ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 322 ร้านของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 322 ร้านของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-6

หากบอกว่าใจของหลิวรุ่ยอิ่งไม่มีความรู้สึกตื่นเต้น นั่นคงเป็นเรื่องโกหก

ขอเพียงแค่เป็นบุรุษ เมื่อเห็นฉากเย้ายวนเช่นนี้ ในใจของพวกเขาย่อมไม่สงบสุขแน่นอน

ถึงแม้ว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเผยให้เห็นเพียงแค่ส่วนขาของนางเท่านั้น

ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเปิดเผยมากนัก

แต่บางครั้ง สตรีที่งดงามละมีเสน่ห์ดึงดูด การสวมใส่เสื้อผ้าอาจทำให้ดูน่าดึงดูดมากกว่าการถอดออกทั้งหมด

หากเถ้าแก่เนี้ยเพียงแค่ก้าวเข้าประตูก็ถอดเสื้อผ้าของนางออกจนหมด ก็คงเป็นการดูแคลนเรือนกายงดงามของตนเองและแสงจันทร์อันนวลผ่องในราตรีนี้

ดูท่าเถ้าแก่เนี้ยก็คงเข้าใจในหลักการนี้ดี

ด้วยเหตุนี้ นางจึงค่อยๆ ดึงชายกระโปรงขึ้นทีละน้อย ทีละชุ่นๆ

เพื่อทำให้หลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ ตกอยู่ในอารมณ์ที่ห้ามตัวเองไม่ได้

แต่แปลกที่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้าน

ทำให้เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

นางเริ่มสงสัยว่าหรือตนแก่แล้วจริงๆ…

ในวัยสาวของนาง เพียงแค่นางหยอกล้อด้วยปลายนิ้ว ก็สามารถทำให้ชายใดๆ ที่รายล้อมตัวนางกระโดดลงแม่น้ำหรือพุ่งลงบ่อได้โดยที่พวกเขาไม่ขมวดคิ้วด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ นางถึงขั้นดึงกระโปรงขึ้นแล้ว กลับไม่อาจทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหวั่นไหวแม้แต่น้อย

เถ้าแก่เนี้ยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ยอมรับ…

นางพาดขาที่เนียนขาวของนางไว้บนตัวหลิวรุ่ยอิ่ง

ปลายเท้ายกสูง

เพียงชั่วพริบตา นางก็เขี่ยรองเท้าของตัวเองทิ้งไปแล้ว

สตรีนางหนึ่งนอกจากใบหน้า ขาและเท้าคงเป็นส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับบุรุษ

เพียงแต่ สองส่วนนี้ไม่ควรมองพร้อมกัน

เพราะหากมองพร้อมกัน จะทำให้เสียทั้งเสน่ห์และความงาม

เถ้าแก่เนี้ยเห็นคนมามากมายจะไม่รู้หลักการนี้ได้อย่างไร

แต่นางแค่รีบร้อนเกินไปเท่านั้นเอง

“ข้าว่าขาของเจ้า มันหนักเล็กน้อยนะ!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

แต่นี่กลับเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎของสตรีอย่างร้ายแรง!

หากสตรีผู้หนึ่งไม่สวย ก็สามารถชมว่านางน่ารัก

หากนางไม่น่ารัก ก็ชมว่ามีบุคลิกที่โดดเด่น

แม้สตรีผู้นั้นจะไม่มีจุดเด่นเลยก็ตาม หากไม่รู้ว่าจะพูดอะไรก็ควรเงียบไว้

แต่อย่าได้พูดว่านางอ้วนหรือแก่

สองคำนี้สำหรับสตรีถือเป็นคำสาป

สามารถทำให้คนที่มีเหตุผลในชีวิตประจำวันกลายเป็นคนบ้าคลั่งได้ในพริบตา

การที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดว่าขาของเถ้าแก่เนี้ยหนัก ไม่ใช่ว่ากำลังบอกว่านางอ้วนหรอกหรือ

“เจ้า!”

เมื่อพูดคำนี้ออกไป

เถ้าแก่เนี้ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!

นางตะโกนใส่หลิวรุ่ยอิ่ง

จากนั้นก็ยกขาขึ้นสูง แล้วทิ้งลงอย่างแรง

แต่หลิวรุ่ยอิ่งใช้โอกาสขณะที่นางยกขาหลบไปได้ เขาลุกจากเตียงแล้วนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ

เถ้าแก่เนี้ยเตะลงมาที่เตียงอย่างแรง

เสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น

“ท่านอาจารย์อา ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

หวาหนงได้ยินเสียงดังก็รีบออกมาจากห้อง ยืนที่ประตูห้องของหลิวรุ่ยอิ่งพร้อมเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไร ข้ากำลังจับผีอยู่”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เถ้าแก่เนี้ยกลับหัวเราะด้วยความโกรธ

“ข้าถูกเจ้าจับได้แล้ว”

เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้น

นางไม่เคยเห็นบุรุษที่สงบนิ่งอย่างหลิวรุ่ยอิ่งมาก่อน

ที่จริงแล้วหลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่คนสงบนิ่ง

แต่เขาเข้าใจว่ามีบางสิ่งที่ไม่ควรทำ มีสตรีบางคนที่ไม่ควรแตะต้อง

เช่นเดียวกับหนามพยศ อาวุธของหยวนซาน

เดิมทีนางไม่ตั้งใจทำร้ายจิ้นเผิง

แต่จิ้นเผิงก็ยังพยายามหยิบมันขึ้นมา

สุดท้ายก็บาดมือตัวเอง และยังได้รับพิษ

หากเขาปล่อยให้หนามพยศกระจัดกระจายไว้ข้างเท้า ก็จะไม่เกิดเรื่องขึ้น

เถ้าแก่เนี้ยคนนี้ก็ไม่ใช่หนามพยศนั่นหรอกหรือ

ตราบใดที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่สัมผัส ก็จะไม่บาดเจ็บ

เพียงแต่ในช่วงเวลาที่นางยกขานั้น

รอยแผลเป็นนั้นมีลักษณะประหลาด

ไม่เหมือนรอยจากดาบหรือกระบี่

แต่จากสายตาของเขา รอยแผลเป็นกลับเพิ่มเสน่ห์ลึกลับและเย้ายวนให้กับขางามนั้น

“ในเมื่อถูกจับได้แล้ว นั่นหมายความว่าต้องฟังข้าใช่หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“ข้าน้อยพร้อมทำตามคำสั่งนายท่านทุกประการเจ้าค่ะ”

เถ้าแก่เนี้ยลุกจากเตียง

ยืนอยู่หน้าหลิวรุ่ยอิ่ง และโค้งคำนับพร้อมเอ่ย

“เช่นนั้นก็เชิญ!”

หลิวรุ่ยอิ่งเปิดประตูห้อง พร้อมพูดกับเถ้าแก่เนี้ย

“เจ้านี่มันไม่ใช่บุรุษเอาเสียเลย!”

เถ้าแก่เนี้ยพูดด้วยความโกรธ

นางคิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งต้องการทำอะไรที่แปลกใหม่กับนาง

เพราะคนหนุ่มอย่างเขามักมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร

เถ้าแก่เนี้ยแค่ต้องการความตื่นเต้นในพายุทรายคืนจันทรา

ไม่คิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะเป็นคนทึ่มเช่นนี้!

ไม่เพียงแต่ทึ่มเท่านั้น แต่ยังไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์อีกด้วย!

แม้แต่ความต้องการพื้นฐานระหว่างชายหญิงเขาก็ยังไม่มี หรือแค่อดทนไว้ได้

ทันใดนั้น เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่หนุ่มน้อยที่นางสามารถควบคุมได้

แต่เป็นปีศาจ

ผีตัวเป็นๆ

คนทั่วไปมักมีความปรารถนา

แต่มีเพียงผีเท่านั้นที่เรือนกายตายจากไปแล้ว ไม่สามารถวนเวียนกลับมาได้จึงจะสามารถสงบนิ่งได้เช่นนี้

“เจ้า…จะให้ข้าไปจริงๆ หรือ”

เสียงของเถ้าแก่เนี้ยสั่นเครือเล็กน้อย

นางเริ่มกลัวแล้ว

เผชิญหน้ากับคนอย่างหลิวรุ่ยอิ่ง นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลัว

“ประตูเปิดอยู่ และไม่มีใครมัดมือมัดเท้าเจ้าไว้”

หลิวรุ่ยอิ่งพูด

เขายังพูดไม่ทันจบ

เถ้าแก่เนี้ยก็ถกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตูราวกับกำลังเหินบิน

แต่รองเท้าข้างหนึ่งของนาง ถูกทิ้งไว้ในห้องของหลิวรุ่ยอิ่ง

นั่นคือตอนที่นางพาดขาลงบนตัวหลิวรุ่ยอิ่ง แล้วนางก็สะบัดมันออกไป

เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เนี้ยรีบออกไปเพียงใด

ถึงขั้นไม่รู้ตัวว่านางเดินด้วยเท้าเปล่าข้างหนึ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งลุกขึ้นปิดประตู

หลังจากถูกเถ้าแก่เนี้ยก่อกวนเช่นนี้ อาการง่วงก็หายไปสิ้น

เขานอนอยู่บนเตียงแต่ก็ไม่สามารถหลับได้อีกแล้ว

ฤทธิ์จากสุราก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกว่าดูเหมือนการดื่มสุราจะเป็นวิธีที่ดีที่ช่วยให้หลับสนิท

แต่ตอนนี้ห้องโถงชั้นล่างไร้ผู้คน ไม่มีใครสามารถเติมสุราให้เขาได้อีกแล้ว

แต่การแอบเติมสุราเงียบๆ นี้ก็ไม่ต่างจากการขโมย

แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่มีเงินติดตัวสักแดง แต่เขาก็ยังไม่ได้จนถึงขั้นต้องขโมยสุรา

ดังนั้น หลิวรุ่ยอิ่งจึงได้แต่ยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองดูดวงจันทร์

ภายใต้แสงจันทร์ ทันใดนั้นก็ปรากฏจุดดำขึ้น

มันอยู่ที่บริเวณเขตกระท่อมนั่น ในทิศทางที่พวกเขาเดินทางมา

จุดดำนั้นเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น

เป็นคนขี่ม้าเร็ว

เมื่อคนผู้นั้นกำลังจะเข้าเขตกระท่อม ทันใดนั้นก็มีเสียงม้าร้องดังขึ้น

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นได้ชัดว่าคนที่มานั้นคือเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนที่คุ้มกันโลงศพกลับไปยังเมืองหยางเหวิน

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสุขใจขึ้นมาบ้าง

คิดว่าคราวนี้เขาคงนำเงินสดมาไม่น้อย

ในที่สุดตนก็ไม่ต้องเป็นผีจนอีกต่อไป

เสียงเท้าม้าเริ่มเข้ามาใกล้

หลิวรุ่ยอิ่งเดินลงมาจากชั้นบน

คนผู้นั้นลงจากหลังม้าพร้อมกล่องใหญ่หนึ่งใบ

เมื่อเห็นกล่องนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนไปเขาแบกโลงศพหนึ่งใบไปด้วย

แต่เมื่อเขามากลับแบกหีบเงิน

ชีวิตของคนผู้หนึ่ง หรือสามารถซื้อได้ด้วยเงินจริงๆ

และชีวิตของคนผู้หนึ่ง มีค่าแค่ไม่กี่หีบเงินเท่านั้น?

หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าชายชราเลี้ยงม้าเคยบอกเขาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์นี้ล้วนมีราคาของมัน

คนก็เช่นกัน

ตราบใดที่ราคาเหมาะสมก็ไม่มีสิ่งใดที่ซื้อไม่ได้หรือแลกมาไม่ได้

เพียงแต่เมื่อเทียบคนกับวัตถุแล้วย่อมซับซ้อนยิ่งกว่า

บางครั้งไม่เพียงต้องใช้เงินแต่ยังต้องใช้ความรู้สึกด้วย

เงินสามารถใช้ตัวเลขมาประเมินค่าได้

ไม่มีเงินก็ไปหามาได้หรือแม้กระทั่งไปปล้นก็ยังได้

แต่ความรู้สึกนั้นไม่สามารถบังคับได้

หากมีความรู้สึกเพียงพอ แม้แต่เงินก็กลายเป็นเรื่องรองลงไป

ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

หลิวรุ่ยอิ่งให้เขายกหีบเงินนั้นเข้ามาในห้องของตน

ก่อนจะเปิดประตู ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้อง

หลิวรุ่ยอิ่งแกล้งทำเป็นไม่รู้ ผลักประตูเข้าไปอย่างเปิดเผย

จากนั้นก็จุดไฟตะเกียง และเริ่มสนทนากับเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนจากเมืองหยางเหวินผู้นั้น

พูดถึงตั้งแต่เรื่องราวของบรรพบุรุษไปจนถึงเรื่องของสตรีที่เขาชอบแต่ยังไม่ได้สารภาพรัก

พูดกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่

แม้คนผู้นี้จะรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดใต้เท้านายกองถึงต้องมาพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้

แต่เนื่องจากตำแหน่งของตัวเองที่ต่ำกว่าจึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

หลิวรุ่ยอิ่งพูดไปเรื่อยเปื่อยพลางคอยส่องดูใต้เตียงอยู่เป็นระยะๆ

เขายังบอกให้เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไปช่วยเติมสุราให้เขาด้วย

ตอนนี้มีเงินสดแล้ว เขาก็ไม่กลัวว่าใครจะกล่าวหาว่าขโมยสุรา

เมื่อสุรามาถึง เขาและเจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็ดื่มกันไปทีละจอก

ทว่าดื่มช้าอย่างยิ่ง

จอกสุราเล็กๆ ดื่มไปหลายอึกกว่าจะหมดจอก

ตอนนี้ในใจของเขาเริ่มรู้สึกชื่นชมแล้ว

นักย่องเบาที่มีระดับถูกเรียกว่า ‘สุภาพบุรุษบนขื่อคาน’ แต่คนที่อยู่ในห้องของเขาคนนี้ คงต้องเรียกว่า ‘สุภาพบุรุษใต้เตียง’

ไม่ว่าใครที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงล้วนรู้สึกไม่สบายตัวทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยามแล้ว

…………………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท