ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 424 เถียงข้างๆ คูๆ ไปก็ไม่มีประโยชน์

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 424 เถียงข้างๆ คูๆ ไปก็ไม่มีประโยชน์

สวี่ฟางเอ่ยประโยคนี้เบาๆ คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ล้วนหนังศีรษะชาวาบ

เกรงว่าตอนนั้นบุตรสาวคนโตท่านนี้ของฉางชุนโหวคงมีอายุเพียงห้าหกขวบสินะ ถึงกับหลบอยู่ในตู้มองบิดาสังหารมารดาเชียวหรือ

นี่มันโหดร้ายเสียจนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้ได้

ชั่วขณะหนึ่ง ในศาลเงียบสงัดยิ่ง มีเพียงเสียงหายใจรุนแรงของฉางชุนโหว

ฉางชุนโหวทั้งโมโห ทั้งเสียใจยิ่ง

ที่โมโหก็คือบุตรสาวแท้ๆ วิ่งแจ้นมาถึงศาลเพื่อเปิดโปงความผิดของเขา และเสียใจที่ทำไมในปีนั้นถึงได้ใจอ่อน

เขาไม่ควรเก็บชีวิตนังลูกทรพีคนนี้เอาไว้!

เด็กหญิงอายุห้าหกขวบคนหนึ่ง คิดจะให้นางตายไปเงียบๆ นั้นมีโอกาสลงมือมากมาย

เขาใจอ่อนไปชั่วขณะ ผลลัพธ์คือทำร้ายตัวเอง…

เมื่อฟังสวี่ฟางเล่าจบ ซื่อหลางกรมยุติธรรมก็มองไปทางฉางชุนโหว “ท่านโหวยังมีอะไรจะพูดหรือไม่”

ฉางชุนโหวที่จมอยู่ในความเสียใจไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

“ท่านโหว?”

ฉางชุนโหวสะดุ้งตกใจ ได้สติคืนมา ก็ยืนกรานจนถึงที่สุดท่ามกลางแววตาซับซ้อนนับไม่ถ้วน “เป็นบุตรสาวทรพีผู้นี้แค้นใจที่ข้าขับไล่น้องชายร่วมอุทรของนางออกจากตระกูล ถึงได้สมรู้ร่วมคิดกับหยางซื่อมาใส่ร้ายข้า”

สวี่ฟางโขกศีรษะอย่างแรง “ขอใต้เท้าตรวจสอบ ใต้หล้านี้ ผู้ที่เป็นบิดามารดาล้วนรักและใส่ใจในตัวบุตรชายและบุตรสาว ในฐานะบุตรสาวจะให้ร้ายบิดาว่าสังหารมารดาเพราะบิดาทำความผิด ไล่น้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันออกจากตระกูลทำไมกัน ที่ข้ามาในวันนี้ ไม่ได้มาฟ้องบิดา เพียงแค่มาเป็นพยานบุคคลเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

เดิมผู้ที่ฟ้องร้องคดีความนี้คือหยางซื่อ จุดนี้จำเป็นต้องชัดเจน

ซื่อหลางกรมยุติธรรมได้ยินแล้วก็เผยสีหน้าลำบากใจ “สองฝ่ายล้วนยืนกรานในคำพูดของตัวเอง เช่นนั้นก็ยากจะจัดการแล้ว”

แม้ว่าถึงตอนนี้ตาชั่งในใจผู้คนล้วนเอียงไปทางสวี่ฟาง แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นคดีสำคัญจึงไม่สะดวกที่จะลงข้อสรุปง่ายๆ

เมื่อได้ยินวาจานี้ สายตาของทุกคนก็ทอดมองไปทางชายหนุ่มคนหนึ่ง

ผู้พูดคือหลินเถิง

“เจ้าว่ามา” ซื่อหลางกรมยุติธรรมโล่งใจเล็กน้อย

มีหลินเถิงอยู่ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว

ถูกเหล่าใต้เท้าจ้องเช่นนี้ หลินเถิงก็ไม่แสดงออกว่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขาถามสวี่ฟางกับหยางซื่อเรียบๆ ว่า “ทั้งสองท่านรู้หนังสือหรือไม่”

สวี่ฟางกับหยางซื่อตอบเป็นเสียงเดียวกัน “รู้หนังสือ”

พวกนางที่มีฐานะเช่นนี้ ไม่รู้หนังสือสิถึงจะแปลก

หลินเถิงถามเช่นนี้นั้นเนื่องจากความรอบคอบ

“ทั้งสองท่านโปรดหันหลังให้กับฝ่ายตรงข้าม”

สวี่ฟางไม่เข้าใจความหมายโดยนัยของวาจานี้ แต่กลับเคยได้ยินลั่วเซิงเอ่ยถึงความสามารถของใต้เท้าหลินผู้นี้ เมื่อได้ยินจึงหมุนตัวไปเงียบๆ

หยางซื่อสีหน้าเหม่อลอยไร้ความรู้สึกจึงเคลื่อนไหวช้าไปก้าวหนึ่ง

“ข้าอยากถามรายละเอียดของเรื่องในปีนั้นกับทั้งสองท่าน แน่นอนว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ทั้งสองท่านอาจจะจำไม่ได้แล้ว ดังนั้นรอข้าถามจบก็บอกข้าก่อนว่าจำได้หรือไม่ วาจานอกเหนือจากนี้ไม่ต้องพูด”

สวี่ฟางพยักหน้านิ่งๆ ให้หยางซื่อ

วาจาของหลินเถิงทำให้ผู้คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่ต้องสงสัย ล้วนพร้อมใจกันเงี่ยหูฟังคำถามของเขา

“หยางซื่อบอกว่า ฉางชุนโหวใช้หมอนปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตาย สวีสวี่ซื่อบอกว่าบิดาใช้หมอนปิดหน้ามารดาจนตาย เช่นนั้นพวกท่านจำได้หรือไม่ว่า ลวดลายบนหมอนที่ปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตายคือลวดลายใด”

ฉางชุนโหวนัยน์ตาไหววูบเล็กน้อย

ลวดลายบนหมอนที่ใช้ปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตายหรือ

เขาไม่มีความทรงจำเรื่องนี้เลยสักนิด หรือว่าพวกนางจะยังจำได้กัน

หลินเถิงที่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของฉางชุนโหวอยู่ในสายตา มีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม

คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจากการโต้เถียงอย่างรุนแรง ภายใต้ความโกลาหล ฆาตกรจำรายละเอียดมากมายไม่ได้นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นไม่เหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นหยางซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ฆาตกร หรือว่าคุณหนูใหญ่สวี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้ คนที่มองดูกระบวนการฆาตกรรมทั้งหมดอย่างใกล้ชิด ความทรงจำที่ทิ้งเอาไว้นั้นมากพอที่จะลืมเลือนไปไม่ได้ตลอดชีวิต

ตำแหน่งที่สายตาของพวกนางมองไปในตอนนั้น ก็คือหมอนที่ปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตายใบนั้น

แบบนี้ล่ะก็ แม้ว่าจะถามลวดลายบนหมอนที่เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้น ความเป็นไปได้ที่ทั้งสองคนจะยังจำได้นั้นก็มีมากยิ่ง

แน่นอน จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน เช่นนั้นเขาค่อยถามรายละเอียดอื่นๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นดำรงอยู่ตลอดกาล ไม่ใช่ปฏิเสธข้างๆ คูๆ แล้วจะสามารถลบล้างไปได้

สวี่ฟางแทบจะเอ่ยขึ้นทันทีที่หลินเถิงเอ่ยจบ “จำได้”

จะจำไม่ได้ได้อย่างไร นางหลบอยู่ในตู้เล็กแคบมืดมิด มองหมอนใบนั้นกดลงบนใบหน้ามารดา จนกระทั่งมารดาหยุดดิ้นรนผ่านรอยแยกเล็กๆ

นั่นเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฝันร้ายนับครั้งไม่ถ้วนในภายหลัง ไม่ต้องพูดถึงลวดลายบนหมอนเลย กระทั่งคราบสกปรกเล็กน้อยที่มุมหมอน นางก็จำได้ชัดเจน

หยางซื่อเอ่ยช้าไปวินาทีหนึ่ง “จำได้”

“นำพู่กันกับแท่งหมึกมาสองชุด” หลินเถิงสั่งมือปราบ

ไม่นานนักพู่กันและแท่งหมึกก็ถูกส่งมา

“พวกท่านเขียนลวดลายของหมอนลงบนกระดาษเถอะ”

สวี่ฟางยกพู่กัน เขียนตัวอักษรแถวหนึ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว

หยางซื่อก็เขียนเสร็จในเวลาไม่ช้าเช่นกัน

สองมือปราบเก็บกระดาษที่เขียนคำตอบเอาไว้เรียบร้อยก็นำไปมอบให้ตรงหน้าซื่อหลางกรมยุติธรรม

ซื่อหลางกรมยุติธรรมอ่านแล้วก็ส่งสัญญาณให้นำไปมอบให้เหล่าใต้เท้าที่นั่งฟังอยู่ได้อ่านด้วย

ทุกคนอ่านกันแล้ว สายตาที่มองไปทางฉางชุนโหวก็เปลี่ยนไปแล้วเปลี่ยนไปอีก

กระดาษขาวกลับสู่มือซื่อหลางกรมยุติธรรมอีกครั้ง

ซื่อหลางกรมยุติธรรมกระแอมไอเบาๆ “คำตอบบนกระดาษสองแผ่นเหมือนกัน ล้วนเป็นลายคำอวยพรที่เขียนว่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร!” ฉางชุนโหวลนลานเล็กน้อย

ซื่อหลางกรมยุติธรรมมองไปทางหลินเถิงแวบหนึ่ง

หลินเถิงเอ่ยเรียบๆ “คำตอบเช่นนี้ ท่านโหวคงไม่บอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรอกนะ”

“พวกนางหารือกันมาเรียบร้อยแล้วต่างหาก!” ฉางชุนโหวยังคงเถียงข้างๆ คูๆ อย่างไม่ยอมแพ้

หลินเถิงส่ายหน้า “ตอนนี้แล้ว ท่านโหวยังจะเถียงข้างๆ คูๆ อีก สถานการณ์ในปีนั้นสามารถสมรู้ร่วมคิดกันได้ แต่รอบคอบจนสามารถสมรู้ร่วมคิดกันถึงรายละเอียดของลวดลายบนหมอนได้ด้วยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมฐานะของพวกนางก็เป็นศัตรูกัน สิ่งที่สามารถทำให้พวกนางยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกันได้มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ ท่านโหวสังหารท่านหญิงหวาหยาง ผู้เป็นภรรยาเอกคนแรกเมื่อสิบสามปีก่อน!”

“ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำ!” ฉางชุนโหวโซเซถอยหลัง ดวงหน้าซีดเผือด

แต่ทว่าไม่มีใครฟังเถียงข้างๆ คูๆ ของฉางชุนโหวอีกแล้ว

สวี่ซีซึ่งปะปนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มุงดูอยู่นอกศาลาว่าการกรมยุติธรรมได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ก็แทบจากจะพุ่งเข้าไปจามชายผู้นั้นให้ตาย

แต่เขาไม่ได้ทำ

ชีวิตที่ผ่าฟืนในวันแล้ววันเล่า ค่อยๆ ขัดเกลาความหุนหันพลันแล่นของเด็กหนุ่มทิ้งไป ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะใจเย็น

ไม่รู้ว่ารอนานเพียงใด ในที่สุดเขาก็รอจนถึงตอนที่สวี่ฟางเดินออกมา

“พี่ใหญ่!” เด็กหนุ่มก้าวเท้าพุ่งเข้าไป

สวี่ฟางซึ่งหน่วยตาแดงระเรื่อ เห็นน้องชายร่วมอุทรพุ่งมาถึงตรงหน้าก็แย้มรอยยิ้มบางๆ “เป็นน้องชายนี่เอง”

“พี่ใหญ่ เขา…” สวี่ซีมองไปทางประตูศาลาว่าการ ก็ไม่เห็นฉางชุนโหวปรากฏตัว

สวี่ฟางเอ่ยเบาๆ “เขาจบสิ้นแล้ว”

คุณชายสวีห้าซึ่งรออยู่ข้างนอกเดินเข้ามา “ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็กลับจวนกันเถอะ”

สวี่ฟางยิ้มให้คุณชายสวีห้า “ข้าอยากไปสนทนากับน้องชายที่โรงน้ำชาเจ้าค่ะ”

คุณชายสวีห้ามองน้องชายภรรยาแล้วพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”

คุณชายสวีห้าพาสองพี่น้องเข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง เว้นพื้นที่ว่างให้กับทั้งสองคนได้สนทนากันอย่างเอาใจใส่

สวี่ซีทนไม่ไหวนานแล้ว เขากัดฟันถาม “พี่ใหญ่ เขาฆ่าท่านแม่จริงๆ หรือ”

สวี่ฟางพยักหน้าน้อยๆ

“ตอนนั้นท่านเห็นด้วยหรือ”

ศาลไต่สวนคดีความโดยเปิดเผยต่อสาธารณะ อนุญาตให้ชาวบ้านฟังได้ เรื่องในศาลย่อมแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

สวี่ฟางพยักหน้าอีกครั้ง

สวี่ซีออกแรงกำหมัดแน่น “พี่ใหญ่ ท่าน…เหตุใดท่านจึงไม่เคยบอกข้า!”

ที่แท้ตอนที่เขาทะเลาะวิวาท ก่อเรื่อง และใช้ชีวิตโง่เขลาเบาปัญญากับเหล่าบุตรผู้สูงศักดิ์เหมือนกัน พี่สาวคนโตก็เติบโตขึ้นมาอย่างระมัดระวัง โดยที่แบกรับความลับอันขมขื่นนี้เอาไว้หรือ

ส่วนเขาน่ะหรือ ยังโทษพี่สาวว่ามัวแต่ผูกสัมพันธ์กับจวนหนิงกั๋วกง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท