บทที่ 276 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-3
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งต้องเผชิญหน้ากับชาวทุ่งหญ้า
แต่ตอนเผชิญหน้ากับทหารหมาป่าที่เมืองจี๋อิงครั้งก่อนต่างจากที่ต้องเผชิญหน้ากับจิ้งเหยาผู้นี้มากนัก
ทหารหมาป่าเป็นเพียงพลทหารแนวหน้าที่เข้าบุกข้าศึกของฝั่งทุ่งหญ้า
แต่จิ้งเหยากลับเป็นถึงผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยประจันเพลิง
แม้กระทั่งเรื่องของการแต่งกายก็ยังมีสง่าราศี
และแสดงให้เห็นถึงความทะนงองอาจอย่างหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปยังดาบที่เขาถืออยู่ในมือ
มันเป็นดาบโค้ง
รูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยว
ใบดาบโค้ง
ปลายดาบโค้งขึ้นสูง
ดาบเช่นนี้หากบอกว่าเป็นงานฝีมือที่ใช้สำหรับจัดวางตกแต่งชิ้นหนึ่งก็น่าสนใจยิ่งนัก
จะนำมาใช้เป็นอาวุธได้อย่างไร
ทว่าจิ้งเหยากลับใช้ดาบที่ดูเหมือนจะเอาไว้จัดแสดงนี้
เรื่องอาวุธนี้
หลิวรุ่ยอิ่งเคยมองผิดหนหนึ่ง
ก็คือกระบี่โกโรโกโสที่เอวของหวาหนงนั่นเอง
ครั้งนั้นเขารู้สึกแค่ว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นเพียงของเล่น
แต่ต่อมาเขาก็ได้รู้ถึงความน่ากลัวของของเล่นชิ้นนี้
เพราะเมื่อครู่ ดาบโค้งที่ดูเหมือนของตกแต่งเล่มนี้กลับขวางของเล่นแสนอันตรายของหวาหนงเอาไว้ได้
ตลอดเส้นทางที่เดินทางมา นับว่าหลิวรุ่ยอิ่งได้เปิดหูเปิดตามากทีเดียว
เขารู้สึกว่าตนเองนั้นถือเป็นผู้ที่เข้าใจผู้คน
จิ้งเหยาเป็นถึงผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยประจันเพลิงจะต้องมีเรื่องที่เหนือคนทั่วไปเป็นแน่
ลำพังแค่สง่าราศีเช่นนี้ จะต้องบ่มเพาะจากการสังหารไม่หยุดหย่อน
เห็นได้ชัดว่าการสังหารทุกครั้งเขาล้วนเป็นผู้ชนะ
ซึ่งจิ้งเหยาก็เป็นอย่างที่หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นจริงดังว่า
……………………….
ในอาณาจักรทุ่งหญ้า เขาหาได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์
บิดาของจิ้งเหยาเป็นเพียงทหารหมาป่าธรรมดานายหนึ่ง
ตอนที่จิ้งเหยายังไม่ทันเกิด เขาก็ตายอยู่ในสนามรบเสียแล้ว
เขาจึงเป็นบุตรที่เกิดหลังบิดาตาย
แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีมารดา
และเป็นความอาทรเดียวที่เขามีท่ามกลางภูเขาแห่งซากศพและทะเลเลือด
คนทุกคนล้วนมีความอาทร
ภรรยาอาทรสามี
มารดาอาทรบุตร
ผู้ปกครองอาทรผืนดินในใต้หล้า
ส่วนบุรุษก็อาทรต่อรอยยิ้มของสตรีผู้หนึ่ง
นับตั้งแต่มารดาเขาสิ้นไป
สตรีที่หน่วยประจันเพลิงในอ้อมอกเขาย่อมมีไม่น้อย
ทว่าแต่ไรมาเขาก็ไม่ได้ลุ่มหลงในกามารมณ์
นี่ก็คือสาเหตุที่เขาสามารถทุ่มสุดกำลังให้กับการช่วงชิงเบี้ยหวัดของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องในครั้งนี้
คนที่ไร้ซึ่งความอาทรผู้หนึ่ง
ต่อให้สองมือเขาว่างเปลา ทั้งยังไม่มีพลังยุทธ์ใดๆ
เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้ไร้เทียมทาน
เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถจู่โจมจิตใจของเขาได้
เพียงแต่เมื่อในใจไร้ความอ่อนโยนอีกต่อไป
คนผู้นี้ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นคนอีกหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้
แต่จิ้งเหยารู้
ความหมายที่เขามีชีวิตอยู่ก็คือล้างแค้น
ตอนที่ยังเด็กมารดาเคยบอกเขาไม่รู้กี่ครั้งว่าบิดาเข้ากรำศึกเช่นใดและต้องตายอย่างน่าอนาถเช่นใดในสนามรบ
“ลูกศรยี่สิบสามดอกเต็มๆ ทีเดียว”
ทุกคราวที่นึกย้อนถึงมารดา ถ้อยคำประโยคนี้ก็จะดังก้องขึ้นมาในหูเขา
ลูกศรยี่สิบสามดอกบนร่างของบิดา
ถูกทหารชายแดนของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องยิงจนกลายเป็นเม่น
นับตั้งแต่เขาเป็นผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยประจันเพลิง ความคิดความอ่านของเขาก็ยิ่งบ้าระห่ำขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่ใช่แผ่นเหล็ก
ความปรารถนาที่บุรุษมี เขาก็มีเช่นกัน
เพียงแต่เขาชื่นชอบที่จะได้รับความเปรมปรีดิ์จากการเอาชนะซ้ำๆ หนแล้วหนเล่า
นับแต่มาถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เขาหลับนอนในทุกหอนางโลมที่อยู่ระหว่างทาง
ทุกครั้งเขาล้วนไม่เคยจ่ายเงิน
แต่ใช้ดาบโค้งในมือบีบบังคับให้สตรีในหอนางโลมขึ้นเตียงกับตน
ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเงินหรือจ่ายไม่ไหว
แต่เพราะเขารู้สึกว่าจ่ายเงินนั้นง่ายดายเกินไป
เงินซื้อได้เพียงรอยยิ้มจอมปลอม
แต่อาการสั่นงันงกไปทั้งตัวของสตรีเหล่านั้นยามอยู่ภายใต้ดาบโค้ง นำมาซึ่งความรู้สึกได้เอาชนะที่จริงแท้ที่สุด
ทว่าการใช้ดาบบีบบังคับให้นางโลมหลับนอนกับตนมีแปดเก้าครั้งในสิบครั้งที่เป็นผลสำเร็จ
แต่ก็เลี่ยงได้ยากที่จะเจอกับไม่กี่คนที่ไม่เสียดายชีวิต
หรือก็คือยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน
จิ้งเหยาก็เคยพบมาก่อนเช่นกัน
แววตาของสตรีผู้นั้นแน่วแน่นัก
ไม่ได้คุกเข่าร้องขอชีวิตกับเขา และไม่ได้หวาดกลัวจนไหล่สั่น
แม้จิ้งเหยาจะเอาดาบโค้งในมือไปจ่อที่คอของนางและกดลงจนเป็นแผลเลือดออก นางก็ยังคงอยู่ในอาการปกติ
จิ้งเหยาพลันรู้สึกขึ้นมาว่าสตรีผู้นี้ช่างเหมือนกับตนยิ่งนัก
เหมือนเป็นที่สุด
เพราะทุกสิ่งที่เขาได้มาล้วนอาศัยความสามารถของตนทั้งสิ้น
คนที่ไม่มีความสามารถ ไม่เพียงมีชีวิตอยู่อย่างไร้เกียรติ ยามตายก็ยังต้องคับแค้นใจแสนสาหัส
ฉะนั้นแม้ว่าจิ้งเหยาจะอิ่มเอมกับความเปรมปรีดิ์จากการเอาชนะ
แต่ในใจของเขากลับรังเกียจเหล่าคนที่ร้องขอชีวิต
แต่สตรีผู้นี้กลับไม่เหมือนทุกคนที่เขาเคยพบมา
ไม่ยอมก็คือไม่ยอม
เจ้าทำได้เพียงสังหารข้า
แต่ไม่อาจบังคับข้าได้
ต่อให้ข้าตายไปแล้ว ข้าก็รักษาความยึดมั่นครั้งตนยังมีชีวิตเอาไว้
นางโลมผู้หนึ่งจะมีความสามารถใด?
แต่ในสายตาของจิ้งเหยาแล้ว สิ่งนี้กลับเป็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียวในใต้หล้า
เขาเป็นคนทะนงตนยิ่งนัก
ทะนงตนกระทั่งคิดว่ามีเพียงตนเองที่มีความสามารถเช่นนี้
เพราะอย่างไรหลางอ๋องหมิงเย่าก็ยังต้องคำนึงถึงอนาคตของชาวทุ่งหญ้าหลายครั้งจึงจำเป็นต้องยอมถอย
แต่จิ้งเหยาไม่
ในชีวิตของเขามีเพียงพุ่งชน
ไม่ถอยเด็ดขาด
แม้ว่าทวนยาวของทหารชายแดนแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องจะแทงทะลุอกเขา เขาก็จะไม่หยุดพุ่งเข้าใส่เด็ดขาด
แต่จะก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวให้ทวนยาวนั้นแทงทะลุตัวเขาลึกลงไปอีก
จากนั้นก็ใช้ดาบโค้งในมือ ปลิดชีพของทหารชายแดนผู้นั้นเสีย
สุดท้ายเขาไม่ได้สังหารสตรีนางนั้น
ยามลดดาบลง เขายังใช้มือลูบบาดแผลที่ลำคอของนางด้วย
จากนั้นหันหลังเดินออกจากห้องไปทันที
เขาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไถ่ตัวสตรีนางนั้น
แล้วเดินออกจากหอนางโลมเพื่อไปดื่มสุราเพียงลำพัง
แต่ในตอนที่เขากำลังดื่มสุรา จู่ๆ สตรีนางนั้นกลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา และยังช่วยรินสุราให้เขาหนึ่งจอก
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไป”
จิ้งเหยาถามอย่างสงสัย
“ข้าควรไปที่ใด”
สตรีผู้นั้นนั่งลงตรงหน้าจิ้งเหยาพลางย้อนถาม
“เจ้าอยากไปที่ใดก็จงไปที่นั่น”
จิ้งเหยากล่าวขณะดื่มสุรา
“ท่านเป็นคนไถ่ตัวข้า”
สตรีนางนั้นกล่าว
“แล้วอย่างไร”
จิ้งเหยาถาม
“ฉะนั้นข้าก็จะติดตามท่าน”
สตรีกล่าว
“ติดตามข้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”
จิ้งเหยารู้สึกว่าสตรีนางนี้น่าขันเสียจริง
“ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ใดข้าก็จะติดตามท่าน”
สตรีกล่าว
“หากสาเหตุที่จะติดตามข้าเพราะข้าไถ่ตัวเจ้าก็ยิ่งไม่จำเป็น มันเป็นเพียงความพอใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”
จิ้งเหยากล่าว
สตรีไม่ได้กล่าวคำใดอีก
ยามคนผู้หนึ่งตั้งใจมั่น ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำให้มากมาย
นางเพียงนั่งเงียบๆ ตรงหน้าจิ้งเหยา
ทุกคราวที่จิ้งเหยาดื่มสุราหมดจอกก็จะรินสุราให้เขาอีกจอก
ท่วงทีของคนทั้งสองสอดคล้องกันยิ่งนัก
กระทั่งให้ความรู้สึกเหมือนเมฆคล้อยธารเคลื่อน[1]
จิ้งเหยาอาศัยช่วงว่างระหว่างรินสุรามองใบหน้าของสตรีผู้นี้อย่างถี่ถ้วน
ไม่นับว่างดงามล้ำเลิศ
แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด
การแต่งกายของนางในเวลานี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าฉูดฉาดและแต่งหน้าเข้มจัดเหมือนยามอยู่ในหอนางโลม
นางสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย
แต่งหน้าบางๆ
แต่กลับทำให้ผู้คนรอบข้างล้วนต้องเอียงตามอง
จิ้งเหยารู้ว่าพวกเขาจะเข้าใจผิด
เกรงว่าจะคิดว่าสตรีผู้นี้เป็นภรรยาของตน
เวลานี้ดึกดื่นแล้ว
บุรุษที่ออกมาดื่มสุรายามดึกดื่นจะมีสักกี่คนที่พาภรรยาตนมาด้วย?
และจะมีภรรยาสักกี่คนที่ยินยอมให้สามีของตนออกมาดื่มสุรายามดึกดื่น?
ด้วยเหตุนี้สายตาของคนรอบข้างจึงอิจฉาอย่างยิ่ง
กระทั่งยังมีคนวิ่งเข้ามาคารวะสุราโดยเฉพาะและชมว่าภรรยาของจิ้งเหยาเป็นแม่ศรีเรือน
จิ้งเหยาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เขาไม่ปฏิเสธทุกคนที่เข้ามา
ชนจอกและดื่มสุรา
แต่สตรีนางนั้นกลับยิ้มเย็น
“ในสายตาของบุรุษเช่นพวกท่าน การเชื่อฟังโดยไม่พูดจาก็คือแม่ศรีเรือนหรือ”
จู่ๆ สตรีก็พูดออกมา
เวลานั้นจิ้งเหยายังคิดไม่ทัน
หรือต่อให้เขาคิดทัน ก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
เพราะเขาไม่เคยมีความรักมาก่อน
นับจากมารดาสิ้นไป วันคืนของเขาก็มีเพียงการฆ่าฟันและเลือดสดเท่านั้น
คำว่าเชื่อฟังนี้ เขากลับเข้าใจลึกซึ้งนัก
นั่นเพราะคนนับไม่ถ้วนล้วนคุกเข่าลงโขกหัวใต้ดาบโค้งของเขา
เขาคิดว่านั่นก็คือการเชื่อฟัง
แต่สตรีตรงหน้านางนี้ กลับเป็นคนแรกที่ไม่เกรงกลัวดาบโค้งของเขา
เวลานี้นางกำลังรินสุราให้ตนอย่างว่าง่าย
แล้วนี่ไม่ใช่การเชื่อฟังอย่างหนึ่งหรอกหรือ
“ข้าฟังที่เจ้าพูดไม่เข้าใจ”
จิ้งเหยาตอบกลับไปเรียบๆ ประโยคหนึ่ง
เมื่อดื่มสุราจนหมดแล้ว
ตอนที่สตรีกำลังจะรินให้เขาอีก กาสุราก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
แต่เหมือนนางจะรู้ว่าจิ้งเหยายังดื่มไม่เสร็จ
จึงตัดสินใจเองและให้เสี่ยวเอ้อร์น้ำสุรามาอีกสองกา
“ท่านมาจากที่ใด”
สตรีเอ่ยถาม
สตรีจากหอนางโลมย่อมมีสัญชาตญาณที่จำเพาะอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยก็มองความยากดีมีจนของคนผู้นี้ออก
แต่จิ้งเหยาที่อยู่เบื้องหน้า
สัญชาตญาณนี้ของนางกลับไม่เป็นผล
สามารถไถ่ตัวนางได้และยังมีผู้ติดตาม
ย่อมไม่ใช่คนยากจน
แต่นางกลับมองไม่ออกว่าที่แท้แล้วจิ้งเหยาทำการงานใด
ความใคร่รู้นี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่นางรินสุราให้จิ้งเหยาจอกแล้วจอกเล่า สุดท้ายจึงถามออกมา
“ข้ามาจากที่ที่มีพายุทรายรุนแรงแห่งหนึ่ง”
จิ้งเหยากล่าว
เขาย่อมไม่บอกว่าตนมาจากทุ่งหญ้า
“ท่านหมายถึงทุ่งหญ้าใช่หรือไม่”
นึกไม่ถึงว่าสตรีนางนี้กลับเดาถูกในคราวเดียว
………………………………………
[1] เมฆคล้อยธารเคลื่อน หมายถึง ลื่นไหล สอดคล้อง ไม่สะดุด