ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 380 สวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดที่ว่า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 380 สวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดที่ว่า

สงสารซูเย่าผู้อ่อนโยนราวกับหยกและสง่างามราวกับกล้วยไม้ เขาเป็นคนในฝันของสตรีมากมายในจินซา บัดนี้อดร้องขึ้นมาไม่ได้เมื่อถูกต้าไป๋กัด

คุณชายใหญ่เซิ่งสุขุม เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็สงบนิ่งไร้การตอบสนอง ส่วนคุณชายรองเซิ่งยกเท้าขึ้นมาถีบทันที

คุณชายสามเซิ่งรีบขวางไว้ทันที “พี่รอง อย่าถีบนะ!”

คุณชายรองเซิ่งไม่เข้าใจ “เหตุใดน้องสามจึงมาขวางข้า ห่านตัวใหญ่ตัวนี้กัดน้องซูไม่ปล่อยเลย”

หากกัดต่อไป เลือดออกจะทำอย่างไร

คุณชายสามเซิ่งพูดออกมาตรงๆ ว่า “นี่คือห่านที่น้องลั่วเลี้ยงไว้!”

“น้องลั่วเลี้ยงหรือ” คุณชายรองเซิ่งชักเท้ากลับมาโดยสัญชาติญาณ

“ใช่แล้ว นอกจากนี้ต้าไป๋ดุและเก่งมาก พี่รองสู้มันไม่ได้หรอก!” คุณชายสามเซิ่งเตือนด้วยความหวังดี

ใบหน้าหล่อเหลาของซูเย่าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

สู้มันไม่ได้ก็เลยต้องมองเขาถูกห่านตัวหนึ่งกัดตายหรือ

ซูเย่าอยากจะรักษามาดสงบนิ่งไว้ ทว่าห่านสีขาวตัวใหญ่ไม่อนุญาต

ต้าไป๋เห็นว่าเสื้อผ้าของคนๆ นี้หนาเกินไป กัดแล้วไม่ค่อยสบายปากเท่าไร มันจึงกระพือปีกยื่นคอขึ้นไปจิกใบหน้าของซูเย่า

ซูเย่าหลบหลีกอย่างทุลักทุเล

“น้องสาม ควรทำอย่างไรดี” คุณชายรองเซิ่งถามด้วยความร้อนรน

น้องรองซูเข้ามาสอบในเมืองหลวงพร้อมพวกเขา หากถูกห่านขาวของจวนลุงเขยจิกจนใบหน้าเสียโฉม ตระกูลเซิ่งคงไม่สามารถสู้หน้าตระกูลซูได้

ลองคิดดูเถอะ น้องรองซูเป็นผู้มีความสามารถที่เลื่องลือ ตระกูลซูต้องได้เข้าการสอบคัดเลือกอยู่แล้ว สุดท้ายกลับต้องกลับไปอย่างโศกเศร้าหลังปีใหม่

เมื่อถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือถูกห่านสีขาวที่คุณหนูลั่วเลี้ยงไว้กัดจนเสียโฉม…

คุณชายสามเซิ่งเองก็ร้อนรน เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานต้าไป๋ก็จะตามซูเย่าทันแล้ว เขาก็ตะโกนสุดเสียงว่า “ฟู่เสวี่ย รีบมาเร็วเข้า ต้าไป๋กัดคนแล้ว!”

หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งสวน ซูเย่าลื่นล้มลงกับพื้น

ครานั้นสัญชาติญาณแรกของเขาคือปกป้องใบหน้าไว้ จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บตรงคอ

ฟู่เสวี่ยที่แอบอยู่ในมุมมืดเห็นว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตจึงวิ่งพลางตะโกนว่า “ต้าไป๋ หยุดเดี๋ยวนี้”

หงโต้วเบ้ปาก

กลัวอะไร กัดตายก็ให้ตายไปสิ อย่างมากก็ให้ต้าไป๋ชดใช้ด้วยชีวิต

ไม่นานข่าวซูเย่าบาดเจ็บก็แพร่ไปยังห้องรับแขก

“แม่ทัพใหญ่ คุณชายซูที่ตามท่านน้ามาท่านนั้นบาดเจ็บที่สวนดอกไม้ขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวซูเย่าเท่าไรนัก

แม้เขาจะรู้จักนิสัยของบุตรสาวดี รู้ว่ามีแนวโน้มสูงที่บุตรสาวเป็นคนไปรังควานผู้อื่น แต่ยังมีอีกคำหนึ่งที่เรียกว่า ‘พาล’ มิใช่หรือ

เขาไม่เข้าข้างบุตรสาว เข้าข้างคนอื่น นั่นไม่เรียกว่าคนโง่หรือ

แน่นอนว่า แม้จะไม่ได้ชอบชายหนุ่มคนนั้นนัก แต่ถึงอย่างไรน้องภรรยาก็เป็นคนพามา คงไม่เหมาะสมหากบาดเจ็บในจวนแม่ทัพใหญ่

แม่ทัพใหญ่รีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

คนใช้ที่มารายงานเผยสีหน้าประหลาด “คุณชายซูถูกต้าไป๋กัดขอรับ…”

น้ารองเซิ่งสีหน้าร้อนรน “ต้าไป๋คือ…”

แม่ทัพใหญ่ลั่ววางใจลง

ในเมื่อเป็นต้าไป๋ เช่นนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากเกิดเรื่องอะไรจริงๆ ก็จัดการง่าย

ถึงอย่างไรใครก็คุมประพฤติของห่านตัวหนึ่งไม่ได้นี่

“ต้าไป๋คือห่านตัวหนึ่งที่เซิงเอ๋อร์เลี้ยง” แม่ทัพใหญ่ลั่วปลอบน้ารองเซิ่ง “คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถึงอย่างไรก็แค่ห่านตัวหนึ่ง”

ผู้ที่มารายงานแอบกระตุกมุมปาก

“รีบเชิญหมอมารักษาคุณชายซู” แม่ทัพใหญ่ลั่วสั่ง

น้ารองเซิ่งยังคงไม่วางใจ “ข้าไปดูเอง”

“ไปด้วยกันเถอะ”

ซูเย่าถูกพาไปนั่งในศาลาใกล้สวน

“ซูเย่าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ารองเซิ่งเดินเข้ามาถามคุณชายใหญ่เซิ่ง

“คอถูกห่านกัด มีเลือดออกเล็กน้อย…” คุณชายใหญ่เซิ่งตอบ ยังคงรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

น้ารองเซิ่งมองสามพี่น้อง “พวกเจ้าอยู่กันทั้งหมดมิใช่หรือ เหตุใดไม่ช่วยเล่า”

คุณชายรองเซิ่งมีสีหน้าตกตะลึง “ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป”

น้องสามพูดถูก ห่านขาวตัวใหญ่นั่นทั้งดุและเก่งมาก

น้ารองเซิ่งเดินเข้าไปในห้องหน้าขรึม เห็นซูเย่าที่นั่งพิงบนเตียงก็รีบเดินเข้าไป “หลานเป็นอย่างไรบ้าง”

“อารองเซิ่งมิต้องเป็นห่วง หลานไม่เป็นอะไรมากขอรับ” ซูเย่าฝืนยิ้มกล่าว

ความเจ็บปวดบริเวณคอไม่ต้องพูดถึง เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนดอกไม้ก็รู้สึกทั้งอับอายและโมโห

“อย่าขยับ ให้ข้าดูหน่อย” น้ารองเซิ่งประชิดเข้าไปดูบาดแผลบนคอของซูเย่าแล้วก็เสียใจ “กัดแรงมากเลย มิน่าถึงบอกว่าห่านบ้านดุกว่าสุนัข”

แต่ว่าเหตุใดจึงกัดคอนะ นี่มันต้องเป็นห่านตัวใหญ่ขนาดไหนกันเชียว

น้ารองเซิ่งตกอยู่ในความคิด

นอกจากซูเย่าจะไม่ได้รับคำปลอบใจแล้ว ยังรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

เหตุใดดูเหมือนว่าอารองเซิ่งจะอยากรู้อยากเห็นมากกว่านะ

ครานี้เองหมอก็ปริปาก “หากท่านดูเสร็จแล้ว ข้าจะทายาให้ต่อ”

น้ารองเซิ่งดึงสติกลับมาได้ในทันใด “เอ่อ รีบทายาเถอะ”

หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายไปก็ถึงเวลาทานอาหารเที่ยง

ซูเย่าเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าไม่สามารถร่วมทานอาหารได้ ได้แต่ทานข้าวต้มในห้องคนเดียว

เมื่อเดินเข้าไปในห้องทานอาหาร น้ารองเซิ่งยังคงถอนหายใจ “หลานซูไร้บุญปากจริงๆ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบพูดว่า “ล้วนเป็นเพราะจวนลั่วเพิกเฉย ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ เซิงเอ๋อร์…”

ลั่วเซิงขานตอบเบาๆ

ขณะที่น้ารองเซิ่งกำลังคิดว่าจะพูดว่าคงไม่ต้องหากจะให้หลานสาวไปขอโทษ แต่ได้ยินแม่ทัพใหญ่ลั่วพูดขึ้นก่อนว่า “เจ้าให้ฟู่เสวี่ยพาต้าไป๋ไปขอโทษคุณชายซูเถอะ”

น้ารองเซิ่ง “…”

ลั่วเซิงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ลูกจะส่งหงโต้วไปบอก”

น้ารองเซิ่งรีบห้าม “ไม่ต้องแล้ว!”

ยามนี้แล้วยังจะให้ห่านตัวนั้นไปอีกหรือ คงแปลกหากหลานซูไม่ตกใจตาย

หลานชายผู้น่าสงสาร ปกติแล้วเขาเป็นคนใจเย็น แต่เมื่อครู่นี้เขาเห็นเส้นเลือดที่ขมับโผล่ออกมาแล้ว

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “ท่านน้าอย่าห้ามเลยเจ้าค่ะ ทำให้คุณชายซูบาดเจ็บข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก ต้องไปขอโทษ”

“ไม่จำเป็นจริงๆ” น้ารองเซิ่งพูดทีละพยางค์

“แต่คุณชายซูบาดเจ็บในจวนข้า หากเรื่องแพร่ออกไป…”

น้ารองเซิ่งยิ้มแห้ง “ซูเย่าใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก เซิงเอ๋อร์วางใจเถอะ”

“เช่นนี้หรือ” ลั่วเซิงแสดงสีหน้าเสียดาย “เดิมอยากจะหาโอกาสให้ต้าไป๋ไถ่โทษ ในเมื่อน้ารองคิดว่าไม่จำเป็น เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดขึ้นในเวลาประจวบเหมาะ “กินข้าวเถอะ อากาศหนาวเช่นนี้ อาหารที่ยกขึ้นมาจะเย็นหมดแล้ว”

เมื่อได้ยินว่ากินข้าว น้ารองเซิ่งก็ตาลุกวาวทันที เมื่อกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ น้ำลายเกือบจะไหลลงมา

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาหารที่เขาคิดถึงทุกวันคืนตั้งแต่ที่กลับจินซาเชียวนะ!

คุณชายรองเซิ่งขมวดคิ้ว

อารองไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเสียเลย เมื่อครู่นี้ยังเป็นห่วงน้องรองซูอยู่เลย ตอนนี้แทบอยากจะโถมไปบนโต๊ะอาหารเสียแล้ว

คุณชายสามเซิ่งยิ้มพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านก็กินสิ ลองชิมฝีมือของน้องลั่ว…แม่ครัวของน้องลั่วดู”

คุณชายใหญ่เซิ่งและคุณชายรองเซิ่งนั่งลง หลังจากชิมอาหารคำแรกแล้ว… ตะเกียบก็ไม่เคยหยุดอีกเลย!

กินจนจานชามสะอาดสะอ้าน คุณชายรองเซิ่งลูบท้องอย่างรู้สึกอยากกินอีก เขาถามคุณชายสามเซิ่งเสียงเบาว่า “น้องสาม อาหารแบบนี้เจ้าได้กินบ่อยๆ หรือ”

คุณชายสามเซิ่งพยักหน้า “ข้าได้กินทุกวัน ข้าเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราของน้องลั่ว”

คุณชายรองเซิ่งเงียบ

คุณชายใหญ่เซิ่งก็เงียบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณชายรองเซิ่งก็กัดฟันถามว่า “น้องสาม เจ้าเขียนในจดหมายว่าจะทำการใหญ่ยังไม่กลับไปชั่วคราวและจะสวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิด[1]มิใช่หรือ”

[1] สวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิด หมายถึง หลังจากได้ดิบได้ดี ร่ำรวยแล้วจะสวมเสื้อผ้างดงามราคาแพงกลับสู่บ้านเกิด

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท