ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 546 ฉันจะไม่แต่งงานแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 546 ฉันจะไม่แต่งงานแล้ว

ตอนที่ 546 ฉันจะไม่แต่งงานแล้ว

หลินเซี่ยพาพวกเขาไปที่บ้านหลังใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลี่หรงมาที่บ้านใหม่ซึ่งลูกชายได้รับการจัดสรรโดยหน่วยงานของเขา

หลังจากขึ้นไปชั้นบนและเปิดประตูออก ดวงตาของหวังอวี้เสียก็สว่างวาบขึ้นเมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทั้งใหม่เอี่ยมและทันสมัยภายใน อุทานว่า “พระเจ้าช่วย บ้านใหม่สวยจังเลย”

หล่อนถามหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย พวกเธอซื้อเฟอร์นิเจอร์พวกนี้กันเองเหรอ?”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “น้าสะใภ้ เราสั่งเฟอร์นิเจอร์มาจากโรงงานค่ะ เป็นเงินที่พ่อยกให้เป็นค่าสินสอด”

“พ่อเธอนี่อู้ฟู่จริงเชียว” หวังอวี้เสียเดินไปรอบ ๆ เมื่อเห็นเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดวางอยู่ที่นั่น หล่อนก็อุทานอีกครั้งและเดินไปแตะมันอย่างเบามือ “เธอมีเครื่องซักผ้ากับตู้เย็นด้วยเหรอ?”

“ค่ะ ของพวกนี้อารองเป็นคนซื้อให้”

หลินเซี่ยพาพวกเขาไปที่ห้องนอนพร้อมกับแนะนำ “เฉินเจียเหอเลือกซื้อเตียงเองค่ะ เป็นที่นอนแบบสปริง”

หลินเซี่ยพาพวกเขาเดินต่อไปรอบ ๆ ผู้เฒ่าโจวมองสิ่งของต่าง ๆ อย่างมีความสุข ก่อนจะแสดงความคิดเห็นว่า

ตอนที่หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอแต่งงานกัน ทั้งคู่แต่งงานกันในบ้านหลังเล็ก ๆ กลางพื้นที่ชนบท แม้แต่ห้องหอที่ใช้ในเวลานั้นก็เป็นห้องที่ก่อขึ้นจากอิฐธรรมดา ๆ พวกเขารู้สึกเสมอว่าเงื่อนไขในเวลานั้นช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยสำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ของหลานชายและหลานสะใภ้

มาถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าโจวจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าเด็กเจียเหอคนนั้นได้รับการจัดสรรบ้านดี ๆ แบบนี้ หมายความว่าเขาทำผลงานให้กับทางโรงงานไว้ดีมาก ๆ”

โจวเจี้ยนกั๋วยิ้มและพูดว่า “พ่อ นั่นมันแน่อยู่แล้ว เขาทำงานด้านเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยความแม่นยำเฉพาะ ได้ยินมาว่าเขากำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นวิศวกรด้วย”

“หลานชายของฉันเก่งจริง ๆ”

ชายชราออกปากยกย่องเฉินเจียเหอ หลินเซี่ยได้ยินแล้วก็พลอยภูมิใจแทน เธอพูดว่า “ไปดูห้องครัวกันดีกว่าค่ะ”

หลังจากที่หลินเซี่ยพาทุกคนไปดูทุกส่วนภายในบ้านแล้ว พวกเขาก็นั่งลงพักผ่อนบนโซฟา โจวเจี้ยนกั๋วบอกว่าคุณภาพของโซฟาในเมืองสบายกว่าโซฟาในตัวอำเภอเล็ก ๆ ของพวกเขาเสียอีก

“ถูกต้อง ทุกสิ่งที่พ่อของเซี่ยเซี่ยซื้อให้ลูกสาวต้องมีคุณภาพดีที่สุดอยู่แล้ว”

หลังจากเยี่ยมชมบ้านหลังใหม่ ผู้อาวุโสทั้งหลายก็เดินตามหลินเซี่ยไปที่ร้านอาหารของเซี่ยเหลยอย่างอิ่มเอมใจ

ตอนเที่ยงมีลูกค้าจำนวนมากมากินข้าวที่ร้านอาหารของเซี่ยเหลย คุณแม่เซี่ยและหลินจินซานอยู่ที่นั่นกันทั้งคู่ พวกเขารีบต้อนรับทุกคนให้เข้าไปนั่งในร้านอาหารอย่างกระตือรือร้น ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลโจวจึงถือโอกาสนั่งชมบรรยากาศในร้าน ดูการซื้อขายอันคล่องตัวไปด้วย

หวังอวี้เสียบอกว่าหล่อนอยากทำผม หลังกินข้าวเสร็จ หลินเซี่ยจึงพาหล่อนไปที่ร้านตัดผม โดยตั้งใจจะทำผมให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง

หวังอวี้เสียพูดกับโจวลี่หรงว่า “พี่ ลูกชายทั้งสองของพี่กำลังจะจัดงานแต่งงานนะ ช่วงนี้พี่ควรไปจัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยขึ้นหน่อยดีไหม”

โจวลี่หรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตกลงทันที “ได้ วันนี้รบกวนเซี่ยเซี่ยตัดผมให้ฉันหน่อยนะ”

หลินเซี่ยเคยตัดผมให้หล่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นานวันเข้าหล่อนก็ขี้เกียจเกินกว่าจะดูแล ในเมื่อวันนี้มีเวลาว่างและอารมณ์ดี จึงถือโอกาสไปทำผมกับน้องสะใภ้เสียเลย

หลินเซี่ยพาพวกเขาเข้าไปในร้านตัดผม จากนั้นก็เริ่มจัดแจงเนรมิตทรงผมด้วยตัวเอง

เฉินเจียซิ่งวางแผนที่จะพาหยางหงเสียไปซื้อชุดแต่งงาน แต่หยางหงเสียกลับมีสีหน้ากังวลตลอดเวลา ดูเหมือนไม่มีความสุขเอาเสียเลย

เฉินเจียซิ่งถามอย่างกังวล “หงเสีย วันนี้คุณเป็นอะไรไป?”

หยางหงเสียก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ไม่ต้องซื้อชุดใหม่หรอกค่ะ ฉันพอจะใส่ชุดเดิมได้อยู่ ถ้าถึงวันแต่งงานค่อยไปเช่าชุดจีนสีแดงจากร้านของพี่สะใภ้คุณได้”

“ไม่ได้ แต่งงานทั้งทีจะไม่ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ได้ยังไง?”

“แม่บอกว่าท่านซื้อผ้านวมขนห่านไว้ให้เราแล้วสองผืน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเย็บผ้าห่มนวมเอง ท่านกลัวว่าผ้าห่มนวมจะมีน้ำหนักมากเกินไป ห่มแล้วไม่สบายตัวน่ะค่ะ”

เฉินเจียซิ่งตั้งใจว่าจะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับหยางหงเสีย รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับงานแต่งงาน วันนี้เขาจดรายการทุกอย่างมาครบแล้ว

“คุณป้าเย็บผ้านวมเองหรือซื้อ?” เขาหันไปถามหยางหงเสีย

หยางหงเสียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดเสียงอ่อย “ฝั่งฉันก็น่าจะซื้อเอาเหมือนกัน”

“หงเสีย คุณอารมณ์ไม่ดีมาจากไหน? ทำไมถึงดูไม่มีความสุขกับการแต่งงานเลยล่ะ? หรือคุณยังไม่เชื่อมั่นในตัวผม?” เนื่องจากเขาถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยคุกคามบ่อยครั้ง เฉินเจียซิ่งจึงกลัวว่าหยางหงเสียอาจคิดว่าเขาและเสิ่นเสี่ยวเหมยยังไม่ได้หย่าขาดจากกันจริง ๆ

หยางหงเสียส่ายหัว

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“งั้นเราไปซื้อเสื้อผ้ากันดีกว่า”

เฉินเจียซิ่งกำลังจะลากหยางหงเสียเข้าห้างสรรพสินค้า ทำให้หยางหงเสียยิ่งกลัวการใช้เงินเข้าไปใหญ่ ท้ายที่สุดก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้าที่จะบอกความจริงกับเฉินเจียซิ่ง

“เจียซิ่ง พ่อแม่ฉันบอกว่า สินสอดที่ตกลงกันไว้ในตอนแรกอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย”

“เปลี่ยนแปลงยังไง? เปลี่ยนไปในทิศทางไหน? หรือว่าคุณลุงกับคุณป้าได้สติรู้แจ้งแล้ว เลยไม่คิดจะเรียกร้องสินสอดทองหมั้น?” เฉินเจียซิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ว่ายังไงคุณก็ควรได้สินสอด”

หยางหงเสียยิ้มอย่างขมขื่น ก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรอีก

“ผมเดาผิดไปเหรอ?” เฉินเจียซิ่งมองไปที่หยางหงเสียซึ่งหน้าตามืดมนหมดหนทาง เอาแต่ก้มหน้าต่ำแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? เรากำลังจะเป็นสามีภรรยากันในอีกไม่กี่วันนี้แล้วนะ มีอะไรที่คุณยังพยายามปิดบังผมอยู่อีก”

“พวกเขาอยากเรียกเพิ่มห้าร้อยหยวน” หยางหงเสียมองไปที่เฉินเจียซื่ง ตอบอย่างระมัดระวัง

“ทำไมล่ะ?” เฉินเจียซิ่งรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด มองดูหล่อนแล้วถามด้วยความประหลาดใจ

พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้พบปะพูดคุยเรื่องสินสอดและรายละเอียดต่าง ๆ ไปแล้วแท้ ๆ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจ?

หยางหงเสียก้มหน้าลงตามเดิมและพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ก่อนหน้านี้พ่อแม่ฉันประกาศให้คนนอกรู้ทั่วจนครอบครัวคุณไม่สบายใจ ฉันเลยกลับไปเตือนหล่อนให้ระวังคำพูด แต่หล่อนไม่พอใจ รู้สึกว่าวันข้างหน้าพวกเขาคงพึ่งพาลูกสาวไม่ได้แน่แล้ว เลยยื่นคำขาดว่าจะเรียกสินสอดเพิ่ม”

“แล้วคุณตอบกลับไปว่าไงล่ะ?” เฉินเจียซิ่งขมวดคิ้ว

ในเวลานี้ เฉินเจียซื่งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และรังเกียจพฤติกรรมของพ่อแม่หยางหงเสียอย่างยิ่ง

หยางหงเสียตอบว่า

“แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้พวกเขาทำให้คุณอับอาย แต่ถ้าเราไม่ยอมสนองตามความต้องการของเขา บางทีเราสองคนอาจโดนขัดขวางไม่ให้จดทะเบียนกัน”

หยางหงเสียก้มหน้าพึมพำ “นอกจากนี้แม่ยังขอเงินเดือนจากฉันไปครึ่งหนึ่ง ถ้าเงินเดือนเดือนนี้ของฉันลดลง บางทีฉันอาจจะไปขอยืมเงินจากเพื่อนก่อน เอาห้าร้อยหยวนจ่ายชดเชยให้หล่อนไป ฉันไม่อยากให้เงินส่วนนี้รบกวนคุณ”

หยางหงเสียเล่าไปก็อับอายไป เพราะกลัวว่าเฉินเจียซิ่งจะยอมแพ้ให้กับความสัมพันธ์ของพวกเขาเพราะความโลภของครอบครัวตัวเอง

คำพูดของหล่อนทำให้เฉินเจียซิ่งตกตะลึงอีกครั้ง

“ผมเป็นผู้ชาย จะให้คุณหามาจ่ายเองได้ยังไง?” เฉินเจียซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ไม่เป็นไรนะ แค่ห้าร้อยหยวนเองไม่ใช่เหรอ? เงินแค่เล็กน้อย”

เมื่อหยางหงเสียได้ยินสิ่งที่เฉินเจียซิ่งพูด หล่อนก็รู้สึกกระดากอายยิ่งกว่าเก่า พูดว่า “เจียซิ่ง ฉันขอโทษจริง ๆ พอเห็นครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ ฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าฉันช่างไม่คู่ควรกับคุณเอาซะเลย”

“คุณเป็นคนเก่ง ผมต่างหากที่ไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่ ผมพอเข้าใจได้ว่าทำไมจู่ ๆ ลุงกับป้าถึงเปลี่ยนใจ แต่ผมเคยบอกคุณไปแล้วว่าทิศทางในอนาคตของครอบครัวเราจะไปในทิศทางไหน เราต้องพึ่งพาตัวเอง ผมจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อช่วยน้องชายคุณในวันข้างหน้า หรือแม้แต่ดูแลพ่อแม่ แต่ผมให้คำสัญญากับคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลของพ่อแม่คุณก่อนแต่งงานไม่ได้จริง ๆ ต่อให้เป็นหลังแต่งงานแล้วผมก็ทำไม่ได้ บ้านเรายึดถือหลักการเป็นที่ตั้ง”

“ฉันเข้าใจดีค่ะ และฉันก็ชี้แจงให้พวกเขาทราบแล้ว”

เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียรู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงานมาเป็นเวลานาน แน่นอนว่าเขายังคงไว้วางใจในอุปนิสัยของหยางหงเสีย

ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยเคลือบแคลงในความรู้สึกของหยางหงเสียที่มีต่อเขา

เขากล่าวว่า “พ่อแม่ของผมบอกว่า หลังจากเราแต่งงานกัน พวกเขาจะให้เราย้ายออกไปจากชุมชนบ้านพักทหาร หมายความว่านับจากนี้เราสองคนจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวเล็ก ๆ กันเอง เช่นเดียวกับคู่หนุ่มสาวหลาย ๆ คู่ ทำงานหนักหาเงิน ไม่พึ่งพาคนอื่น”

หยางหงเสียพยักหน้า “ค่ะ”

“เรื่องเงินไว้ผมจะจัดการเอง” มองโดยภาพรวมแล้ว เพิ่มอีกห้าร้อยหยวนนับว่าไม่มากเกินไป

สมัยเขาแต่งงานกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เขาจ่ายสินสอดไปมากกว่านี้ไม่รู้เท่าไหร่

หยางหงเสียรู้สึกละอายเกินกว่าจะปล่อยให้เฉินเจียซื่งซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะพ่อแม่ของหล่อนเรียกร้องสินสอดเพิ่มเติม ดังนั้นเฉินเจียซิ่งจึงยอมพาหล่อนออกไป สุดท้ายก็ไม่ได้ไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า

หลังจากที่หยางหงเสียกลับถึงบ้าน พ่อแม่ก็เห็นว่าหล่อนกลับมามือเปล่า อีกทั้งเฉินเจียซิ่งก็ไม่ได้มาส่งหล่อนกลับบ้านติดต่อกันหลายวัน แม่หยางจึงอดไม่ได้ที่จะกังวล “วันแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที ครอบครัวเฉินเจียซิ่งเขาว่ายังไงบ้าง? ยอมเห็นด้วยกับเงื่อนไขใหม่ของเราไหม?”

หยางหงเสียเหลือบมองพ่อแม่ที่จ้องรอเงินตาเป็นมันของตัวเอง แล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าฉันจะไม่แต่งงานแล้วค่ะ ฉันไม่คู่ควรกับเขา”

แม่หยางได้ยินแบบนั้น หล่อนก็ดูตกใจมาก เริ่มสาปแช่งด้วยความโกรธ “นังลูกไม่รักดีคนนี้ มีอะไรบ้างที่แกไม่คู่ควร เขาเป็นผู้ชายที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ในขณะที่แกยังเป็นสาวเป็นนาง ช่วยมั่นใจในตัวเองหน่อยได้ไหม?”

“แม่ลืมไปแล้วเหรอว่าบ้านเราอยู่คนละชั้นกันกับเขา?” หยางหงเสียพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนเราต้องตระหนักในสถานะของตัวเอง ตอนนี้ฉันไม่อยากใฝ่สูงถึงอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ฉันไม่อยากเป็นลูกสาวที่พ่อแม่ขายให้คนอื่น ไม่อยากกลายเป็นตัวตลกของตระกูลเฉิน”

คำพูดของหยางหงเสียนั้นเสียดแทงใจดำของแม่หยางอย่างรุนแรง จนหล่อนพ่นคำผรุสวาทด้วยความโกรธ “แกคิดว่าพวกฉันที่เลี้ยงแกมาไม่มีสิทธิ์ได้เงินนั่นหรือไง?”

พ่อของหยางหงเสียรีบคว้าแขนลูกสาวไว้ และให้ความกระจ่างแก่หล่อนอย่างจริงจังว่า “แกอย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบตัดสินใจแบบนั้น โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้แต่งเข้าบ้านพักทหาร แกจะพลาดการแต่งงานครั้งนี้ไปไม่ได้”

“พ่อ ใช่ว่าฉันอยากล้มเลิกการแต่งงานเอากลางคัน แต่เป็นพวกคุณต่างหากที่ขัดขวางไม่ให้ฉันได้แต่ง”

พอหยางหงเสียพูดจบ หล่อนก็เดินหนีเข้าไปในห้อง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โลภมากลาภหายนะคุณแม่ ระวังว่าสุดท้ายจะไม่ได้แม้แต่หยวนเดียวเถอะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท