ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 323 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 323 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-1

จอกสุราวางอยู่ใต้เตียง คนผู้หนึ่งเผยใบหน้าครึ่งล่างอย่างช้าๆ

ทำไมบอกว่าเป็นใบหน้าครึ่งล่างล่ะ

เพราะส่วนที่โผล่ออกมาเห็นมีแค่สองรูจมูก ปากและคางของเขา

คนผู้นี้ยื่นริมฝีปาก พยายามจะดื่มสุราจอกนั้น

แต่ขณะที่ริมฝีปากของเขาจะแตะถึงขอบจอกสุรา หลิวรุ่ยอิ่งเลื่อนมันกลับเล็กน้อย

คนผู้นั้นจึงยื่นศีรษะออกมอง

ก็เป็นเช่นนี้ ตอนเขากำลังจะได้ดื่มสุรา หลิวรุ่ยอิ่งก็จะเลื่อนจอกกลับทุกครั้ง

ฉับพลันนั้น คนผู้นี้ยื่นสองมือออกมาคว้าจอกสุราไว้ สูดปากดื่มรวดเดียวหมด

“ก่อนหน้านี้ไล่ผีตัณหาไปแล้ว ไม่นึกว่าจะมีผีสุรามาอีกตน หรือข้าดวงไม่ดีเลยดึงดูดผีโดยกำเนิด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาโบกมือให้คนในอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินไปพักผ่อนห้องข้างๆ

บุรุษใต้เตียงผู้นี้ดื่มสุราจอกหนึ่งแล้วถีบสองขาไถลตัวออกมา

“ข้าไม่ใช่ผี เจ้าก็ไม่ใช่คนดึงดูดผี!”

คนผู้นี้ลุกขึ้นมากล่าว

ปัดเศษฝุ่นบนตัว

“เจ้าเป็นใคร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

ดูจากการแต่งตัวของเขาแล้วแยกไม่ออกจริงๆ

หรือว่าเป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน

“เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเจ้า! เจ้าชื่อหลิวรุ่ยอิ่ง นายกองของกรมสอบสวนกลาง”

คนผู้นี้กล่าว

“ดูท่าเจ้าจะรู้จักข้าจริงๆ เช่นนั้นให้ข้ารู้จักเจ้าหน่อยได้หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ข้าชื่อเสี่ยวจีหลิง”

คนผู้นี้กล่าว

“แต่ท่าทางที่เจ้าหลบอยู่ใต้เตียงไม่ฉลาดเลยสักนิด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ไม่ นั่นข้าจงใจทำให้เกิดเสียง หากข้าต้องการ ต่อให้นอนอยู่ใต้เตียงเจ้าสิบปีเจ้าก็ไม่รู้หรอก เจ้าเชื่อหรือไม่”

เสี่ยวจีหลิงย้อนถาม

“ข้าไม่เชื่อ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เถ้าแก่เนี้ยนั่นพูดตรงขนาดนี้แล้วเจ้ายังนั่งอยู่เฉยได้ นับถือ!”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

สีหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งพลันเปลี่ยน

เรื่องนี้ไม่มีใครรู้

ก่อนหน้านี้หวาหนงได้ยินความเคลื่อนไหวก็จริง แต่เขาไม่ได้เดินเข้าห้อง

แม้หน้าต่างเปิดอยู่ แต่นอกจากลมกับแสงจันทร์แล้วก็ไม่มีสิ่งใดเข้ามา

เสี่ยวจีหลิงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร

สามารถบอกสิ่งที่เห็นให้คนอื่นรับรู้

แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

ดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์ แสงจันทร์ก็เหมือนน้ำค้างขาวชั้นหนึ่ง

สองสิ่งนี้จะพูดได้อย่างไร

เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว

นั่นคือเสี่ยวจีหลิงซ่อนอยู่ใต้เตียงของตนมาตลอด

ตั้งแต่ก่อนหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าในห้อง เสี่ยวจีหลิงก็อยู่ที่นี่แล้ว

ดังนั้นเขาถึงได้รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

คิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งอดรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังไม่ได้…

หากเสี่ยวจีหลิงเป็นนักฆ่า

เขาก็แทงทะลุหัวใจตนได้จากใต้เตียงในหนึ่งกระบี่เลยไม่ใช่หรือ

ยังดีที่เขาไม่ใช่นักฆ่า

เขาเป็นแค่เสี่ยวจีหลิง

แม้หลิวรุ่ยอิ่งบอกว่าไม่รู้จักเขา แต่เขาเคยได้ยินชื่อเสี่ยวจีหลิงสามคำนี้

ถึงเสี่ยวจีหลิงจะไม่ใช่คนสกุลเสี่ยว อายุก็ไม่น้อย อีกทั้งไม่ได้ชื่อจีหลิงก็ตาม

กระนั้นแม้เสี่ยวจีหลิงสกุลเสี่ยว แต่ที่จริงเขาสกุลเซี่ยว

เซี่ยวที่หมายถึงแย้มยิ้มออกมา

และชื่อของเขาก็ชวนเบิกบานใจยิ่ง

ชื่อว่าฉางไหล

เซี่ยวฉางไหล

ท่าทางพ่อแม่ของเขาคงอยากให้ลูกชายมีความสุขให้มาก ยิ้มบ่อยๆ ในวันเวลาที่มีชีวิตอยู่

แย้มยิ้มอยู่เสมอ[1]

พวกเขาตระกูลเซี่ยวเป็นถึงตระกูลใหญ่ทรงอำนาจในสมัยราชวงศ์

เหมือนว่าปู่ของเขามีตำแหน่งขุนนางตั้งแต่อายุสิบเจ็ด

ภายหลังตำแหน่งพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้รับการแต่งตั้งเป็นคนสนิทขององค์จักรพรรดิ

แต่อยู่ข้างจักรพรรดิเหมือนอยู่ข้างเสือ

ไม่ระวังเพียงนิดก็ล้มทั้งกระดาน

เพราะปู่ของเซี่ยวฉางไหลโดดเด่นและมีอำนาจมากเกินไปจึงทำให้องค์จักรพรรดิไม่พอใจ

ถูกลดตำแหน่งไล่ออกจากเมืองหลวงไม่พอ คนทั้งตระกูลก็พบเจอหายนะไปด้วย

แต่เทียบกับคนที่ยังเป็นขุนนางอยู่ในราชวงศ์เหล่านั้น ตระกูลเซี่ยวถือว่าโชคดีมากจริงๆ

เพราะปู่ของเซี่ยวฉางไหลถูกลดตำแหน่งไม่ถึงสองปี ราชวงศ์ก็ล่มสลายแล้ว

สิ่งที่เข้ามาแทนคือห้าอ๋องปกครองร่วมกัน

สุนัขรับใช้ราชวงศ์เหล่านั้นย่อมแตกกระจายไปคนละทิศทาง

คนที่หนีก็หนี คนที่ตายก็ตาย

มีเพียงตระกูลของเซี่ยวฉางไหลที่ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมั่นคงปลอดภัย

แม้ถูกลดขั้น แต่ทรัพย์สินตระกูลยังอยู่

คำกล่าวที่ว่าอูฐหิวตายตัวใหญ่กว่าม้าก็คือหลักการนี้

ตอนเซี่ยวฉางไหลยังเยาว์ เขาก็เป็นเด็กที่อ่านตำราบทกลอนมามากพอควร

อายุหกขวบก็เขียนประโยคอย่าง ‘บนประกาศชื่อทองคำ เพียงบังเอิญเสียโอกาสเป็นหัวมังกร[2]’ ได้แล้ว

แต่หลังจากได้ยินว่าราชวงศ์ล่มสลาย เขากลับเผากระดาษเขียนคำกลอนเหล่านั้นไม่เหลือซาก

อย่างไรราชวงศ์นี้ก็ล่มสลายแล้ว หัวมังกรก็ถูกตัดออก

ยังมีประกาศชื่อบนกระดานทองคำเสียที่ไหน

ตระกูลเซี่ยวสืบทอดมาถึงรุ่นเขา ทว่ามีบุตรเพียงคนเดียว

เมื่อพ่อแม่ถึงแก่กรรมหมด

เซี่ยวฉางไหลไว้ทุกข์สามปีด้วยความกตัญญู

จากนั้นขายสมบัติในตระกูลทั้งหมด เขาแบกตั๋วเงินหนึ่งกองหนาๆ คนเดียว ไม่มีใครรู้อีกเลยว่าเขาไปไหน

แต่สามคำว่าเสี่ยวจีหลิงนี้กลับค่อยๆ เข้าหูของคนที่ท่องยุทธภพและเคลื่อนไหวอยู่ในอาณาจักรห้าอ๋องตลอดปี

เพราะเสี่ยวจีหลิงรู้ทุกเรื่อง

ตำนานมากมายที่นักเล่าเรื่องเขียนลงเล่ม ความจริงต้นฉบับคือเสี่ยวจีหลิง

แม้เสี่ยวจีหลิงมีเงินเยอะ แต่หลังจากโด่งดังเขาก็ไม่ใช้เงินของตัวเองอีกเลย

เพราะชื่อเสี่ยวจีหลิงสามคำนี้ของเขาก็มีมูลค่าหมื่นตำลึงทองแล้ว

เป็นใครได้ยินชื่อนี้ก็ต้องอยากเชิญเขาดื่มสุราสักจอก กินเลี้ยงอาหารดีๆ สักมื้อ

ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น เพียงเพื่อฟังเขาเล่าเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน

บนถึงผิงหนานอ๋องกับอนุภรรยาของเขาทะเลาะอะไรกันบ้าง ล่างถึงยอดฝีมือสองคนใดที่ท้ารบเดิมพันด้วยชีวิต

เสี่ยวจีหลิงรู้ทั้งหมด

กระทั่งเถ้าแก่เนี้ยขึ้นเตียงหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อครู่เขาก็รู้

“เจ้ารู้เรื่องเหนือจินตนาการไปจนถึงเรื่องขัดต่อจริยธรรมของมนุษย์แล้วดื่มสุราได้สบายใจเช่นนี้ ข้าสิต้องนับถือ!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เสี่ยวจีหลิงโบกมือ

หมายถึงสิ่งเหล่านั้นไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง

เขานั่งตรงข้ามหลิวรุ่ยอิ่งอย่างคล่องแคล่ว หยิบกาสุราขึ้นมาเตรียมรินให้ตัวเอง

อึดอัดอยู่ใต้เตียงตั้งหลายชั่วยาม

ตอนนี้เขาทั้งหิวทั้งกระหาย

แค่อยากดื่มเต็มที่สักสองสามจอกให้ชุ่มคอ ถือโอกาสขจัดความขุ่นมัวในใจ

การที่เถ้าแก่เนี้ยยั่วยวนหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้ทำให้เสี่ยวจีหลิงเกิดความคิดบางอย่าง

เพียงแต่ยามนี้ไม่มีที่ให้ระบาย เช่นนั้นก็ดื่มสุราอีกสองจอกเป็นการใช้สุราแก้กลุ้ม

นึกไม่ถึงมือเขาเพิ่งถือกาสุรา

หลิวรุ่ยอิ่งกลับกดกาสุราไว้แน่น

“นี่เป็นสุราที่ข้าใช้เงินซื้อมา จอกนั้นข้าเลี้ยงเจ้า หากเจ้ายังอยากดื่มก็ควรไปซื้อเอาเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาใช้วิธีของเถ้าแก่เนี้ย มีอะไรก็พูดเรื่องเงิน

เสี่ยวจีหลิงอึ้งงัน

เขาไม่ได้ใช้เงินตัวเองดื่มสุรามานานเท่าไร แม้แต่ตัวเขาก็จำไม่ได้แล้ว

และเขาก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะไม่ให้เขาดื่มสุรา แถมยังให้เขาไปซื้อเองอีก

หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากรู้ว่าตนรู้อะไรอีกบ้างงั้นหรือ

เขาไม่อยากถามว่าทำไมตนถึงอยู่ที่นี่ได้งั้นหรือ

ที่จริงใช่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากถาม

กลับอยากรู้อย่างยิ่ง

เพียงแต่เสี่ยวจีหลิงถึงขั้นมาซ่อนตัวในห้องของตน เช่นนั้นก็แสดงว่าเขามีเรื่องที่อยากรู้เหมือนกัน

และเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับตนแน่นอน

หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่เชิญเขาดื่มสุรา

เพราะถ้าเชิญตนก็จะถูกอีกฝ่ายกุมไว้ในกำมือ

เป็นเช่นตอนนี้กลับจะเสมอกันทั้งสองฝ่าย

………………………………………

[1] แย้มยิ้มอยู่เสมอ ความหมายตรงตัวของชื่อเซี่ยวฉางไหล

[2] หัวมังกร ในที่นี้หมายถึงจอหงวน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท