดๆ

ควรจะทำอย่างไรดีเล่า

ยิ่งกว่านั้นจื่อเหวินชี้คำว่า ‘ประหลาดใจ’

เกรงว่าการเตรียมตัวตามปกติทั่วไปจะไม่เพียงพอให้เรียกว่าประหลาดใจ

แต่เรื่องราวดำเนินถึงเพียงนี้

คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

อวี้หรงยกจอกสุราขึ้นกล่าวคำพอเป็นพิธีด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปสองสามประโยค

ถือว่าชดเชยที่ละเลยต่อกลุ่มวาณิชอาณาจักรห้าอ๋องระหว่างที่คุยกับจื่อเหวินเมื่อครู่

ขณะที่จอกสุราของนางเพิ่งวางกลับไปบนโต๊ะ

กระโจมค่ายถูกแหวกออก

“ข้ามาสายแล้ว!”

ซือเฟิงพิงเสากระโจมไว้

สงบสติ

ความเจ็บปวดจากอาการปวดศีรษะแทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง

แต่เขารู้ว่าตนต้องอดทนไว้

แม้จะหมดสติ ก็ต้องรอให้แขกและเจ้าบ้านสนุกสนานรื่นเริงให้จบก่อน

คำพูดเหล่านี้ลอดออกจากไรฟันเขา

แต่ถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมานั้นล้วนราบรื่นและน้ำเสียงมั่นคง

จากนั้นจึงก้าวเข้าไปในกระโจม

ก่อนอื่นประสานมือคำนับอวี้หรง

ตามด้วยหมุนตัวหันกลับมาทักทายในแบบเดียวกันต่อจื่อเหวิน

จากนั้นนั่งลงในตำแหน่งของตน

เพียงแต่ขณะที่เขานั่งลง อวี้หรงเห็นร่างกายของน้องชายตนสั่นสะท้านเล็กน้อย

“ผู้นำหน่วยสามธุระยุ่งเสียจริง!”

จื่อเหวินโจมตีก่อนอีกครั้งดังที่คาดไว้

“สันติเพียงนี้ ธุระจะมาจากที่ใดเล่า ข้าน้อยเพียงได้รับคำสั่งจากผู้นำหน่วยใหญ่ให้เตรียมการบางอย่างเป็นพิเศษสำหรับสหายอาณาจักรห้าอ๋องเหล่านี้ที่มาจากแดนไกล คิดไม่ถึงว่าจะล่าช้าอยู่นานทีเดียว”

ซือเฟิงกล่าว

ครั้นกล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นดื่มสุราสามจอก

กล่าวว่าเป็นการลงโทษตนที่มาสาย

ความจริงแล้วหมายจะอาศัยฤทธิ์สุราระงับอาการปวดศีรษะของตน

“เช่นนี้นี่เอง! ข้าก็พูดอยู่ว่าผู้นำหน่วยสามไม่มีทางไม่รู้มารยาทเพียงนี้ ข้ากลับทึกทักเอาเองเสียแล้ว!”

จื่อเหวินยืนขึ้น ค้อมกายคำนับเล็กน้อยพลางกล่าว

อวี้หรงหรี่ตา

นางรู้สึกว่าตนประมาทจื่อเหวินผู้นี้ต่ำไป

ทั้งที่ก่อนหน้านี้วาจาของเขาเหนือกว่ามาโดยตลอด

แต่ขณะนี้เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ฝ่ายตนเปลี่ยนไป จึงยอมรับความผิดพลาดที่ไม่สมควรนี้อย่างเปิดเผย

จิตใจเช่นนี้ เขาต้องมีแผนการใหญ่ในภายภาคหน้าเป็นแน่

อวี้หรงสบตากับซือเฟิง

ในใจสองพี่น้องล้วนตรงกัน

แม้จะกำจัดคนผู้นี้ไม่ได้ ทว่าต้องระมัดระวังป้องกันให้มากกว่าเดิม!

……………………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท