พร้อมกับที่หลินสวินปรากฏตัว สายตาพวกหวังเต้าสิงต่างหันมาจับจ้องที่ตัวเขา
บรรยากาศพลันกดดันหนาวเหน็บขึ้นทันที
เหล่าผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปต่างหายใจติดขัด ในใจลอบเอ่ยว่าหลินสวินถึงกับกล้าปรากฏตัวตามลำพังจริงๆ เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่
“มีแค่เจ้าคนเดียวหรือ”
มู่ยงถิงในชุดแดงผมขาวเอ่ยปาก แสงเทพปะทุออกจากดวงตา คล้ายหมายจะมองทะลุทั้งเขาเทพชะตาสวรรค์
“จัดการกับพวกเจ้า ข้าคนแซ่หลินคนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว”
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ เขามองปราดเดียวก็ดูออกว่าเฒ่าดึกดำบรรพ์พวกนี้มาคราวนี้ในใจต้องมีความกังขา ไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงกล้ามาเสี่ยงอันตรายตามลำพัง
“เฮอะ คุยโวจริงเชียว รองหัวหน้าหอหลินอายุน้อยจึงลำพองใจ เพราะพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในกลุ่มเบื้องบนของลัทธิแรกกำเนิดได้ ทั้งยังแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นอีก จึงคิดไปเองว่ามีศัยภาพแฝงยอดอมตะที่ว่าแล้วจะมองข้ามเฒ่าชราอย่างพวกเราได้หรือ”
หญิงแต่งงานแล้วชือถิงฟางที่เผี่ยมเสน่ห์เรือนกายอิ่มเอิบยิ้มเอ่ยปาก
หลินสวินหยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอึกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน พวกเจ้าคงไม่ได้มาพูดคุยกับข้าคนแซ่หลินกระมัง”
เขาผ่อนคลายสบายอารมณ์นัก ต่อให้เผชิญหน้ากับเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์สิบคนก็ไม่เห็นความครั่นคร้ามสักนิด
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้พวกหวังเต้าสิงกังขาอยู่ในใจ
“พวกเราล้วนมาแล้ว ย่อมไม่เกรงกลัวเจ้า ถึงตอนนี้แล้วก็เปิดอกพูดกันตามตรง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หวังเต้าสิงเอ่ยเสียงขรึม
หลินสวินเก็บน้ำเต้ากล่าว “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าป่านนี้แล้วยังพูดอะไรอีก”
เขาดูคล้ายทำตามใจ แต่อันที่จริงกลับเป็นท่าทีอันแข็งกร้าว ทำให้พวกหวังเต้าสิงนิ่วหน้าไม่หยุด
และไกลออกไปเหล่าผู้ที่ดูการต่อสู้อยู่ต่างรู้สึกหวาดวิตกแล้ว พวกเขากังวลแทนหลินสวิน ว่าเขากล้าปฏิบัติต่อกับกำลังพลของพันธมิตรสงครามสิบตระกูลเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่กลัวจะถูกแล่เป็นพันชิ้นจริงๆ หรือ
“เจ้าแน่ใจว่าจะใช้กำลังของตัวเจ้าเพียงคนเดียวประลองกับพวกเราที่นี่หรือ”
จู่คงที่สวมชุดเกราะสีดำทั้งตัว สีหน้าทรงอำนาจเอ่ยเสียงเย็นชา เสียงเจือไอสังหารคับฟ้า
“ไม่ผิด”
หลินสวินพยักหน้า
“ข้าคิดไม่ตกจริงๆ ว่าลัทธิแรกกำเนิดทนมองดูเจ้าวิ่งมารับความตายถึงน่านฟ้าที่หกนี้ได้อย่างไร หลินสวิน เจ้าจะไขความกังขาให้ข้าได้หรือไม่”
มู่ยงถิงนิ่วหน้า
หลินสวินพลันยิ้มออกมา “ทุกท่าน ไม่ต้องหยั่งเชิงเช่นนี้อีกแล้ว ที่นี่นอกจากข้าคนแซ่หลินก็ไม่มีผู้ช่วยคนอื่นอีก ยิ่งไปกว่านั้นแค่จัดการกับพวกเจ้าเท่านั้น ข้าคนแซ่หลินไปขอคนอื่นมาช่วยยังคงไม่คุ้ม”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แววตาเย็นเยียบกวาดมองพวกหวังเต้าสิง “ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
คำพูดนี้แข็งกร้าวหาใดเทียบ มีท่าทางโอหังเหมือนมองอยู่บนที่สูง ทั้งยังเจือความดูถูกเฒ่าชราแห่งพันธมิตรสงครามสิบตระกูลเหล่านี้โดยไม่ปิดบังสักนิด
นี่ทำให้สีหน้าพวกหวังเต้าสิงอึมครึมลงไม่น้อยไอรีนโนเวล
แต่พวกเขาก็สงบใจลงไปมาก พวกเขาสัมผัสภูผาธาราแห่งนี้แล้ว และไม่พบว่ามีใครอื่นซ่อนอยู่จริงๆ
ตามที่พวกเขาสันนิษฐาน ต่อให้หลินสวินมีไพ่ตาย ก็คงจะเกี่ยวกับรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์
และพวกเขาเองก็มีวิธีการรับมือ
“หากฟ้าหมายให้เขาตาย ก็ต้องให้เขาลำพองให้สุด ทุกท่าน วันนี้พวกเราก็สังหารเจ้าหลินสวินคนนี้ที่น่านฟ้าที่หกแห่งนี้ คืนความสงบสุขแก่ใต้หล้า!”
หวังเต้าสิงตัดสินใจ
ชิ้ง!
เบื้องหลังเขามีกระบี่โบราณสีดำสนิทดุจหมึก หนาหนักใหญ่โตพุ่งออกมา เสียงกระบี่ดั่งกระแสธารปั่นป่วนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
ครืน!
ห้วงอากาศใกล้เคียงพังทรุด ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าระเบิดกระจุยถล่มลงดังสนั่น คล้ายว่าภูผาธาราแห่งนี้ยังรับกลิ่นอายของกระบี่โบราณเล่มนี้ไม่ได้
ภาพเช่นนั้นทำเอาผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปเห็นแล้วหนาวสะท้านไปทั้งตัว
“ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
พวกมู่ยงถิง จู่คง ชือถิงฟางต่างพยักหน้า ไอสังหารมืดฟ้ามัวดินพุ่งออกมาทั้งร่าง
ชั่วพริบตานี้กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามนั้นคล้ายจะปั่นป่วนจักรวาล ทำให้เวิ้งฟ้าแห่งนี้จมสู่ความโกลาหลเหมือนพังทลาย
ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปต่างยืนไม่อยู่แล้ว หน้าเปลี่ยนสีทันที พากันถอยออกไปไกลยิ่งขึ้น
“ควรเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว คำพูดไร้สาระก่อนหน้านี้ช่างน่ารำคาญ”
หลินสวินถอนใจเบา
“ไป!”
“โอม!”
“ฟัน!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างพวกหวังเต้าสิง ชือถิงฟาง มู่ยงถิงลงมือพร้อมกัน ต่างเรียกกระบี่โบราณ บรรทัดหยก เจดีย์สมบัติออกมา
กระบี่โบราณเคลื่อนผ่านอากาศ บดขยี้ไปตามแนวขวาง เจตกระบี่ประหนึ่งเวิ้งฟ้ากดข่มลงมา หนาหนักไม่อาจวัดได้ ยามพลังกฎเกณฑ์อมตะแผ่กระจาย สะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ
กระบี่สยบอัมพร!
ส่วนบรรทัดหยกว่องไวดุจแสงเคลื่อนไหว ฉายวาบกลางอากาศด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ คล้ายเส้นเรียวเล็กสีขาวโพลนพุ่งมาตรงหน้าหลินสวิน
บรรทัดยอดมรรคไร้ลักษณ์!
ด้านเจดีย์สมบัติหลังนั้นก็สะท้อนลักษณ์เก้าวัง ทั้งตัวเจดีย์แบ่งเป็นเก้าชั้น แปลงเป็นแสงเทพที่มีสีสันแตกต่างกันเก้าชั้น หลังจากทะยานฟ้าขึ้นมาก็มีพลังมหามรรคอันน่าครั่นคร้ามอย่างอสนีวาโยเพลิงปฐพี หยินหยางกระจ่างขุ่นราวกับเปิดประตูนรกเก้าบาน
เจดีย์เก้าแดนมาร!
การจู่โจมสามชนิดต่างสำแดงอานุภาพคับฟ้าของขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์คนหนึ่งออกมา อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นอื่น ต่อให้เป็นคนที่อยู่ระดับเดียวกันเกรงว่ายังต้องหนีการโจมตีของพวกเขา
นี่น่ากลัวเกินไป
ไม่ต้องสงสัย พวกหวังเต้าสิงไม่ได้ชะล่าใจ กังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันจึงไม่ออมมือสักนิด
บนยอดเขาเทพชะตาสวรรค์หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง ภายใต้การเผชิญหน้ากับการจู่โจมเช่นนี้ เขาเพียงซัดฝ่ามือออกไปสามครั้งต่อเนื่อง
เคร้ง!
ฝ่ามือแรกปะทะกับบรรทัดยอดมรรคไร้ลักษณ์ แสงเทพสาดกระจาย พลังทำลายล้างแผ่ออกมา ศาสตราที่ถูกหล่อเลี้ยงมาไม่รู้กี่ปีถูกตบกระเด็นออกไปอย่างจัง
จู่คงนัยน์ตาหดรัด
ตูม!
ฝ่ามือที่สองราวกับถล่มเวิ้งฟ้าหนาหนักฟากหนึ่งแหลกกระจุย เจตกระบี่ที่ควบรวมอยู่ที่กระบี่โบราณเล่มนั้นสลายไปเหมือนดินพังถล่ม ตัวกระบี่เองก็สั่นไหวไม่หยุด
หวังเต้าสิงพลันมุ่นคิ้ว
เปรี๊ยะ!
ฝ่ามือที่สาม เจดีย์เก้าแดนมารก็เหมือนถูกลมสวรรค์ฝนสมุทรจู่โจม ละอองแสงนับไม่ถ้วนแตกออก ถูกซัดจนเจดีย์สมบัติเองยังสั่นโคลงเสียงดังลั่น
ชือถิงฟางร้องเอ๊ะเบาๆ
ฝ่ามือททั้งสามอุบัติออกมาแทบจะในชั่วพริบตา แต่กลับซัดศาสตราเทพที่เฒ่าดึกดำบรรพ์สามคนเรียกมาให้กระเด็นไปได้ทุกชิ้น
ภาพนี้ทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่ได้ลงมือเหล่านั้นต่างเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“ขั้นหลุดพ้นขั้นปลาย!”
“ที่แท้ในห้าสิบกว่าปีสั้นๆ เจ้านี่ก็ทะลวงจากขั้นหลุดพ้นขั้นต้นมาขั้นปลายแล้ว…”
“มิน่าถึงกล้าไม่หวั่นกลัว ที่แท้เพราะมีที่พึ่งเช่นนี้”
เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นคล้ายเข้าใจขึ้นมา ความรู้สึกริษยาอย่างบอกไม่ถูกยิ่งผุดขึ้นในใจ
เวลาสิบปีในแดนมารสิบทิศ หลินสวินแจ้งมรรคจากขั้นหลุดพ้นขั้นต้นมาอยู่ขั้นดับเทพขั้นต้นได้
และในห้าสิบกว่าปีต่อมานี้ พลังปราณก็บรรลุขั้นหลุดพ้นขั้นปลายอีก!
ความเร็วในการเลื่อนขั้นนี้เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในหมื่นกาล จะไม่ทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านี้ไม่ริษยาได้อย่างไร
ควรรู้ว่าในหมู่พวกเขา ผู้ที่ใช้เวลาฝึกปราณสั้นที่สุดก็หลายหมื่นปี ที่ยาวนานที่สุดยังหลายแสนปี แต่ตอนนี้ก็ยังหยุดอยู่ที่ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์
เทียบกับความเร็วในการเลื่อนขั้นของหลินสวินแล้วดูไม่น่ามองสักนิด
ที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือหลินสวินไม่เพียงแต่เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพราะเขาใช้มรรควิถีขั้นหลุดพ้นขั้นปลายก็สามารถโจมตีเฒ่าดึกดำบรรพ์สามคนนี้ได้ พลังต่อสู้เช่นนี้น่ากลัวเหนือธรรมดานัก
และก็ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจได้ในที่สุด ว่าเหตุใดหลินสวินจึงใจกล้าท้าทายพวกเขาในน่านฟ้าที่หกแห่งนี้
“ทุกท่านเข้ามาสู้พร้อมกันดีกว่า หาไม่แล้วจะมีแต่แพ้เร็วขึ้น”
ไกลออกไปขณะที่หลินสวินพูด เงาร่างที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงมาตลอดก็เคลื่อนไหวทันที อานุภาพทั้งร่างเปลี่ยนไปโดยพลัน
ครืน!
ร่างเขาเปล่งแสง วงแหวนเทพอมตะอุบัติขึ้นด้านหลัง อานุภาพมหามรรคอันน่าครั่นคร้ามแปลงเป็นลักษณ์หุบเหวกลืนกินฟ้า คล้ายจะกลืนหมื่นลักษณ์ทั่งหล้าให้สิ้น
ฮูม!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏ ทะยานเข้ามาพร้อมกันเขา
“เข้าไปสู้ด้วยกัน รีบรบรีบจบ!”
ประกายกล้าแผ่พุ่งจากดวงตาหวังเต้าสิง ควบคุมกระบี่โบราณนำทุกคนกระโจนเข้าไป
ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์สิบคนลงมือจะน่ากลัวปานไหน
ชั่วพริบตานี้ฟ้าดินแห่งนี้โกลาหลโดยสิ้นเชิง สั่นไหวดุจไอขุ่นมัวแรกกำเนิด เขาเทพชะตาสวรรค์ที่ถูกมองว่าเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคงชั้นหนึ่งของน่านฟ้าที่หกยังพังถล่มดังสนั่น รับอานุภาพน่าสะพรึงเช่นนั้นไม่ไหว
ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลๆ ล้วนแสบตา จิตใจสั่นระรัว อย่าว่าแต่ดูการต่อสู้ แม้แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบยังเห็นไม่ชัด
ชั่วขณะหนึ่งมีเพียงเสียงมหามรรคครั่นครืนดังก้องฟ้าดินแห่งนี้
และในสนามรบ หลินสวินถูกล้อมโจมตี รอบทิศมีแต่ศัตรู ศาสตรามรรคต่างๆ เหนี่ยวนำแสงเทพโชติช่วง ปลดปล่อยกระแสพลังอันถาโถมออกมา บนฟ้าใต้หล้าต่างถูกไอสังหารน่าครั่นคร้ามกลบมิด
หลบก็ไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงสิ้นหวังไปแล้ว
แต่หลินสวินกลับไม่ได้ถูกกำราบ หรือพูดอีกอย่างว่าตั้งแต่เริ่มต่อสู้เขาก็ไม่ได้หลบสักนิด แต่เลือกประจันหน้าตรงๆ สำแดงมรรควิถีในตัวออกมา
ตั้งแต่ตอนอยู่ลัทธิแรกกำเนิด รองหัวหน้าหอเจ็ดคนร่วมกันล้อมโจมตียังทำอะไรเขาไม่ได้
ตอนนี้ต่อให้เปลี่ยนเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์จากพันธมิตรสงครามสิบตระกูลสิบคนก็เป็นเช่นนี้ แค่เพิ่มจำนวนมาสามคนเท่านั้น
และจำนวนมากน้อย มีประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญก็แค่ในกรณีที่พลังใกล้เคียงกันเท่านั้น
น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายฝีมือพอๆ กัน และย่อมหมายความว่าจำนวนคนไม่ใช่จุดสำคัญ
เพียงครู่สั้นๆ
เคร้ง!!
กระบี่โบราณเล่มหนึ่งถูกซัดจนสั่นรัว ร่างหวังเต้าสิงไหวโคลง เลือดลมปั่นป่วน รู้สึกแย่จนแทบกระอักเลือด เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที
เป็นไปได้อย่างไร!
แทบจะในขณะเดียวกัน หลินสวินกระตุ้นเตากระบี่สลายการจู่โจมที่ถล่มมาในบริเวณใกล้เคียงไปทั้งหมด ดูผ่อนคลายยิ่งไม่ได้เปลืองแรงใดๆ
นี่ทำให้พวกเฒ่าดึกดำบรรพ์หน้าเปลี่ยนสีแล้ว
พวกเขาต่างใช้พลังทั้งหมด ไม่ได้ออมมือ แต่กลับไม่สามารถกำราบหลินสวินได้สักนิด ตรงกันข้ามยามประมือกับหลินสวิน พวกเขากลับถูกซัดจนเลือดลมปั่นป่วน รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง มีเค้าลางว่าจะถูกกดข่ม
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
พวกเขาแต่ละคนตั้งใจลงมือรุนแรง อานุภาพไพศาลประหนึ่งสุริยันแผดเผา สำแดงวิชาทั้งปวงที่ตนครอบครองออกมาจนสิ้น พลังเช่นนั้นสามารถสังหารคนระดับเดียวกันคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าใต้ระดับนิรันดร์นับเป็นอานุภาพสูงสุดแล้ว
แต่ต่อให้อยู่ภายใต้การล้อมโจมตีเช่นนี้กลับยังทำอะไรหลินสวินไม่ได้เช่นเคย!
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป พวกเขาแต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด เขียวคล้ำ และตกตะลึง
แม้หลินสวินตัวคนเดียว แม้มีมรรควิถีขั้นหลุดพ้นขั้นปลายเท่านั้น แต่สู้กันถึงตอนนี้กลับมอบความรู้สึกไม่อาจสั่นคลอน แข็งแกร่งเกินต้านให้กับพวกเขา
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เหนือกว่าจินตนาการที่พวกเขาคาดไว้ทั้งสิ้น
เดิมทีพวกเขานึกว่าหลินสวินซุ่มอยู่ที่นี่เพราะมีการช่วยเหลือจากภายนอก ถึงกล้าประกาศศึกกับพวกเขาอย่างไม่หวั่นกลัว
แต่ตอนนี้พวกเขาถึงตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าพวกเขาเดาผิดแล้ว
เพียงอาศัยพลังที่หลินสวินครอบครองในตอนนี้ ก็ทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างพวกเขาเหล่านี้รู้สึกไม่อาจสั่นคลอนได้ นี่ต้องน่ากลัวปานไหนกัน
——