ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 443 ธูป

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 443 ธูป

การสืบสวนในตรอกตาแมวของหลินเถิงเข้าสู่สภาวะชะงักงัน

เรื่องการหายตัวไปของท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องลือกันจนสับสนอลหม่าน ล้วนพูดกันว่าเกี่ยวข้องกับองค์หญิงฉางเล่อ เมื่อมีข่าวลือเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเห็นความผิดปกติ แม้ว่าจะเห็นก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้อยู่ดี

นั่นคือองค์หญิงเลยนะ เอ่ยออกมาไม่ใช่การรนหาที่ตายหรือ

และหลินเถิงที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็จนปัญญาเช่นกัน

ตรอกตาแมวตลอดทั้งเส้นมีสิบกว่าครัวเรือน คงไม่สามารถจับชาวบ้านเหล่านี้ขึ้นมาทรมานสอบปากคำทั้งหมดได้

เขารู้ดียิ่งว่า เรื่องการหายตัวไปของท่านหญิงน้อยยากจะเลี่ยงองค์หญิงฉางเล่อได้

“เจ้าจะไปสืบที่จวนองค์หญิงหรือ” เสนาบดีจ้าวได้ฟังรายงานจากหลินเถิงก็เคราสั่นระริก

หลินเถิงตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วขอรับ”

เสนาบดีจ้าวทั้งฉิวทั้งขัน เหลือบมองประตูห้องที่ปิดสนิทแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้ามันเด็กดื้อดึง แม้ว่าจะตรวจสอบออกมาได้ว่า องค์หญิงฉางเล่อเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของท่านหญิงน้อย แล้วจะตัดสินโทษให้กับองค์หญิงฉางเล่อเช่นนั้นหรือ”

หลินเถิงเอ่ยเรียบๆ “ข้าน้อยรับผิดชอบสืบคดีเท่านั้นขอรับ”

เสนาบดีจ้าวโมโหเดือดดาล

ฟังสิ นี่ใช่ภาษาคนหรือ ความหมายนี้คือ หลังจากตรวจสอบออกมาได้ก็ไม่สนแล้ว ให้เขา ชายชราที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งแบกเอาไว้แทน

“หลินเถิงเอ๋ย ข้าอายุอานามเท่านี้แล้ว ทนการสร้างความวุ่นวายของเจ้าไม่ไหวหรอกนะ” เสนาบดีจ้าวถอนหายใจ

หลินเถิงหลุบตาฟัง ไม่มีท่าทางใจอ่อนแม้แต่น้อย

ปริมาณอาหารที่ใต้เท้าจ้าวกินตอนอยู่ที่มีหอสุรานั้น มองไม่ออกถึงอายุที่มากแล้วเลย

กินมากกว่าเขาเสียอีก

เสนาบดีจ้าวถลึงตาถาม “ยังยืนกรานว่าจะไปหรือ”

“ในเมื่อสอดมือเข้าไปแล้ว คงไม่อาจเลิกล้มกลางคันได้ขอรับ”

“ไม่กลัวองค์หญิงฉางเล่อถูกใจเจ้าหรือ”

หลินเถิงสีหน้าแข็งค้าง “ข้าน้อยรูปโฉมธรรมดา ไม่เข้าตาองค์หญิงหรอกขอรับ”

คบหาสมาคมกับคุณหนูลั่วมานานขนาดนี้ก็ไม่เห็นคุณหนูลั่วมีท่าทีอันใด…หลินเถิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็หูแดงอย่างอดไม่ได้ สีหน้าจึงยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น

เสนาบดีจ้าวแววตาไหววูบ

กระทั่งคำขู่เช่นนี้ก็ไม่กลัวแล้ว นี่คือการถูกคุณหนูลั่วฝึกฝนออกมาหรือ

“ก็ได้ เจ้าไปตรวจสอบเถอะ เพียงแต่จำเอาไว้เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าตรวจพบอะไร ให้มารายงานก่อน” เสนาบดีจ้าวโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์แล้วไล่หลินเถิงออกไป

ในห้องหนังสือเหลือเสนาบดีจ้าวคนเดียว ชายชรายกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย

ตรวจสอบก็ตรวจสอบสิ ถึงตอนนั้นเขานำผลลัพธ์ไปรายงานให้ฮ่องเต้ ฝ่าบาทอยากจะจัดการเช่นไรก็จัดการเช่นนั้น

ลั่วเซิงนอนหลับตื่นหนึ่ง เพิ่งจะกินมื้อเช้าก็ได้รับเทียบเชิญจากจวนองค์หญิง

องค์หญิงฉางเล่อเชิญนางไปที่จวน

ลั่วเซิงพิจารณาครู่หนึ่ง พลางสั่งโค่วเอ๋อร์ “ตอนนี้เรือนทางตะวันตกครึกครื้นเล็กน้อย จับตาดูแทนข้าให้ดี”

หมิงจู๋ หลิงเซียว บวกกับเฟยหยางที่พากลับมาจากจวนองค์หญิงเมื่อวาน นอกจากเล่นหมากล้อมแล้ว กระทั่งเฝ้าดูการเล่นหมากล้อมก็มีแล้ว

คนเยอะ เรื่องก็เยอะขึ้น

“คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ เรื่องอื่นบ่าวไม่ไหว แต่การจับตาดูคนนี่เชี่ยวชาญนัก” โค่วเอ๋อร์เม้มปากยิ้มพลางเอ่ยรับรอง

ลั่วเซิงพยักหน้า “หงโต้ว ไปเถอะ”

หงโต้วตามอยู่ด้านหลังลั่วเซิงแล้วหันกลับไปส่งสายตาลำพองใจให้โค่วเอ๋อร์แวบหนึ่ง

ต่อให้เด็กสาวมีความสามารถมากกว่านี้ก็ทำได้เพียงอยู่แต่บ้าน คุณหนูออกไปข้างนอกก็ยังคงพานางไปด้วยอยู่ดี

สองนายบ่าวขึ้นรถม้าไปถึงจวนองค์หญิงก็มีข้ารับใช้รออยู่แต่แรกแล้ว

ลั่วเซิงเดินตามสาวใช้ผ่านประตูสีแดงบานหนักเข้าไปในบริเวณลานที่กว้างที่สุด ก็เห็นว่าทิศทางที่สาวใช้นำทางไปนั้นไม่ถูกต้องจึงถามว่า “องค์หญิงไม่อยู่ที่ห้องบรรทมหรือ”

สาวใช้ตอบด้วยท่าทางเคารพนบนอบ “องค์หญิงอยู่ในเรือนวิเวกเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงชะงักฝีเท้า “เช่นนั้นข้ารอองค์หญิงอยู่ด้านนอกแล้วกัน จะได้ไม่รบกวนพระองค์”

สาวใช้เอ่ยยิ้มๆ “คุณหนูลั่วไม่ใช่คนอื่น องค์หญิงบอกว่า ท่านมาเมื่อใดก็จะพบท่านเมื่อนั้นเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงไม่เอ่ยอันใดอีก

เรือนวิเวกของโซ่วเซียนเหนียงเหนียง[1] ที่ให้องค์หญิงฉางเล่อสักการะโดยเฉพาะสร้างไม่ไกลจากสถานที่พักอาศัย ลั่วเซิงเดินตามสาวใช้เข้าไปข้างใน กลิ่นกฤษณาเข้มขึ้นเรื่อยๆ

เสียงสวดมนต์ยาวนานเสนาะหูดังลอยมา ฟังแล้วคุ้นเคย ทั้งแปลกประหลาด

องค์หญิงฉางเล่อเดินเข้ามา เอ่ยยิ้มๆ “อาเซิงมาแล้วหรือ”

นางดวงหน้างดงาม ชายแขนเสื้อกว้างย้อมกลิ่นธูป ยืนอยู่ในห้องที่อบอวลไปด้วยควันธูป ชั่วขณะหนึ่งถึงกับทำให้คนรู้สึกว่าไม่เหมือนคนธรรมดา แต่ไม่ต่างจากโซ่วเซียนเหนียงเหนียงที่สักการะเลย

ลั่วเซิงอดมองโซ่วเซียนเหนียงเหนียงด้านหลังโต๊ะบูชาให้มากขึ้นอีกแวบหนึ่งไม่ได้

มือหนึ่งวางลงบนบ่านาง เสียงที่แยกความรู้สึกได้ไม่ชัดเจนขององค์หญิงฉางเล่อดังลอยมา “อาเซิงนับถือโซ่วเซียนเหนียงเหนียงเหมือนกับข้าเถอะ”

“นับถือโซ่วเซียนเหนียงเหนียงหรือ” ลั่วเซิงคล้ายจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้จึงพึมพำซ้ำ

องค์หญิงฉางเล่อมองนาง แววตามีความสงสัยเพิ่มขึ้นมา “อาเซิงลืมไปแล้วหรือ”

ลั่วเซิงตื่นตระหนก มององค์หญิงฉางเล่อเงียบๆ

“เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าจะไม่แต่งงานเหมือนกับข้า มีชีวิตยืนยาวนาน สง่าผ่าเผยอย่างไรเล่า” องค์หญิงฉางเล่อมองไปทางโซ่วเซียนเหนียงเหนียง พลางเอ่ยอย่างสงบและเป็นธรรมชาติว่า “มีเพียงนับถือโซ่วเซียนเหนียงเหนียงถึงจะสามารถมีชีวิตยืนยาวได้”

เด็กสาวตรงหน้าสีหน้าท่าทางสบายๆ น้ำเสียงอ่อนหวาน แต่ลั่วเซิงกลับรู้สึกหนาวเหน็บจากก้นบึ้งหัวใจ ตัวสั่นระริก

นางเดินมาจนถึงวันนี้ได้ ไม่ได้อาศัยเพียงแค่การวางแผนละเอียดรัดกุม แต่ยังมีสัญชาตญาณที่ไม่ชัดเจนนั่นด้วย

และตอนนี้สัญชาตญาณก็บอกนางว่า องค์หญิงฉางเล่ออันตรายอยู่บ้าง

ตอนนี้เองสาวใช้ก็เข้ามารายงาน “องค์หญิง ใต้เท้าหลินของกรมยุติธรรมมาขอเข้าพบเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อมองกลับไป แววตาเย็นชา “ใต้เท้าหลินหรือ”

สาวใช้ยืนอธิบายอยู่ข้างนอกประตู “ใต้เท้าหลินรับผิดชอบสืบเรื่องการหายตัวไปของท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องเพคะ ขอเข้าพบพระองค์เพราะอยากจะถามเรื่องบางอย่าง”

องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะแผ่วเบา “มีความกล้าจริงๆ นึกขึ้นได้ว่า เช้าวันนี้มีคนในวังมาเอ่ยแล้ว”

สาวใช้รอเงียบๆ

“อาเซิง เจ้าว่า ข้าจะพบเขาดีไหม” องค์หญิงฉางเล่อพลันถามลั่วเซิง

ลั่วเซิงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ขององค์หญิงฉางเล่อจึงเอ่ยยิ้มๆ “องค์หญิงอยากพบก็พบ ไม่อยากพบก็ไม่ต้องพบเพคะ”

“ยังคงเป็นอาเซิงที่กล่าวได้ดี” องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะขึ้นมา ถามสาวใช้ว่า “ใต้เท้าหลินผู้นั้นหน้าตาเป็นเช่นไร”

สาวใช้ตอบอย่างไร้ความตื่นตะลึง “ไม่เลวเพคะ”

“ไม่เลวหรือ…เช่นนั้นข้าจะพบเขาแล้วกัน” องค์หญิงฉางเล่อเบนสายตาไปทางลั่วเซิง “อาเซิง ใต้เท้าหลินมาหาข้า จะว่าไปแล้วก็เพราะเจ้านะ”

วาจานี้หมายถึงเรื่องที่เฟยหยางตกจากรถม้าเมื่อวาน

ไม่รอให้ลั่วเซิงเอ่ยอันใด องค์หญิงฉางเล่อก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว “อาเซิง เจ้าไปรอข้าที่ห้องนอนเถอะ ข้าไปพบใต้เท้าหลินผู้นั้นแล้วจะกลับมา”

“หม่อมฉันกราบไหว้โซ่วเซียนเหนียงเหนียงที่นี่แล้วกันเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อชะงักฝีเท้า หมุนตัวกลับมามองลั่วเซิง

ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “หม่อมฉันตั้งใจจะเป็นเหมือนพระองค์เพคะ หลังจากนี้จะนับถือโซ่วเซียนเหนียงเหนียง”

องค์หญิงฉางเล่อแววตาไหววูบ แย้มริมฝีปากยิ้ม “ก็ดี เช่นนั้นเจ้ากราบไหว้ก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาในเร็วๆ นี้”

องค์หญิงฉางเล่อเร่งฝีเท้าออกจากประตู บานประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องสงบเงียบมาก มีเพียงกลิ่นธูปที่ไหลเวียนและรอยยิ้มอ่อนโยนของโซ่วเซียนเหนียงเหนียงอยู่เป็นเพื่อนลั่วเซิง

กลิ่นธูปที่ลอยแตะจมูกนั้นเข้มข้นมาก ลั่วเซิงสูดลมหายใจลึก

เสด็จแม่ก็เป็นคนที่นับถือเทพเซียนเช่นกัน กลิ่นหอมเช่นนี้ นางคุ้นเคยยิ่ง

ธูปที่ใช้สักการะเทพเซียนต้องมีความเป็นธรรมชาติและสะอาด แต่กลิ่นธูปที่ลอยอยู่เต็มห้องกลับมีกลิ่นประหลาดปะปนอยู่เล็กน้อย

การใช้ธูปสกปรกนั้นเป็นข้อห้าม ธูปของจวนองค์หญิงล้วนเป็นสิ่งที่เชื้อพระวงศ์ใช้กัน ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

เช่นนั้นเกิดจากสาเหตุอะไรกันล่ะ

ลั่วเซิงเดินไปทางโซ่วเซียนเหนียงเหนียงทีละก้าวๆ

โซ่วเซียนเหนียงเหนียงจ้องเด็กสาวที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม อ่อนโยนและมีเมตตา

[1] โซ่วเซียนเหนียงเหนียง หรือเทพธิดาหม่ากู เป็นเทพธิดาของศาสนาเต๋าที่ผู้คนต่างบูชาในเรื่องของความมีอายุยืนยาว และข้างกายมักมีสัตว์มงคลเช่น กวางดาว นกกระเรียนเทพอยู่เสมอ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท