สิบปี ในลัทธิแรกกำเนิดเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
เช่นมีผู้สืบทอดรุ่นเยาว์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเด่นผงาด ทั้งมีบุคคลรุ่นอาวุโสมากมายทะลวงระดับ
แต่ผู้เจิดจรัสที่สุดยังคงเป็นหลินฝาน
ในฐานะที่เป็นบุตรของหลินสวินหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาย่อมถูกสายตาคนนับไม่ถ้วนจับจ้อง นี่เป็นทั้งเกียรติยศที่ทำให้คนทั่วไปอิจฉา ทั้งเป็นความรับผิดชอบอย่างหนักหน่วงด้วย
หลินฝานไม่อยากมีชีวิตอยู่ภายใต้วงแสงของบิดาตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเลือกออกไปฝึกประสบการณ์ ทั้งอยากพึ่งพาพลังของตัวเองไปบุกเบิกฟ้าดินของตน
…
สิบปี
นับตั้งแต่หลินสวินเคลื่อนกวาดน่านฟ้าที่แปดเมื่อปีนั้น หลังจากล้มล้างสิบยักษ์ใหญ่อมตะแล้ว บนโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องใหญ่พอจะสะเทือนใต้หล้าเกิดขึ้นอีก
น่านฟ้าที่เก้าตัดเส้นทางเชื่อมต่อกับน่านฟ้าที่แปด ในช่วงเวลาที่เคราะห์แห่งยุคสมัยใกล้มาเยือนนี้ เผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นย่อมยุ่งเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น
ด้านลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานหลังจากผ่านความพ่ายแพ้ย่อยยับครั้งก่อนก็เหมือนว่าจะหายหน้าหายตาไป ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก
สำหรับสรรพสิ่งทั่วหล้าทุกอย่างคล้ายกลับไปสู่ความสงบเหมือนก่อน
แต่สำหรับสี่หอบรรพจารย์และเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าพวกนั้น ความนิ่งสงบเช่นนี้ย่อมเป็นแค่เรื่องชั่วคราว
เมื่อเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เคราะห์แห่งยุคสมัยที่จะทำลายทั่วหล้านั้นต้องมาเยือนตามกำหนดแน่!
…
สิบปี
ในแต่ละน่านฟ้าทั่วโลกยอดนิรันดร์ปรากฏคนรุ่นใหม่ที่เจิดจรัสมากมาย ต่างคนต่างมีชื่อเสียงสะเทือนแดนดิน ถูกผู้คนบนโลกจับตามอง
แต่สุดท้ายผู้เจิดจรัสที่สุดก็มีแค่หยิบมือ
ในหมู่คนแค่หยิบมือนี้ก็มีชื่อของซูไป๋ด้วย
เขามาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา บุกทะยานมาจากแดนใหญ่พันศึก เด่นผงาดขึ้นมาจากน่านฟ้าที่หนึ่งของโลกยอดนิรันดร์ เวลาสั้นๆ แค่สิบปีก็กรำศึกแทบทุกน่านฟ้า มีชัยเหนือศัตรูตัวฉกาจในระดับเดียวกันมากมาย ผลงานการต่อสู้โดดเด่นหล่อหลอมมาจากเลือดสีสดทั้งตัว สะเทือนคลื่นลมทั่วหล้า
เผ่าจักรพรรดิอมตะนับไม่ถ้วนคิดชวนเขามาเป็นบริวารของตน ทั้งไม่รู้ว่ามีขุมอำนาจเท่าไรแค้นเขาเข้ากระดูก มองเขาเป็นหนามยอกอก
แต่ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มที่ผงาดกร้าวในช่วงสิบปีคนนี้ อาจารย์ของเขาก็คือหลินสวิน หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์แห่งลัทธิแรกกำเนิดในปัจจุบัน
โลกหล้านี้มีสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสน ปีศาจมากมาย อัจฉริยะนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้ซูไป๋โดดเด่นเป็นสง่าคนเดียวแน่
เขายังมีหนทางยาวไกลให้ก้าวเดิน
…
“สิบปีแล้ว ทำไมหลินสวินยังปิดด่านอีก มรรควิถีทั้งตัวเขาบรรลุขั้นสัมบูรณ์นานแล้วไม่ใช่รึ”
ลัทธิแรกกำเนิด หอแรกนภา ตู๋กูยงเอ่ยถามลอยๆ
ในที่นั้นยังมีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าแห่งลัทธิแรกกำเนิดอย่างพวกฟางเต้าผิง หยวนอู่เทียนด้วย
“อาจฝึกวิชาลับบางอย่างอยู่กระมัง”
เสวียนเฟยหลิงดื่มเหล้าจอกหนึ่ง “ใต้หล้าตอนนี้คงไม่มีทางปรากฏจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนิรันดร์อีก เขาปิดด่านครั้งนี้ย่อมไม่ได้ทำเพื่อทะลวงปราณแน่”
“เฮ้อ เวลาไม่คอยข้าจริงๆ”
ฟางเต้าผิงถอนใจเบาๆ
เคราะห์แห่งยุคสมัยครั้งหนึ่งถึงกับทำให้จุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนิรันดร์หายไปโดยสิ้นเชิง สำหรับเฒ่าชราที่เคี่ยวกรำพลังปราณขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มาหลายปีอย่างพวกเขา นี่เป็นข่าวร้ายที่หนักหน่วงหาใดเปรียบอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
“นับรวมทั้งหมดก็เหลือเวลาก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนแค่เก้าร้อยปี ถึงตอนนั้นโลกยอดนิรันดร์ แดนใหญ่พันศึก โลกพันจักรวาลนี้ต้องจ่อมจมแน่ เกรงว่าสรรพชีวิตบนโลก… คงไม่รู้ว่าต่อให้อายุยืนแค่ไหนก็มีชีวิตอยู่ต่อได้แค่เก้าร้อยปี…”
ตู๋กูยงกล่าวเสียงต่ำลึก
“ช่วยไม่ได้ นี่ก็คืออานุภาพยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนการดับสิ้นของยุคสมัยเคยเกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้ง ทำลายอารยธรรมยุคสมัยไปครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่โชคดีรอดจากเคราะห์แห่งยุคสมัยมาได้ สุดท้ายก็มีแค่ส่วนน้อย”
เสวียนเฟยหลิงดื่มเหล้าอีกจอก “ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่พวกเราลัทธิแรกกำเนิด คิดรอดจากเคราะห์แห่งยุคสมัยความเป็นไปได้ก็ไม่มาก”
“ไม่ใช่ว่ามีระเบียบระดับเทพแล้วทำให้ผู้ที่ไม่แจ้งมรรคนิรันดร์ต้านเคราะห์แห่งยุคสมัยได้หรอกหรือ”
ตู๋กูยงถาม
สำหรับผู้ฝึกปราณที่ต่ำกว่าระดับนิรันดร์ เมื่อเกิดการดับสิ้นของยุคสมัยจะถูกเคราะห์มรรคห้าเสื่อมโจมตี แต่หากมีระเบียบระดับเทพปกป้อง ก็มีมั่นใจได้มากขึ้นว่าจะต้านเคราะห์มรรคห้าเสื่อมได้
เสวียนเฟยหลิงกล่าวอธิบายอย่างอดทน “ระเบียบระดับเทพต้านพลังส่วนใหญ่ของเคราะห์มรรคห้าเสื่อมได้จริงดังว่า แต่จะรอดจากเคราะห์นี้ได้หรือไม่ ต้องดูวาสนาของผู้ฝึกปราณแต่ละคน”
“ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรามีระเบียบระดับเทพปกป้องยังต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงมากเช่นนี้ สำหรับสิ่งมีชีวิตมากมายในใต้หล้า พวกเขา… จะต้านทานเคราะห์นี้ได้อย่างไร”
ฟางเต้าผิงอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้
เมื่อโลกประสบเคราะห์ ใครเล่าจะหนีพ้น
พอคิดถึงว่าอารยธรรมยุคสมัยทั้งหมดและสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ทั่วหล้าจะประสบหายนะในเคราะห์แห่งยุคสมัย เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นี้ล้วนหนักใจ
“ไม่แน่เสมอไป ทุกท่านยังจำแหล่งสถานศุภโชคได้ไหม”
เสวียนเฟยหลิงพลันเอ่ยปาก “เมื่อก่อนอารยธรรมยุคสมัยมากมายที่เจอเคราะห์แห่งยุคสมัยสมัยล้วนปรากฏอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพวกเราเจอเคราะห์แห่งยุคสมัยนี้ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะมีโอกาสไปปรากฏตัวในแหล่งสถานศุภโชคเช่นกัน”
แหล่งสถานศุภโชคก็เหมือนรังมารดามหึมาหนึ่ง ภายในมีอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยกระจายอยู่ ล้วนเคยประสบเคราะห์แห่งยุคสมัยทั้งสิ้น
แต่แหล่งสถานศุภโชคกลับรักษาควันแห่งอารยธรรมยุคสมัยพวกนี้ไว้ เปรียบดั่งปกป้องเมล็ดพันธุ์หนึ่งในซากปรักหักพัง ทำให้อารยธรรมยุคสมัยที่ผ่านมาอยู่รอดในแหล่งสถานศุภโชคได้
ตู๋กูยงกล่าว “แต่แหล่งสถานศุภโชคนั้นกลายเป็นคุกแห่งหนึ่งนานแล้ว คนจากอารยธรรมยุคสมัยก่อนๆ ที่กระจายอยู่ภายในเหล่านั้น ถูกลิขิตให้ไม่อาจออกจากแหล่งสถานศุภโชคได้อีก”
ฟางเต้าผิงกล่าว “ไม่ผิด นอกเสียจากว่าวันหนึ่งผู้บงการหลังม่านของการดับสิ้นของยุคสมัยนั้นจะถูกเอาชนะ ไม่เช่นนั้นแหล่งสถานศุภโชคต้องเป็นเรือนจำแห่งหนึ่งไปตลอดแน่ ไม่เพียงกักขังอารยธรรมยุคสมัยเก่าก่อน ยังมีสรรพชีวิตในอารยธรรมยุคสมัยพวกนั้นด้วย”
สำหรับเหล่าผู้อาวุโสอย่างพวกเขา ย่อมรู้สถานการณ์ของแหล่งสถานศุภโชคเป็นธรรมดา
“แค่ถูกกักขังเท่านั้น ขอเพียงรอดไปได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันทำลายกรงขัง”
เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าว
ตู๋กูยงกล่าวเสียงขรึม “พี่เสวียน เจ้าอย่ามองโลกแง่ดีเกินไป อารยธรรมเซียนยุทธ์ยุคก่อนแข็งแกร่งและรุ่งเรืองระดับใด แต่กลับหายวับไปในเคราะห์แห่งยุคสมัย ได้ยินว่าแม้แต่พลังต้นกำเนิดยังถูกซัดแหลก ไม่มีโอกาสปรากฏตัวในแหล่งสถานศุภโชค”
การดับสิ้นของยุคเซียนยุทธ์หมดจดเกินไป ทั้งเป็นอารยธรรมยุคสมัยหนึ่งที่เฒ่าชราอย่างพวกเขารู้ว่าไม่ได้ปรากฏในแหล่งสถานศุภโชคอีก
เสวียนเฟยหลิงฟังจบแล้วถอนใจเบาๆ พลางโบกมือกล่าว “แม้แต่ระดับนิรันดร์พวกนั้นยังจนปัญญากับเรื่องพวกนี้ พวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้หรอก”
เวลานี้เองผู้อาวุโสหอแรกนภาเถาเหลิ่งมาเยือนกะทันหัน นำม้วนหยกม้วนหนึ่งมามอบให้ “หัวหน้าหอและรองหัวหน้าหอทุกท่าน นี่คือม้วนหยกที่หัวหน้าหอหลินฝากข้ามา”
เสวียนเฟยหลิงอึ้งงัน รับม้วนหยกมาดูแล้วนัยน์ตาพลันหดรัด “เป็นไปได้อย่างไร…”
“เป็นไปได้อย่างไรอะไรกัน ให้ข้าดูหน่อย”
ตู๋กูยงที่อยู่ด้านข้างยื่นมือชิงม้วนหยกมา พิจารณาครู่หนึ่งแล้วอึ้งงันทันที “นี่…”
การตอบสนองของเขากับเสวียนเฟยหลิงดูเสียอาการ แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นต่างถูกกระตุ้น ล้วนใคร่รู้อย่างอดไม่ได้ รับม้วนหยกมาเปิดอ่านทีละคน
จากนั้นพวกเขาทุกคนล้วนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ในใจพลุ่งพล่านไม่หยุด
ผ่านไปครู่ใหญ่เสวียนเฟยหลิงจึงกล่าวทำลายความเงียบก่อน “ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร”
“น่าจะเป็นเรื่องจริง”
ฟางเต้าผิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง คล้ายจะข่มความตื่นตระหนกในใจ “เจ้าหลินสวินนี่ไม่มีทางล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้”
“ต้องเป็นเรื่องจริงแน่!”
แววตาตู๋กูยงลุกโชนกล่าวว่า “สถานการณ์เช่นนี้อาจกักขังพวกเราได้ แต่กักขังบุคคลที่ครองมรรคายอดอมตะอย่างเขาไม่ได้แน่ อย่าลืมสิ บรรพจารย์ซวีอิ่นผู้ก่อตั้งลัทธิวิญญาณยังบอกว่ามรรคาของหลินสวินถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยนั่นด้วย!”
หยวนอู่เทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น “ถ้าเช่นนั้นอีกสามเดือน พวกเราก็จะเป็นพยานของปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วน่ะสิ”
เสวียนเฟยหลิงเอ่ยเสียงขรึม “ถึงตอนนั้นค่อยดูก็รู้แล้ว ช่วงนี้พวกเราต้องช่วยเขาเก็บความลับนี้ไว้ ถ้าข่าวรั่วไหลขึ้นมา เกรงว่าคงดึงดูดความสนใจของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน รวมถึงเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้นอีก”
ทุกคนต่างพยักหน้า
จนถึงตอนนี้ในใจพวกเขายังไม่อาจนิ่งสงบ
ด้วยในม้วนหยกนั้นมีแค่ประโยคเดียว
‘หลังจากนี้สามเดือน ผู้น้อยจะแจ้งมรรคนิรันดร์ ผู้อาวุโสทุกท่านโปรดเตรียมพร้อมล่วงหน้า!’
แจ้งมรรคนิรันดร์!
ตอนนี้ใครไม่รู้บ้าง ว่าก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนจะไม่มีจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนิรันดร์ปรากฏขึ้นอีก
แต่หลินสวินกลับบอกว่าจะแจ้งมรรคนิรันดร์หลังจากนี้สามเดือน!
นี่ก็คือจุดที่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างเสวียนเฟยหลิงตกตะลึง
“หากหลินสวินจะแจ้งมรรคนิรันดร์จริง มหาเคราะห์นิรันดร์ที่ชักนำมาจะต้องส่งผลต่อพลังระเบียบระดับเทพของสำนักพวกเราแน่ ทุกท่านอย่าลืมสิ ตอนนั้นยามหัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ ด่านเคราะห์ครานั้นน่ากลัวระดับใด”
ตู๋กูยงกล่าวเสียงขรึม “ดังนั้นพวกเราต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ข้าเชื่อว่านี่ก็คือเจตนาที่หลินสวินส่งข่าวนี้มาให้พวกเรา”
ฟางเต้าผิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวซึ่งมหาเคราะห์นิรันดร์ชักนำมามากเกินไป เมื่อปรากฏย่อมดึงดูดความสนใจของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน เผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าทันทีแน่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าพวกเขาบุกมาย่อมเป็นภัยร้าย”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “ตอนนี้ระดับนิรันดร์พวกนั้นยังเอาตัวไม่รอด คอยระวังเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาเยือนตลอดเวลา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาคงไม่กล้าบุ่มบ่ามก่อเรื่องอีก”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องเตรียมพร้อมป้องกัน ถ้ามีระดับนิรันดร์เดิมพันชีวิตมาขวางหลินสวินแจ้งมรรคทะลวงปราณจริง พวกเราก็ต้องคิดหาวิธีรับมือ”
“แต่ตอนนี้ในสำนักพวกเราไม่มีระดับนิรันดร์ดูแลแล้ว…”
ตู๋กูยงถอนใจยาว
ประโยคเดียวทำให้คนอื่นหนักใจเช่นกัน
ครู่ใหญ่เสวียนเฟยหลิงกัดฟันตัดสินใจ “เกิดเป็นคนต้องทำให้ดีที่สุด สุดท้ายย่อมแล้วแต่ฟ้าลิขิต ข้าไม่เชื่อว่าลัทธิแรกกำเนิดที่ยิ่งใหญ่จะถูกศัตรูเหยียบย่ำ!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นล้วนพยักหน้า หว่างคิ้วฉายแววเด็ดเดี่ยว
ยามหัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ ชักนำด่านเคราะห์ครั้งใหญ่มา และดึงดูดศัตรูมากมายมารุกรานเช่นกัน แต่สุดท้ายก็สลายภัยร้ายได้
ครั้งนี้หลินสวินจะแจ้งมรรคนิรันดร์ในอีกสามเดือน เฒ่าชราอย่างพวกเขาไม่เชื่อว่าครั้งนี้จะปกป้องหลินสวินไม่ได้!
ขณะเดียวกันในถ้ำสถิตแห่งหนึ่งบนเขาแรกพิสุทธิ์
หลินสวินกำลังกินอาหารพร้อมซย่าจื้อ กินด้วยกันพลางพูดคุย ดูผ่อนคลายจนเหมือนไม่มีอะไร