ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 436 คิดไร้สาระ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 436 คิดไร้สาระ

ยามราตรีมืดมิด เว่ยหานยืนอยู่หน้าประตูร้านเสื้อผ้า ไม่ได้รบกวนการกระซิบกระซาบของสองนายบ่าว

ลั่วเซิงฟังรายงานจากโค่วเอ๋อร์นิ่งๆ

“มีขอทานคนหนึ่งเห็นท่านหญิงน้อยตามบุรุษผู้หนึ่งเข้าไปตรอกตาแมว…”

ตรอกตาแมวอยู่บนถนนอีกเส้นซึ่งติดกับถนนชิงซิ่ง ห่างกันไม่มากนัก

“ขอทานน้อยสามารถบอกลักษณะคร่าวๆ ของบุรุษผู้นั้นได้หรือไม่”

โค่วเอ๋อร์กะพริบตา เอ่ยเสียงเบา “ขอทานน้อยเห็นในระยะที่ไกลประมาณหนึ่งเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณชายซูท่านนั้น”

เมื่อได้ยินวาจานี้ คิ้วสวยของลั่วเซิงก็เลิกขึ้นนิดหน่อย “ซูเย่าหรือ”

โค่วเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย “ขอทานน้อยบอกว่า เคยไปมุงดูตอนท่านจอหงวนเดินขบวนจึงเห็นบัณฑิตจอหงวนขี่ม้าไกลๆ แวบหนึ่งเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงจมอยู่ในความคิด

พระจันทร์เสี้ยวเย็นเยือก ส่องแสงจันทร์เบาบางลงบนดวงหน้าขาวสะอาด ทำให้นางดูเคร่งขรึมและสงบนิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ลั่วเซิงก็โค้งริมฝีปากยิ้ม กระซิบสั่งโค่วเอ๋อร์ “พรุ่งนี้หลินเถิงจะต้องล้อมถนนชิงซิ่ง ค้นหาคนที่เคยเห็นท่านหญิงน้อยแน่นอน ให้ขอทานน้อยผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าใต้เท้าหลิน เผยเบาะแสสำคัญนี้ให้ใต้เท้าหลินได้รู้…”

โค่วเอ๋อร์พยักหน้าไม่หยุด

เว่ยหานเห็นสองนายบ่าวคุยกันเสร็จก็เดินเข้ามา พลางถามยิ้มๆ “คุณหนูลั่วยังจะดูอีกไหม”

“ไม่แล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะไปส่งคุณหนูลั่วที่หอสุรา”

ลั่วเซิงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ข้าตรงกลับจวนแม่ทัพใหญ่เลยดีกว่า”

เว่ยหานตะลึงเล็กน้อย เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูลั่วไม่กินปูแช่สุราแล้วหรือ”

เขาสอบถามสือเยี่ยนมาแล้ว ปูแช่สุราสองไหในคืนนี้ ยังเก็บไว้อีกครึ่งไห

“ข้าไม่ค่อยหิว ปูแช่สุรายังเหลืออีกครึ่งไห ท่านอ๋องไปที่หอสุราแล้วให้อาซิ่วห่อให้ท่านนำกลับไปจวนอ๋องจำนวนหนึ่งเถอะ”

เว่ยหานตาเป็นประกาย

เขากินลูกพลับเยอะไปจึงนึกว่าจะไม่ได้เพลิดเพลินกับรสชาติความอร่อยของปูแช่สุราเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่า คุณหนูลั่วจะให้เขาห่อกลับไป

เว่ยหานยิ่งคิดก็ยิ่งปีติยินดีและนึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว หากเขาไปหอสุราเพื่อนำปูแช่สุรากลับจวน ก็ไม่สะดวกที่จะไปส่งคุณหนูลั่วแล้ว คงไม่อาจบอกว่า คุณหนูลั่ว เจ้าอย่าเพิ่งกลับจวน รอข้าห่ออาหารเสร็จค่อยไปส่งเจ้าหรอกนะ

แบบนั้นคล้ายจะไม่ค่อยมีความจริงใจเท่าใด

ด้านหนึ่งคือส่งคุณหนูลั่วกลับจวน ด้านหนึ่งคือปูแช่สุรา…

เว่ยหานดิ้นรนแวบหนึ่ง อดกลั้นความเจ็บปวด ละทิ้งปูแช่สุราไป “ข้าจะไปส่งคุณหนูลั่วกลับจวน”

ลั่วเซิงเลิกคิ้วประหลาดใจ “ท่านอ๋องไม่กินปูแช่สุราแล้วหรือ”

เว่ยหานนิ่งเงียบ

หรือว่าในใจคุณหนูลั่ว รู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับปูแช่สุรามากกว่าคุณหนูลั่ว

“หากว่าไม่กิน ก็ทำได้แค่รอปีหน้าแล้ว” ลั่วเซิงเอ่ยเตือนยิ้มๆ

เว่ยหานจ้องนางนิ่งๆ “ค่อยกินปีหน้าไม่เป็นไรหรอก”

ไม่แน่ว่าปีหน้าในตอนนี้อาจจะสามารถแต่งคุณหนูลั่วกลับจวนแล้วกินปูแช่สุราในจวนก็ได้

จวนอ๋องมีศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง การนั่งฟังเสียงสายลมพัดกระดิ่งดังในศาลา ชมดอกเบญจมาศสีเหลืองเต็มสวนและร่ำสุรา กินปูแช่สุรากับคุณหนูลั่ว เช่นนั้นก็มีความสุขอย่างยิ่ง

เว่ยหานคิดเช่นนี้ รอยยิ้มบนริมฝีปากก็ลึกขึ้นเรื่อยๆ

ลั่วเซิงเห็นคนบางคนยิ้มโง่งมก็ประหลาดใจมาก

อาศัยความเข้าใจที่นางมีต่อไคหยางอ๋อง หากไม่ได้กินปูแช่สุราก็ควรจะเสียใจมากถึงจะถูก เหตุใดพอเอ่ยถึงปีหน้าแล้วถึงได้มีความสุขมากเช่นนี้

“ท่านอ๋อง?”

เว่ยหานได้สติคืนมา เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณหนูลั่ว ไปกันเถอะ”

แม้ว่าลั่วเซิงจะประหลาดใจที่ใครบางคนเปลี่ยนสีหน้าท่าทางรวดเร็ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงพยักหน้าเล็กน้อย “ได้”

ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันไป เงาสองสายทอดยาวบนถนนชิงสือ

ตอนประตูจวนรองเจ้ากรมหวังถูกเคาะให้เปิดออก รองเจ้ากรมหวังประหลาดใจยิ่ง “พ่อบ้านมาในตอนนี้ ไม่ทราบว่าจวนอ๋องมีเรื่องอันใดหรือ”

พ่อบ้านจวนอ๋องประสานมือ “ท่านได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนชิงซิ่งแล้วสินะขอรับ”

“ไม่” รองเจ้ากรมหวังฝืนเค้นออกมาคำหนึ่ง

มีหอสุราแพงอย่างไร้เหตุเช่นนั้น เขาเป็นคนที่มักจะไปถนนชิงซิ่งหรือไร

“คือแบบนี้ขอรับ ท่านหญิงของพวกข้าน้อยไปร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งบนถนนชิงซิ่ง จากนั้นก็ไม่พบแล้ว…”

“เดี๋ยวก่อน ไม่พบแล้วนั่นหมายความว่าอะไร”

พ่อบ้านจวนอ๋องมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ท่านหญิงหายตัวไปแล้วขอรับ”

รองเจ้ากรมหวังมุมปากกระตุกอย่างแรง ในใจก็รู้สึกเสียใจภายหลังอีกครั้งที่แต่งงานดองเป็นญาติกับจวนผิงหนานอ๋อง

ทำไมจวนผิงหนานอ๋องถึงมักจะเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้บ่อยๆ กันนะ

รองเจ้ากรมหวังนึกได้ว่า คนของจวนอ๋องมาตอนนี้จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม รีบแสดงความบริสุทธิ์ “ท่านหญิงไม่ได้มาที่นี่นะ”

“ไม่ได้มาที่นี่ขอรับ แต่ผู้ดูแลร้านเสื้อผ้าบอกว่า คุณหนูสองท่านเข้าไปในร้านหลังจากท่านหญิงของพวกข้าน้อยออกจากร้านพอดี ดังนั้นใต้เท้าหลินของกรมยุติธรรมจึงให้จื่อซู สาวใช้ของท่านหญิงของพวกข้าน้อยมาสอบถามคุณหนูหวังทั้งสองท่านสองสามประโยค ท่านโปรดอำนวยความสะดวกให้ด้วยขอรับ”

รองเจ้ากรมหวังขมวดคิ้วเงียบๆ

ในความทรงจำหลานสาวคนโตกับหลานสาวคนรองล้วนว่านอนสอนง่าย นี่ถึงกับก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา

ทว่าคนของจวนอ๋องมาถึงจวนแล้ว ทั้งสองตระกูลก็แต่งงานดองเป็นญาติกัน จะปฏิเสธย่อมเป็นไปไม่ได้

รองเจ้ากรมหวังสั่งข้ารับใช้ “ไปเชิญคุณหนูสองท่านไปที่เรือนรับรอง”

รอไม่นานนัก จื่อซูก็ได้พบกับคุณหนูใหญ่หวังกับคุณหนูรองหวัง

จื่อซูทำความเคารพ แล้วเข้าประเด็นทันที “บ่าวรับคำสั่งใต้เท้าหลินแห่งกรมยุติธรรมมาถามคำถามคุณหนูทั้งสองท่านสองสามคำถามเจ้าค่ะ”

คุณหนูใหญ่หวังกับคุณหนูรองหวังสบตากันแวบหนึ่งแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เชิญเอ่ย”

“วันนี้คุณหนูทั้งสองท่านเห็นท่านหญิงของพวกบ่าวที่ถนนชิงซิ่งไหมเจ้าคะ”

“เห็น” คุณหนูใหญ่หวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“เห็นที่ไหนหรือเจ้าคะ”

“นอกประตูร้านเสื้อผ้าซึ่งติดกับร้านชาดทาแก้มที่อยู่เยื้องกับมีหอสุรา”

จื่อซูนัยน์ตาไหววูบ ถามต่อว่า “คุณหนูทั้งสองได้สนทนากับท่านหญิงของพวกบ่าวไหมเจ้าคะ”

คุณหนูใหญ่หวังยิ้มน้อยๆ “ย่อมทักทาย”

“เช่นนั้นคุณหนูทั้งสองเห็นไหมเจ้าคะว่าท่านหญิงของพวกบ่าวไปยังทิศทางใด” น้ำเสียงจื่อซูแฝงไปด้วยความร้อนรนหลายส่วน

นางเป็นสาวใช้ที่ออกไปข้างนอกจวนเป็นเพื่อนท่านหญิง ตอนนี้ท่านหญิงหายไป หากว่าตามกลับมาไม่ได้ ชีวิตนี้ของนางก็จบสิ้นแล้ว

คุณหนูใหญ่หวังนิ่งเงียบ

คุณหนูรองหวังอึกอัก เห็นพี่สาวไม่เอ่ยอันใดก็ไม่เอ่ยวาจาเช่นกัน

จื่อซูร้อนใจ “คุณหนูทั้งสองได้โปรดอย่าปิดบังเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของท่านหญิงของพวกบ่าว”

“ท่านหญิงไม่ได้กลับจวนหรือ” คุณหนูรองหวังไม่ได้สุขุมเหมือนคุณหนูใหญ่หวัง จึงถามออกมาอย่างอดไม่อยู่

จื่อซูพยักหน้าซีดขาว “เจ้าค่ะ หลังท่านหญิงของพวกบ่าวไปถนนชิงซิ่ง ก็ยังไม่กลับมาจนถึงตอนนี้ หากคุณหนูทั้งสองค้นพบอะไร จะต้องบอกบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวจะได้แจ้งกับใต้เท้าหลิน”

คุณหนูใหญ่หวังนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “ขณะที่เอ่ยทักทาย ท่านหญิงคล้ายจะเห็นใครบางคนจึงรีบร้อนตามไป”

“ใครหรือเจ้าคะ” จื่อซูซักถามอย่างร้อนอกร้อนใจ

คุณหนูใหญ่หวังลังเลเล็กน้อย

“คุณหนูใหญ่หวัง ตอนนี้ท่านอย่าได้ลังเลอีกเลยเจ้าค่ะ”

“ไม่ค่อยแน่ใจ…เพียงแค่เหลือบเห็นแผ่นหลังจากที่ไกลๆ เห็นว่าเป็นบุรุษคนหนึ่ง ทว่าคนคนนั้นเดินเลี้ยวไปเร็วมากจึงมองไม่เห็นแล้ว” คุณหนูใหญ่หวังเอ่ยวาจานี้ด้วยท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อย

หากไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของท่านหญิงน้อย วาจาที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสตรีเช่นนี้ นางเตรียมจะเก็บไว้ไม่เอ่ยออกไปแล้ว

จื่อซูได้ยินแล้วก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นว่าสอบถามไม่ได้อะไรมาก ก็รีบออกจากจวนรองเจ้ากรมไป

ราตรีค่อยๆ มืดมิด แม้ว่าความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจะมากเพียงใด ก็ทำได้แค่กลับบ้านของแต่ละคน ถนนชิงซิ่งที่คึกคักคับคั่งเงียบเหงาลง

หลินเถิงและคนอื่นๆ ยังคงรออยู่ในร้านเสื้อผ้า

เมื่อได้ยินรายงานของจื่อซู หลินเถิงก็ถามเว่ยเฟิงว่า “ซื่อจื่อคิดว่า ท่านหญิงน้อยเห็นใคร ถึงได้รีบร้อนตามไปเช่นนั้น”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท