ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 205 ร้านต้องคำสาปแสนร้ายกาจ

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 205 ร้านต้องคำสาปแสนร้ายกาจ

บทที่ 205 ร้านต้องคำสาปแสนร้ายกาจ

เสียงร้องไห้ดังกระหึ่มไปทั่ว ฟังแล้วน่าสลดใจยิ่งนัก

เหล่าเพื่อนบ้านผู้ที่ชอบแอบดูร้านต้องคำสาป และได้สูดกลิ่นหอมจากอาหารวิญญาณพิเศษอยู่ตลอดเวลา ต่างเกิดคำถามขึ้นมา พวกเขาต้องการสอดส่องผ่านม่านพลังอาคมเพื่อดูสถานการณ์ด้านใน แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้จะใช้พลังวิญญาณ ก็ยังมองไม่เห็นอะไรในร้านต้องคำสาปนั่นอยู่ดี

ยิ่งมองไม่เห็น เหล่าเพื่อนบ้านก็ยิ่งคันไม้คันมือ อยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก! จิตวิญญาณแห่งการนินทายิ่งโชติช่วงมากขึ้น แต่พวกเขาก็ได้เพียงแต่เงี่ยหูฟังเท่านั้น

“พวกท่านเห็นคนที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่บ้างหรือไม่ ภายในนั้นได้เกิดการต่อสู้ขึ้นใช่หรือไม่!?”

“ข้าคิดว่าใช่ เพราะพวกนั้นคือสมาชิกของสมาคมนักกลั่นโอสถ”

“เช่นนั้นก็ต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นเป็นแน่! สำนักกับสมาคมนั้นมีเรื่องบาดหมางกันมาช้านาน เรื่องสนุกเช่นนี้…”

ในขณะที่บรรดาเพื่อนบ้านกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในร้านต้องคำสาปอีกครั้ง ทำให้พวกเขาทนอยู่เฉยไม่ไหวแล้ว คำสาปแช่งอะไรนั่นช่างมันก่อนเถิด! พวกเขาวิ่งเข้าไปในร้านต้องคำสาปนั้นอย่างรวดเร็วราวกับนกที่กำลังโบยบิน

ทันใดนั้น ร้านต้องคำสาปแห่งนี้ก็มีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาสามสิบกว่าคน ทำให้ลูกศิษย์ต่างเกิดความสับสน และหลังจากนั้น ความดีใจราวกับแล่นจากเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ

หัวหน้าตะขาบมรกตกลัวนักกลัวหนาว่าลูกค้าจะหนีไป จึงโบกมือแล้วปิดประตูหน้าร้านให้แน่นหนา

ด้วยความใจร้อน เหล่าเพื่อนบ้านจึงวิ่งเข้ามาเพื่อดูเรื่องวุ่นวาย แต่เมื่อหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทด้วยกลไกราวกับหุ่นเชิด จากนั้นก็หันกลับไปสำรวจสถานการณ์ในร้านอย่างพร้อมเพรียงกัน

จากการคาดการณ์ของพวกเขาคาดว่าจะพบเศษซากเกลื่อนกลาด เลือดสาดกระจาย และศพเกลื่อนพื้น ทว่ากลับไม่ปรากฏสิ่งใดให้เห็นเลย พวกเขาเห็นเพียงสมาชิกห้าคนของสมาคมนักกลั่นโอสถนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาสงสัย

“เอ่อ… พวกเราหลงทาง ขอตัวกลับก่อน…” เพื่อนบ้านระงับความสั่นไหวในใจเอาไว้ และเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง ในใจพวกเขายังคงมีความหวังอยู่ว่าร้านนี้คงไม่บังคับซื้อขายอย่างแน่นอน

“ใช่แล้ว พวกเราเดินหลงทางมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเราจะไปแล้ว…”

พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อจะเปิดประตูร้าน แต่หลังจากใช้พลังวิญญาณทั้งหมดแล้วก็ยังเปิดไม่ได้ ช่างประหลาดนัก!

“ข้าทำให้!”

หนึ่งในผู้บำเพ็ญที่ร่างกายสูงใหญ่และแข็งแกร่งตะโกนเสียงดัง แล้วออกแรงดึงถอยหลังอย่างสุดแรง จนพลังควบคุมไม่อยู่และด้ามจับประตูหักลง คนผู้นั้นก็กระเด็นถอยหลังไปอย่างแรง ร่างของเขาชนเข้ากับหินก้อนโตที่อยู่ด้านหลังจนแหลกสลาย

ผู้คนในสถานที่นั้นต่างเหลือบไปมองที่ประตูแล้วเห็นผู้บำเพ็ญที่ถูกเศษหินทับอยู่ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยความหวาดกลัว

“ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าไปแล้วหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตยกผู้บำเพ็ญคนนั้นขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว แล้วโยนไปที่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ “ถ้ามาแล้วไม่กินสักมื้อ อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”

“เจ้าหมายความว่าจะขายสินค้าด้วยการบังคับอย่างนั้นหรือ?”

“ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้!”

“ทุกคนช่วยกันโจมตี มันก็เป็นแค่อสูรตัวเดียว พวกเรามีคนตั้งเยอะแยะจะต้องกลัวสิ่งใดอีก?” พูดจบเพื่อนบ้านก็ชักดาบเล่มใหญ่ขึ้นมา ฟันไปที่หัวหน้าตะขาบมรกต หัวหน้าตะขาบมรกตหันศีรษะหลบอย่างว่องไว แล้วใช้สองนิ้วคีบดาบนั้นไว้

“ดาบเล่มนี้เป็นอาวุธประจำกายของเจ้าใช่หรือไม่? ถ้าข้าเผลอทำมันหัก…” หัวหน้าตะขาบมรกตหลบการโจมตีของเพื่อนบ้านได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังจับดาบของเขาไว้จนเขาใช้แรงที่มีทั้งหมดก็ดึงไม่ออกได้ คนตรงหน้าต้องเป็นอสูรระดับสูงอย่างแน่นอน พวกเขาไม่อาจต่อกรได้!

“พี่ใหญ่อย่าเพิ่ง! ข้ายอมกินแล้ว!”

เมื่อครู่เพื่อนบ้านยังแสดงท่าทีโอหังกับเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับอ้อนวอนขอชีวิตเสียแล้ว!

“ต้องจ่ายหินวิญญาณด้วย”

“ข้ามีหินวิญญาณ ข้ามี!”

เมื่อหัวหน้าตะขาบมรกตพอใจแล้วจึงคลายมือออก จากนั้นก็เหลือบตามองทุกคนที่อยู่ในร้านอย่างดูถูก “จะต่อสู้หรือไม่? ถ้าไม่สู้ก็ต้องจ่ายหินวิญญาณเพื่อซื้ออาหารถึงจะออกไปได้!”

เหล่าชาวบ้านต่างมองหน้ากัน กลุ่มนักกลั่นโอสถเหล่านี้มีระดับพลังสูงสุดถึงขอบเขตปฐมวิญญาณขั้นปลาย ทว่าพวกเขายังต้องนั่งตัวลีบอย่างสุภาพเรียบร้อยอยู่เช่นนี้ หากพวกเขาร่วมกันต่อสู้ย่อมไร้ซึ่งชัยชนะ และยังเกรงว่าอาจจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกอีกด้วย

หากต้องเลือกระหว่างคำสาปให้สูญเสียสมบัติกับคำสาปให้ถึงแก่ความตาย พวกเขาต่างต้องเลือกสิ่งแรกอย่างไม่ต้องสงสัย

เหล่าเพื่อนบ้านที่ถูกขังไว้จำใจต้องเดินผ่านสมาชิกห้าคนแห่งสมาคมนักกลั่นโอสถ และพวกเขาก็ได้จ้องมองสมาชิกทั้งห้าคนเหล่านั้นด้วยความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง

เป็นความผิดของพวกเขาทั้งหมด!

หากไม่ใช่เพราะนักกลั่นโอสถทั้งห้าคนนี้ร้องกรีดร้องคร่ำครวญจนโหวกเหวกวุ่นวาย พวกเขาเหล่านี้จะต้องไปมุงดูความสนุกแล้วถูกบังคับให้ซื้ออาหารแพง ๆ เช่นนี้หรือ!

สมาชิกทั้งห้า “?”

พวกเขาก็เป็นเหยื่อเหมือนกันนะ!

ทันใดนั้นก็มีลูกค้าเพิ่มมาสามสิบโต๊ะ ทำให้ลูกศิษย์ที่กำลังวุ่นวายอยู่หลังครัวทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว เมื่อรู้ว่าลูกค้าที่เพิ่มเข้ามานั้นมาจากที่ใด ลูกศิษย์บางส่วนก็อดชื่นชมหัวหน้าตะขาบมรกตผู้แข็งแกร่งนี้ไม่ได้

“เจ้าทำเช่นนี้มันไม่ดีนะ” เซี่ยซิ่นรุ่ยเอ่ยกับหัวหน้าตะขาบมรกตอย่างระมัดระวัง

นี่มันต่างอะไรกับการปล้นสะดม?

“ไม่ดีตรงไหนหรือ? เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยบอกว่า หากข้าทำได้ดี ข้าจะไม่เพียงได้รับส่วนแบ่งในทุกเดือน แต่ยังจะได้เค้กชิ้นเล็กเหมือนกับที่น้องสาวเจ้าได้อีกชิ้นด้วย!”

หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกว่าตนเองช่างฉลาดนัก สมกับเป็นที่หัวหน้าอันดับหนึ่งของฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกเสียจริง เขาสามารถคิดหากลอุบายที่แยบยลเช่นนี้ได้ จงดูเถิด… ร้านต้องคำสาปที่เงียบเหงาเมื่อครู่ บัดนี้กลับครึกครื้นขึ้นมาเพราะตัวเขา

เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยคงจะมีความสุขจนตัวปลิวเมื่อเห็นสิ่งนี้กระมัง!

หัวหน้าตะขาบมรกตเหลือบมองไปยังฝูงชนที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาคงจะรู้สึกเสียดายที่ไม่มากินอาหารที่ร้านนี้ตั้งแต่แรกแล้วกระมัง

หัวหน้าตะขาบมรกตคิดไปไกลราวกับว่าตนเองได้เห็นเค้กดอกไม้โลหิตกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ รสชาติของมันคงจะล้ำเลิศกว่าอาหารที่เขาเคยกินมาเป็นแน่!

เซี่ยซิ่นรุ่ยได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า เมื่อกลุ่มคนพวกนี้ออกไป พวกเขาเหล่านี้คงต้องแต่งเติมสีสันเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับความโหดร้าย ความน่ากลัว และความเลวร้ายของร้านต้องคำสาปแห่งนี้มากขนาดไหน เมื่อถึงยามนั้นกิจการคงยิ่งซบเซาหนักไปกว่านี้ อาจถึงขั้นไม่มีแม้แต่เงาคนกล้าเดินผ่านมาที่นี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแวะเวียนมาเพื่อดูความคึกคักแล้ว…

เฮ้อ! แล้วแบบนี้จะต้องอธิบายท่านอาจารย์หลิงอย่างไรเล่า?

ส่วนเพื่อนบ้านที่ได้ลิ้มรสอาหารไปแล้วบางส่วนก็คิดไปในทำนองเดียวกันกับหัวหน้าตะขาบมรกต ในใจกำลังด่าตัวเองที่ไม่มากินให้เร็วกว่านี้

อย่างไรก็ตาม อาหารของร้านต้องคำสาปแห่งนี้ราคาแพงเกินไปจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ว่าเหตุใดครอบครัวหวังซานถึงได้ล้มละลายหลังจากมากินที่นี่เพียงสองครั้ง หากกินแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่ครั้งคงจะได้ตามรอยครอบครัวหวังซานอย่างแน่นอน!

“เสี่ยวเอ้อร์ เอาสุรามาอีกสองไห อาหารแกล้มอีกสักสองสามจาน แล้วก็กุ้งปูอะไรนั่นก็เอามาสักหม้อด้วย!”

“เอาสุรามาอีกห้าไห และอาหารธรรมดาอีกหนึ่งชุด!”

“ปลาหั่นบางอีกสองจาน แล้วก็อาหารทะเลอีกชุด!”

เหล่าเพื่อนบ้านที่ตอนแรกกล้าสั่งเพียงสุราหมักสมุนไพรวิญญาณแค่ไหเดียวกับของปิ้งย่างไม่กี่ไม้ พอกินหมดก็ยังรู้สึกไม่หนำใจ จึงชี้ไปที่รายการอาหารพลางสั่งด้วยความเสียดายเงินไปด้วยในเวลาเดียวกัน

พวกเขาดมกลิ่นหอมมาตลอดหลายวันแล้ว ตอนนี้ได้กินเสียที! แม้ว่าขั้นตอนการได้กินจะไม่ค่อยน่าพึงใจสักเท่าไรนัก… แต่ว่า มันอร่อยจนเกินบรรยายจริง ๆ!

บรรดาผู้เคราะห์ร้ายทั้งห้าคนแรก ฟังเสียงเคี้ยวอาหารและเสียงถอนหายใจอย่างพึงพอใจที่ดังมาจากข้างหู พร้อมกับจมูกที่ได้กลิ่นหอมโชยมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งหลายชั่วยามแล้วก็ยังไม่จางหาย พวกเขาเห็นอสูรร่างใหญ่ที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยและมีความสุขอย่างมาก… พวกเขาต่างไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาต้องใช้ความอดทนมากเพียงใดถึงจะห้ามตนเองไม่ให้ยื่นมือออกไปได้

“กินเสียสิ มัวแต่มองข้าอยู่ได้!”

ถึงหัวหน้าตะขาบมรกตจะมีหนังหนาไม่ได้หวาดกลัวคนอื่นมอง แต่เมื่อถูกสายตาอันน่ากลัวทั้งห้าคู่จ้องมาที่ตนเองตลอดเวลาแบบนี้ และสายตาเหล่านั้นยังกำลังกลืนน้ำลายใส่ตนเองอีก เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ไม่น้อย

คนที่ไม่รู้ก็คงจะคิดว่าพวกนั้นอยากกินเขาแล้ว!

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า… กินได้หรือไม่?” นักกลั่นโอสถหญิงเพียงคนเดียวถามอย่างลังเลใจไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย

หินวิญญาณมูลค่าหนึ่งร้อยแปดสิบล้านให้ไปแล้ว อาหารก็ยกมาวางเรียบร้อย อสูรใหญ่ก็เอ่ยปากเชื้อเชิญให้พวกเขากินอาหารด้วยกัน หากไม่กิน ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเสียมารยาทต่ออสูรใหญ่ท่านนี้หรือ?

หากเกิดไม่พอใจขึ้นมาอีก แล้วคิดจะตัดมือตัดเท้าของพวกเขาแล้วจะอย่างไรเล่า?

สายตาหญิงสาวนักกลั่นโอสถเบิกกว้างมองขนมเค้กที่อยู่ตรงหน้า เหยื่อล่ออันเย้ายวนใจทั้งรูปลักษณ์อันวิจิตรบรรจง ชวนให้ลิ้มลอง และกลิ่นหอมหวานเย้ายวนไปทั่วเช่นนี้ ใครเล่าจะอดใจไหว?

นางแทบจะทนไม่ไหวแล้ว…

รอให้นางกินเสร็จก่อนเถิด นางจะวิจารณ์ซ้ำเติมพวกศิษย์ในสำนักเสียหน่อย!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท