ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 282 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-9

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 282 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-9

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าจู่ๆ ที่หางตาของตนก็มีร่างคนปรากฏตัวและหายไป

ยามเงยหน้าขึ้นมามอง กลับไม่เห็นขอทานน้อยผู้นั้นเสียแล้ว

ตาไม่เห็น ใจไม่ร้อนรน

เขาตัดใจให้หลิวรุ่ยอิ่งตายไม่ได้จริงๆ

แต่หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องตาย

ดังนั้นจากไปเสียเลยจะดีกว่า

นี่ก็เป็นวิธีปลอบใจตนเองที่ดีมากอย่างหนึ่ง

ในเมื่อไม่เห็นก็ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น

การจากไปของขอทานน้อยกลับทำลายความหวังเส้นสุดท้ายของหลิวรุ่ยอิ่ง

เดิมทีเขานึกจริงจังว่าขอทานน้อยต้องตัดใจให้ตนตายไม่ได้และยื่นมือเข้ามาแทรกแซงจิ้งเหยา

แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะสำคัญตัวผิดไป

ทว่าคนเราก็ยากที่จะไม่เป็นเช่นนี้

ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนอยากมีทางลัดให้เดินไปได้

เพราะนั่นอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะสามารถยึดจับเอาไว้ได้

แต่ทางลัดมากมายกลับเป็นประตูแห่งความตายทั้งสิ้น

หลิวรุ่ยอิ่งยังคงคุมเชิงกับจิ้งเหยาอยู่เช่นนั้น

แม้จิ้งเหยาจะร้อนใจ แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับมองออกว่าเขากำลังพยายามสะกดมันเอาไว้

เวลาโบยบิน

ตะวันรอนลงประจิมทิศแล้ว

แสงอัสดงยังมิทันจากจร

ก็มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงอยู่บนท้องนภาแล้ว

แม้แสงเดือนสว่างไม่พอ

แต่อย่างไรก็โผล่ขึ้นมาแล้ว

จิ้งเหยามองท้องฟ้าก่อนยิ้มออกมา

เมื่อครู่ขอทานน้อยยังบอกว่าตะวันจันทราร่วมทอแสงอะไรนั่น

ยามนี้ไม่จำเป็นต้องมีก้อนเงินกระจายอยู่บนพื้น ตะวันจันทราก็ทอแสงพร้อมกันแล้วไม่ใช่หรือ

ที่สุดแล้วคนกำหนดก็ไม่เท่าฟ้าลิขิต

แต่คนที่พูดแล้วถูกเผงเช่นนี้ก็มีน้อยนักจริงๆ

ดวงจันทร์ยังไม่ทันขึ้นเต็มที่

ยังลอยต่ำไม่ค่อยสูงนัก อยู่เพียงเหนือคานเรือนเท่านั้น

อย่างน้อยจากมุมที่หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นก็เป็นเช่นนี้

หวาหนงไม่พูดจาอีก

เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความกดดันที่อยู่ระหว่างการประลองเป็นตายนี้เช่นกัน

แม้แต่เสียงนกร้องที่ดังขึ้นบางครั้งเมื่อครู่นี้ ก็ยังหุบปากไปเสียแล้ว

สัตว์มักอ่อนไหวยิ่งกว่าคน

เมื่อสัมผัสถึงอันตรายย่อมสยายปีกบินสูงไปยังที่แห่งอื่น

ทันใดนั้นเอง

จิ้งเหยาก็หวดดาบโค้งของตนออกมา

แสงดาบพุ่งตรงไปยังขอบฟ้า

ต่อจากนั้น ยังมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นยามปราณกระบี่แหวกผ่านอากาศอีกด้วย

หลิวรุ่ยอิ่งมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมา

เพราะท้ายที่สุดจิ้งเหยาก็ยังออกดาบก่อนตน

สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถสะกดความร้อนรนของตนเอาไว้ได้

เวลานี้ความคมกริบปรากฏออกมาแล้ว

จะรอก็แต่ความกลมกลึงของหลิวรุ่ยอิ่ง

แม้จะเป็นเช่นนี้

แต่หากความคมกริบหนักหนาเกินไป ความกลมกลึงของหลิวรุ่ยอิ่งจะทานรับได้ไหวจริงหรือ?

เขาไม่มั่นใจแม้แต่น้อย

เมื่อมีรังสีดาบแสนถมึงทึงนี้

หลิวรุ่ยอิ่งหน้าถอดสี

ดาบโค้งของจิ้งเหยาราวกับดึงดูดแสงอัสดงที่ยังคงเหลืออยู่ไปจนหมด

ตะวันลับภูผาไปอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัมผัสต่อเวลาของหลิวรุ่ยอิ่งมีปัญหาหรือว่ามันเป็นเช่นนี้จริงๆ

สรุปก็คือเขารู้สึกว่าตะวันสายัณห์ของวันนี้ออกจะสั้นไปหน่อย

ไม่เห็นตะวันแล้ว

บนม่านฟ้ามีเพียงจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่ง

จันทร์เสี้ยวที่เหมือนกับดาบโค้งในมือจิ้งเหยา

จันทร์ขาวเงินเหนือศีรษะ

ดาบขาวหิมะในมือ

ล้วนสะท้อนใบหน้าซีดขาวของหลิวรุ่ยอิ่ง

“เจ้ายังไม่ออกกระบี่อีกหรือ”

จิ้งเหยาถาม

เขาเงยหน้ามองคมดาบของตนและดวงจันทร์

ความทะนงในใจ ทำให้เขาเย่อหยิ่ง

“ยังไม่ถึงเวลา”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“หรือว่าเจ้าก็กำลังรอช่องโหว่ของข้าเช่นเดียวกับเจ้าเด็กโง่นั่น?”

จิ้งเหยากล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ปฏิเสธ

เพราะเขารู้ว่าจิตใจของจิ้งเหยาว้าวุ่นแล้ว

แม้รังสีดาบของเขาน่าตกตะลึงยิ่งนัก

แต่เมื่อจิตใจว้าวุ่น

ก็จะพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

หลิวรุ่ยอิ่งหาใช่สุภาพชนเปี่ยมคุณธรรม

ฉะนั้นนี่จึงเป็นโอกาสงามที่สุดให้เขาออกกระบี่

แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง เขากลับเปลี่ยนความคิด

ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากฉวยโอกาสยามคนตกที่นั่งลำบาก

แต่เขาอยากลองดูว่าที่แท้แล้วตนเองเติบโตขึ้นมากน้อยเท่าไร

“แต่ช้าเร็วเจ้าก็จะออกกระบี่อยู่ดี”

จิ้งเหยากล่าว

“ไม่ผิด จะอย่างไรข้าก็จะไม่ยื่นคอรอให้ตัด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เช่นนั้นเจ้ากำลังรอสิ่งใด”

จิ้งเหยาถาม

“รอชั่วเวลาที่รังสีดาบของเจ้าไปถึงจุดสูงสุด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ยามนี้ยังไม่สูงสุดอีกหรือ”

จิ้งเหยาถามพลางขมวดคิ้ว

ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจุดสูงสุดของตนอยู่ที่ใด

แต่เขาเคลื่อนพลังปราณทั้งหมดมาอยู่ที่ดาบนี้

จริงจังกว่าดาบที่เคยออกในเหลาสุราก่อนหน้านี้ไม่รู้เท่าใด

จู่ๆ จิ้งเหยาก็คลี่ยิ้ม

แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวรุ่ยอิ่งกลับหุบลง รวมทั้งความยินดีที่แอบซ่อนอยู่ในใจก็หายไปด้วย

คนผู้หนึ่ง มีเพียงยามจิตใจสงบนิ่งเท่านั้นจึงจะยิ้มออกมา

รอยยิ้มแสดงถึงความไม่สะทกสะท้าน

ขอเพียงยังสามารถยิ้มได้ เช่นนั้นก็บอกได้ว่าจิตใจของเขาสงบลงแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งเองก็อยากยิ้มเช่นกัน

เพียงแต่เขาอยากยิ้มเจื่อน

เพราะเขานึกเสียใจแล้ว

นึกเสียใจว่าก่อนหน้านี้ที่จิ้งเหยาจิตใจไม่นิ่ง เขากลับไม่ออกกระบี่

แต่ยื้อมาจนบัดนี้ จึงสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว

คนเราก็เป็นเช่นนี้

ยามสอนสั่งผู้อื่น เมื่อกล่าวหลักการทั้งปวงออกไปล้วนมีเหตุผลไปเสียทุกเรื่อง

แต่เมื่อนำมาใช้กับตนเอง กลับไม่ปฏิบัติตามสักข้อ

ก็เหมือนที่หลิวรุ่ยอิ่งบอกหวาหนงว่าลังเลย่อมปราชัย

แต่เขาในยามนี้กลับลังเลยิ่งกว่าหวาหนงมากนัก

ทว่าเมื่อใดที่เข้าใจเงื่อนเหล่านี้แล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งก็จะสงบลงเช่นกัน

เขาเองก็สามารถยิ้มเยือกเย็นพร้อมกับจิ้งเหยาได้

ดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น

สูงถึงจุดที่รังสีดาบของจิ้งเหยาไปไม่ถึง

แต่หมู่ดาวกลับยังไม่ปรากฏ

ทว่า ไม่ใช่ว่ารอยยิ้มของหลิวรุ่ยอิ่งและจิ้งเหยาเจิดจรัสยิ่งกว่าแสงดาวเหล่านั้นแล้วหรอกหรือ

จิ้งเหยาเก็บความปรารถนาจะเอาชนะของตนลงแล้ว

เพราะเขาอ่านหลายสิ่งออกจากรอยยิ้มของหลิวรุ่ยอิ่ง

ในรอยยิ้มของเขามีความโศกเศร้าและความแน่วแน่น

โศกเศร้าต่ออนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้

และแน่วแน่ในกระบี่ที่จะเข้าประหัตประหารในครั้งนี้

ชาวทุ่งหญ้ามักให้ความเคารพนับถือผู้แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด

จวบจนชั่วอึดใจนี้

จิ้งเหยาจึงเพิ่งรู้สึกนับถือหลิวรุ่ยอิ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ

และเกิดความเข้าใจและนับถือกรมสอบสวนกลางที่อยู่เบื้องหลังเขาด้วย

แววตาของจิ้งเหยากลับอ่อนโยนขึ้นช้าๆ

“ขออภัย!”

จิ้งเหยาก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางเอ่ย

สำหรับผู้หยิ่งทะนงตนเยี่ยงเขา สิ่งนี้นับว่าเป็นความจริงใจที่มากที่สุดแล้ว

“เหตุใดจู่ๆ จึงขออภัย”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“เพราะก่อนหน้านี้ข้ามองเจ้าผิดไป”

จิ้งเหยากล่าว

“คนเรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อให้ผู้อื่นมองเราผิด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

หาได้ใส่ใจไม่

“แต่ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อทำลายสิ่งที่ผู้อื่นมองเราผิดไปหนแล้วหนเล่าไม่ใช่หรือ”

จิ้งเหยาเอ่ย

“เหตุใดต้องทำลาย คนที่มองผิดย่อมไม่มีวันเปลี่ยน ส่วนคนที่มองถูกก็ย่อมไม่มีวันมองผิด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“หรือว่าคนที่มองถูกจะไม่มีวันผิดหวัง?”

จิ้งเหยาถาม

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ

เขารู้สึกว่าความรู้สึกของตนเองและจิ้งเหยาตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน

หากจะบอกว่าเห็นอกเห็นใจก็อาจยังไม่ถึงขั้นนั้น

แต่ชัดเจนว่ามีพันธนาการแสนประหลาดอย่างหนึ่ง

พันธนาการชนิดนี้ไม่อาจใช้ความรู้สึกของมนุษย์มาพรรณนาได้

เคียดแค้น?

ย่อมต้องมีอยู่แล้ว

จิ้งเหยาสังหารผู้สั่งการกองกรมสอบสวน ซ้ำยังช่วงชิงเบี้ยหวัดไป

กระทั่งบีบคั้นหลิวรุ่ยอิ่งตกสู่ห้วงแห่งความเป็นตายหลายครั้งหลายคราว

ฉะนั้นหากบอกว่าไม่มีความแค้น พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่มีทางเชื่อ

อาฆาต?

ก็คล้ายว่ามีอยู่ไม่น้อย

เห็นชัดว่าแต่แรกนั้นจิ้งเหยาสามารถอาศัยข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าเข้าสังหารหลิวรุ่ยอิ่งได้

แต่กลับเป็นเพราะความทะนงในตนและความปรามาสต่อหลิวรุ่ยอิ่ง จึงใช้ข้อได้เปรียบนั้นมาหยอกล้อเขา

เมื่อถูกคนแกล้งเล่นอยู่ในอุ้งมือ

หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่อาฆาตได้อย่างไร

ทว่าความเคียดแค้นนั้นมีมาแต่กำเนิด

เกรงว่าคนในอาณาจักรห้าอ๋องต่างก็มีความเคียดแค้นต่อราชสำนักทุ่งหญ้า

แต่ความอาฆาตกลับเพิ่งเกิดขึ้นใหม่

หากจิ้งเหยาเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นคู่ปรับที่คู่ควรให้นับถือผู้หนึ่ง

เช่นนั้นแล้ว ต่อให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องตายอย่างอนาถภายใต้คมดาบของเขา หลิวรุ่ยอิ่งก็จะไม่มีความอาฆาตใดๆ

หวาหนงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังคงไม่เข้าใจความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา

ความปวดใจที่ไร้ที่มาที่ไป ถึงกับทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ

เบ้าตาของเขาเริ่มคัดและเจ็บปวด

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกเช่นนี้

หวาหนงใช้สองมือกุมดวงตา

ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องใดกัน

ทว่าน้ำตากลับไหลเอ่อลงมาตามซอกนิ้ว

เขาร้องไห้แล้ว

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน