ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 291 เห็นดารากลางทิวา-5

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 291 เห็นดารากลางทิวา-5

ว่ากันว่า ทุกห้าขวบปีที่เด็กหนุ่มก้าวผ่านไป ก็คือหลุม (อุปสรรค) หนึ่งหลุม

จนถึงวันนี้หลิวรุ่ยอิ่งข้ามผ่านหลุมมาแล้วสี่หลุมครึ่ง

เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่าตอนที่เขาข้ามผ่านหลุมที่ห้าก็จะเริ่มดื่มสุรา

แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มดื่มเร็วไปสองสามปี

เขาพาสตรีนางนั้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปตลอดทาง

ภายในเวลาครึ่งวันก็สามารถเดินอ้อมเส้นทางที่ปกติแล้วต้องใช้เวลาสองสามวัน

…………………

เมืองหยางเหวิน

รัฐหง ใต้อาณัติของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

นี่เป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด และมีอาคารกรมสอบสวนตั้งอยู่

หลิวรุ่ยอิ่งค้นหาจากแผนที่จึงได้พบที่แห่งนี้

เมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงที่ราบระหว่างเขา

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดกรมสอบสวนถึงมาตั้งที่ทำการแห่งหนึ่งไว้ในเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้

แต่ในเมื่อมีอยู่ เช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลของมัน

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็มาถึงแล้ว

แม้เมืองหยางเหวินจะห่างไกล แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนความเจริญ

เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เข้าทำนอง ‘แม้นกกระจอกจะตัวเล็ก แต่มีอวัยวะทั้งห้าครบถ้วน’

โรงเตี๊ยม ร้านสุรา หอนางโลม ควรมีสิ่งใดก็มีทั้งสิ้น

หลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงผลัดกันแบกสตรีนางนั้นเร่งเดินทางมา

นางไม่ได้เจ้าเนื้อ แต่ยามแบกไว้บนหลังก็หนักเอาการ

ไม่รู้เช่นกันว่าที่แท้แล้วเป็นเพราะหลิวรุ่ยอิ่งตื่นเต้นหรือไม่

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสสตรีใกล้ชิดเพียงนี้

ทว่าชายชราเลี้ยงม้าเคยบอกเขาว่าแม้แต่คนตายก็ยังตัวหนักอึ้ง

หนำซ้ำยังหนักกว่าตอนมีชีวิตอยู่เสียอีก

หลิวรุ่ยอิ่งถามเขาว่าเพราะเหตุใด

ชายชราเลี้ยงม้ากลับบอกว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

โดยรวมแล้วก็เป็นเพราะว่าเมื่อตายไปแล้ว ทั้งจิต ปราณและวิญญาณล้วนหายไป ฉะนั้นจึงตัวหนักขึ้นมาก

เห็นชัดว่านี่เป็นเหตุผลที่อธิบายไม่ได้แต่อย่างใด

และไม่สอดคล้องกับตรรกะใดๆ เป็นแน่

แต่ยามนั้น เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังกลับดีใจยิ่งนัก

เพราะในที่สุดก็มีเรื่องที่ชายชราเลี้ยงม้าไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนบ้างแล้ว

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถามชายชราเลี้ยงม้าอีกว่าเคยพบเห็นคนตายหรือไม่

ชายชราเลี้ยงม้ากลับบอกว่าตัวเขาส่งศพมาสามชั่วคนด้วยมือตนเอง

หลิวรุ่ยอิ่งคอยตรวจสอบชีพจรและลมหายใจของสตรีนางนี้อย่างระมัดระวังตลอดทาง

แม้นางจะลืมตาอยู่ ทว่าแม้แต่กะพริบตาสักครั้งก็ยังไม่มี

จนกระทั่งเวลานี้ สองตาของนางจึงบวมแดงและมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

นี่ไม่ใช่การร้องไห้

แต่เป็นการปกป้องตนเองของร่างกายเมื่อดวงตาแห้งเกินไป

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่านางยังมีน้ำตาไหลออกมาได้

ก็รู้ว่านางยังไม่ตายจึงวางใจลง

เมื่อเดินเข้ามาในร้านสุราแห่งนี้ ก็เป็นจังหวะที่หวาหนงเป็นคนเเบกสตรีผู้นี้พอดี

หลิวรุ่ยอิ่งสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ชงชามาหนึ่งกา

ทั้งยังกำชับพิเศษว่าต้องการให้เข้มหน่อย

แม้เสี่ยวเอ้อร์จะไม่เข้าใจ

แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มสองคนเดินแบกสตรีผู้หนึ่งเข้ามา ในมือยังถือกระบี่จึงไม่ได้สอบถามให้มากความ

ผู้คนที่พาสตรีมาดื่มสุรานั้นมีมากมายนัก

และคนที่สั่งน้ำชาในร้านสุราก็มีมากเช่นกัน

แต่คนที่แบกสตรีมาและยังสั่งน้ำชาในร้านสุรา เสี่ยวเอ้อร์กลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน

คนมักเกิดความใคร่รู้ต่อสิ่งที่ตนเองไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่กำลังเติมน้ำลงในกาน้ำชา สายตาของเขาจึงมองมาทางนี้ตลอดเวลา

กระทั่งน้ำล้นออกมาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว

หวาหนงวางตัวสตรีลงบนที่นั่ง

เหมือนว่านางพอจะมีสติขึ้นมาบ้าง

อย่างน้อยดวงตาของนางก็กะพริบหลายครั้ง

“ที่นี่คือที่ใด”

นางเอ่ยปากถาม

เสียงค่อนข้างแหบแห้ง

และยังบางเบายิ่งนัก

หลิวรุ่ยอิ่งเกือบไม่ได้ยิน

“รัฐหง เมืองหยางเหวิน”

“อ้อ…”

สตรีตอบมาคำหนึ่ง และไม่ได้เอ่ยต่อ

นางหันหน้าออกไปมอง ภายในโถงใหญ่ยังมีโต๊ะอื่นอีกสองสามโต๊ะ

พวกเขาประหลาดใจกับการจับกลุ่มแปลกๆ ที่มีชายสองหญิงหนึ่งของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างยิ่ง

แต่เมื่อสายตาของสตรีมองมา พวกเขาก็พากันก้มหน้า

นางยืนขึ้น เดินตรงออกไปทางด้านหลังร้าน

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดอยากสอบถาม แต่ท้ายที่สุดก็ยั้งใจไว้

เสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำชามาที่โต๊ะ

สอบถามอย่างสุภาพว่ายังต้องการของว่างอาหารอื่นอีกหรือไม่

หลิวรุ่ยอิ่งกลับบอกว่ารอสักครู่

ไม่ใช่ว่าเขาไม่หิว

แต่เป็นเพราะยังกินไม่ลงจริงๆ

เวลานี้เขาแค่อยากดื่มชาเข้มๆ สักถ้วยเพื่อกระตุ้นเรี่ยวแรง

เมื่อสตรีนางนั้นกลับมายืนต่อหน้าหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง เขาแทบจำนางไม่ได้

เสื้อจากผ้าทอพื้นๆ ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

เห็นเพียงนางสวมเสื้อตัวในเป็นผ้าต่วนสีน้ำเงินเข้มทอลาย กระโปรงสีน้ำตาลอ่อนลายดอกพริ้วยาวระพื้น บนตัวคลุมผ้าแพรบางราวปีกจั๊กจั่นสีฟ้าครามลายหยดหมึก

ผมเผ้ายุ่งเหยิงกลับกลายเป็นนุ่มตรงอย่างผิดธรรมดา ทำผมเรียบร้อยงดงาม ม้วนแกละเป็นทรงมวยเยือนเทพ ปักปิ่นทองฝังหยกรูปปีกผีเสื้อลงบนผมที่มวยโค้งเป็นแกละนั้น

มือที่ก่อนนี้กระหวัดกระบี่สวมกำไลหยกเขียวลายใบแปะก๊วย

เอวคาดเชือกสีฟ้าน้ำทะเลถักเงื่อนลายหรูอี้ทิ้งพู่ ด้านขวาของเชือกถักห้อยถุงหอมสีม่วงอมแดงปักดิ้นทองลายดอกไห่ถัง

ทั้งตัวนางงดงามอ่อนช้อยดั่งเทพธิดา

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่านางแปลงโฉมในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

ทว่าเขากลับนึกถึงกลที่เกาเหรินสามารถหยิบ ‘คฤหัสถ์ลูกแป้ง’ ออกมาได้ตลอดเวลาเมื่อคืนนี้

คิดว่าสตรีผู้นี้ก็คงทำเหมือนกัน

ความจริงแล้ว คนที่สามารถใช้กระบี่เบิกฟ้าเป็นเส้นได้ และยังเกือบไปถึงตำแหน่งเทพบริราชเก้าทวีป เรื่องที่เขาทำออกมาย่อมไม่ต้องไปนึกประหลาดใจให้มากความ

“ข้ามีนามว่าเยว่ตี๋!”

สตรีกล่าว

นางแย้มยิ้ม

นอกจากเบ้าตาที่ยังคงบวมแดงอยู่บ้าง สิ่งอื่นๆ นอกนั้นก็กลับมาเป็นปกติแล้ว

เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางช่างฝืนใจนัก

“ข้ามีนามว่าหลิวรุ่ยอิ่ง”

ไม่ว่าอย่างไรหลิวรุ่ยอิ่ง ก็ยังต้องตอบไปประโยคหนึ่งอย่างสุภาพ

“กำลังสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงอยู่ในสภาพนี้หรือ”

เยว่ตี๋ถาม

นางกลับเอ่ยคำที่หลิวรุ่ยอิ่งอยากพูดที่สุดออกมาเสียแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

แต่กลับไม่ได้พูดคำใด

“เพราะข้ามักให้ความเคารพขั้นพื้นฐานต่อผู้ที่มีบุญคุณช่วยชีวิตตน สำหรับสตรีผู้หนึ่งแล้ว การแต่งตัวให้งดงามและเรียบร้อยเสียหน่อย ก็คือการแสดงความเคารพที่ดีที่สุด”

เยว่ตี๋กล่าว

น้ำเสียงของนางเป็นมิตร

จริตยั่วยวนทหารและนายกองก่อนหน้านี้หายวับเข้ากลีบเมฆไปสิ้นแล้ว

เมื่อพูดประโยคนี้จบ

นางเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง

เนิ่นนานมาแล้วหลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินชายชราเลี้ยงม้าพูดไว้

เขาบอกว่าใต้หล้านี้มีคนหลายประเภทนัก

แต่โดยรวมแล้ว แบ่งออกได้เพียงสองประเภท

ประเภทหนึ่ง มีชีวิตอยู่ในอดีต เรื่องที่ชอบทำที่สุดก็คือระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

ส่วนคนอีกประเภทหนึ่ง มีชีวิตอยู่แต่ในอนาคต เรื่องที่ชอบทำที่สุดก็คือการเพ้อฝันถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง

แต่จะขาดอยู่เพียงหนึ่งเดียวก็คือคนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

ใช่ว่าไม่มี แต่มีน้อยเหลือเกิน

หลิวรุ่ยอิ่งฟังออกว่าเขาอยากให้ตนเป็นคนที่มีอยู่น้อยนักนั้น และมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

เพียงแต่ผู้คนตรงหน้าเขาเวลานี้ กลับมีคนทั้งสามประเภทอยู่รวมกัน

หวาหนงออกมาจากป่าในเขาครั้งแรก สำหรับเขาแล้วทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่ทั้งน่าประหลาดนัก และย่อมไปกระตุ้นจินตนาการของเขา

ลำพังแค่ชื่อสถานที่ว่า ‘เมืองหลวง’ ก็เพียงพอให้ความคิดของเขาล่องลอยตีลังกาหลายตลบ

ส่วนเยว่ตี๋ผู้นี้ กลับเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในอดีตโดยสิ้นเชิง

ทุกชั่วขณะใจนางล้วนคนึงถึงเรื่องเก่าๆ

ทว่าวันเวลาเก่าๆ นี้ไม่แน่ว่าต้องดีเสมอไป

เรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง ไม่อาจคาดเดาได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น

ต่อให้เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็ต้องมีเรื่องราวมากมายที่ควรค่าให้ย้อนกลับไปนึกถึงและวาดหวังเฝ้ารอ

เพียงแต่ทุกคนล้วนจงใจหลบเลี่ยงความคิดประเภทนี้ก็เท่านั้น

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“มีสุราหรือไม่”

เยว่ตี๋ส่ายหน้า แต่กลับขอสุรามาดื่ม

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ปฏิเสธ และสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกมาสักสองสามกา

พร้อมกับให้เขานำกับแกล้มที่เข้ากับสุรามาสักสองสามจาน

เรื่องอดีตเป็นเช่นฝันในวันวาน ยากจะไล่ตาม

จากดวงตาของเยว่ตี๋ หลิวรุ่ยอิ่งสามารถมองเห็นการดิ้นรนของนาง

นางพยายามเต็มกำลังที่จะกระโจนออกมาจากอดีต

แต่สิ่งที่สูญเสียก็สูญเสียไปแล้ว

พลาดโอกาสก็พลาดไปแล้ว

หลังจากดิ้นรน ก็จะได้รับเพียงบทเรียนบางอย่าง

ก็เหมือนกับเมื่อดื่มสุราแล้วก็ต้องจ่ายเงินค่าสุรา ร่ำเรียนหนังสือก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ล้วนเป็นหลักการเดียวกัน

หวาหนงถือวิสาสะรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง

เมื่อสุราลงคอ

สีหน้าเบิกบานใจ

หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงตอนที่เซียวจิ่นข่านอยู่ในกรมสอบสวนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่ดื่มสุรา

แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างสำราญใจ สุรานี้จึงรินไม่หยุดหย่อน จากนั้นสุราในจอกก็หายวับไปในท้องทีละน้อย

อาการคึกคักฮึกเหิมที่ยากอธิบายเป็นวาจาได้ก็พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่มาไม่นาน แต่ก็ยังคิดถึงเรื่องเก่าๆ

บางเรื่องที่เคยทำให้เขารู้สึกลำบากยากเย็นยิ่งนัก หลังจากสั่งสมประสบการณ์มานับเดือนนับปี เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้งก็กลับทำให้พวกเขาเบิกบานใจเป็นบ้าเป็นหลัง

ทว่าเรื่องต่างๆ ที่เป็นทุกข์เศร้าโศกเสียใจ

พวกเขาก็จะไม่มีวันนึกถึงมันอีก

เพราะพวกเขาต้องการเพียงความสุขเท่านั้น

และการดื่มสุราก็คือเรื่องที่มีความสุขที่สุดในเวลานี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ตอนที่ข้าได้พบเขาครั้งแรก เขาก็อายุพอๆ กับเจ้า เพียงแต่เวลานั้นข้ายังสาวกว่าตอนนี้มากนัก”

เยว่ตี๋กล่าว

พลางยกจอกสุรามาชนกับจอกน้ำชาของหลิวรุ่ยอิ่งเบาๆ

จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาดื่มไปฝ่ายเดียว

“ข้าและเขาต่างรักการดื่มสุราอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่ว่าเป็นสุราใด ขอเพียงทำให้เมาได้ก็ดื่มทั้งนั้น สุราบ๊วย สุราข้าว สุราข้าวแดงพวกนั้น เมื่อเอามาผสมกันส่งเดชและดื่มไปพร้อมกัน ทำให้เมาเร็วยิ่งนัก”

เยว่ตี๋พูดต่อ

“เรื่องหลายเรื่องเมื่อคิดพร้อมกัน ทำพร้อมกันก็ทำให้คนปวดหัวได้รวดเร็วยิ่งเช่นกัน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เจ้าจะทำเรื่องใดหรือ”

เยว่ตี๋ถาม

หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้า

เขาไม่อยากเอ่ยถึง

เพราะเรื่องหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเยว่ตี๋

และแต่ไรมาตัวเขาก็ไม่ยินยอมให้เรื่องของตนไปเกี่ยวพันกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง

เซียวจิ่นข่านฝากฝังหวาหนงไว้กับหลิวรุ่ยอิ่ง

เดิมทีจะให้เขาพากลับไปเมืองหลวงอย่างสงบ

แต่เวลานี้กลับเกิดเรื่องราวพลิกผันขึ้นมากมาย เขาก็ละอายใจมากเกินพออยู่แล้ว

“เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ทำให้ข้ามีชีวิตมาดื่มสุราอีกครั้ง ข้าย่อมต้องขอบคุณเจ้า”

เยว่ตี๋กล่าว

“เป็นตัวเจ้าที่ช่วยตนเองต่างหาก”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท