ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 602 การดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 602 การดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง

“อ้อ เข้าเวรดึกหรอกเหรอ”

ได้ยินพ่อถังพูดอย่างนั้น เซี่ยไห่จึงไม่ไปรบกวนถังจวิ้นเฟิง แต่พับกระดาษเงินเป็นเพื่อนพ่อถังต่อไป ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันดีมาก คนหนึ่งพับ อีกคนก็ติดกาว ทำไปได้ราวหนึ่งชั่วโมง เซี่ยไห่ก็เริ่มชำนาญมากขึ้น พับได้เร็วกว่าเดิม

พ่อถังเห็นเซี่ยไห่พับกระดาษได้คล่องแคล่วแบบนั้นก็เอ่ยชมเชยจากใจจริง “คนหนุ่มสาวนี่มือไม้คล่องแคล่วดีจริง ๆ กระดาษที่เธอพับออกมาได้ อาคงต้องใช้เวลาติดกาวครึ่งวันเลยทีเดียว”

“คุณอา การพับกระดาษเงินช่วยคลายเครียดได้ดีจริง ๆ ต่อไปผมขอมาช่วยคุณอาพับนะครับ”

พ่อของถังจวิ้นเฟิงหัวเราะ “เจ้าของกิจการใหญ่โตอย่างเธอมาช่วยอาพับกระดาษเงินแบบนี้ คงไม่ได้ค่าจ้างสักเท่าไหร่หรอก”

ทั้งสองคนคุยกันไป พับกระดาษเงินไป ถังจวิ้นเฟิงตื่นนอนแล้วเดินออกมาจากห้อง ได้ยินเสียงเซี่ยไห่จากในห้องของผู้เป็นพ่อ เขาจึงเดินเข้าไปดูก็เห็นเซี่ยไห่กับพ่อของเขากำลังนั่งพับกระดาษเงินอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก

“เหล่าเซี่ย นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ถังจวิ้นเฟิงเพิ่งตื่นนอน ใบหน้าจึงบวมเล็กน้อย เขาถามพลางหาววอด

“มาได้สักพักแล้ว ช่วยคุณอาพับกระดาษเงินได้เป็นกองเลยเนี่ย”

พ่อของถังจวิ้นเฟิงมองลูกชายพลางเอ่ยเสียงเย็นชา “แกดูสิ เถ้าแก่น้อยอย่างเซี่ยไห่ยังรู้จักมาช่วยฉันทำงาน แกกลับมารังเกียจว่าฉันทำให้ตัวเองขายหน้าเสียอย่างนั้น”

ถังจวิ้นเฟิงอธิบาย “พ่อ ผมไม่ได้บอกว่าพ่อทำแบบนี้แล้วน่าขายหน้าเสียหน่อย ผมแค่พูดว่าของพวกนี้เป็นความเชื่องมงายจากยุคศักดินา พ่อไม่ควรนำเข้ามาในบ้าน”

เซี่ยไห่พับกระดาษเงิน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของถังจวิ้นเฟิง “จวิ้นเฟิง นายน่ะคิดมากเกินไปแล้ว คุณอาพับกระดาษเงิน แต่ไม่ได้เอามาเผาในบ้านสักหน่อย จะนับเป็นความเชื่องมงายจากยุคศักดินาได้ยังไง? คนบางคนหลีกเลี่ยงของพวกนี้เพราะความเชื่องมงาย ไม่ยอมให้เอาเข้าบ้านเพราะกลัวว่าจะไม่เป็นมงคล ฉันว่าที่นายไม่ให้คุณอาเอาเข้าบ้านต่างหากเป็นความเชื่องมงาย”

ความคิดอันหลุดกรอบของเซี่ยไห่ทำเอาถังจวิ้นเฟิงโต้แย้งไม่ออก

พ่อของถังจวิ้นเฟิงรีบคล้อยตามคำพูดของเซี่ยไห่ทันที “ใช่ ฉันว่าแกนั่นแหละที่งมงาย”

“ได้ ๆๆ ต่อไปผมจะไม่สนใจพ่อแล้ว อยากทำอะไรก็ตามใจเลย”

ขณะที่พูด เขาเห็นเส้นผมสีขาวเต็มศีรษะของผู้เป็นพ่อแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

พ่อของเขาก็เคยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนกัน

พ่อของเขาคัดค้านเรื่องโชคลางความเชื่องมงายยิ่งกว่าใคร แต่เพราะความจำเป็นในการหาเลี้ยงชีพ จึงต้องยอมทำเรื่องเหล่านี้

พ่อของถังจวิ้นเฟิงจะไม่รู้ความคิดของลูกชายได้อย่างไร เขารู้ว่าเซี่ยไห่มาหาลูกชายจะต้องมีธุระเป็นแน่

เพราะได้เซี่ยไห่ช่วย วันนี้เขาจึงเสร็จงานเร็วกว่าปกติ เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เอาละ หนุ่ม ๆ อย่างพวกเธอมีอะไรจะคุยกันก็ไปคุยกันเถอะ ฉันทำงานของวันนี้เสร็จแล้ว”

เซี่ยไห่ช่วยพับอีกชิ้นหนึ่ง เสร็จแล้วก็ลุกขึ้น

พ่อของถังจวิ้นเฟิงตระเตรียมเก็บของ

เขาพูดกับเซี่ยไห่ว่า “เสี่ยวเซี่ย อยู่กินข้าวด้วยกันเถอะ ฉันจะออกไปซื้อกับข้าว”

เซี่ยไห่ปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม “คุณอา ไม่เป็นไรครับ ผมมีเรื่องต้องให้จวิ้นเฟิงช่วย เดี๋ยวพวกเราไปกินข้างนอกกันเอาเองดีกว่า”

ถังจวิ้นเฟิงล้างหน้าเสร็จก็เดินตามเซี่ยไห่ออกมา ก่อนขึ้นรถเซี่ยไห่แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยล่ะ?”

เซี่ยไห่มีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “กินข้าวกับฉันก่อนค่อยบอก”

เขาพาถังจวิ้นเฟิงไปร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้วสั่งอาหารหลายอย่าง

ถังจวิ้นเฟิงมองท่าทางเขาแล้วก็ถามด้วยความฉงน “แค่พวกเราสองคน?”

ถังจวิ้นเฟิงเห็นดังนั้นก็สงสัยกว่าเดิม ชักจะรู้สึกระแวงขึ้นมา “อยู่ดี ๆ ก็มาชวนฉันออกมากินข้าวกันสองคนแบบนี้มีเรื่องอะไรกันแน่? นายบอกมาก่อน แล้วฉันค่อยตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่กินข้าวมื้อนี้ดี?”

เซี่ยไห่กลอกตาใส่แล้วก็หัวเราะ “กิน ๆ ไปเถอะน่า ไม่ได้จะให้นายช่วยเรื่องอะไรหรอก ไม่ได้จะให้ทำอะไรที่ผิดหลักการด้วย แค่คุยกันเฉย ๆ จะระแวงอะไรนักหนา”

เป็นตำรวจตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง กลับรอบคอบระมัดระวังตัวอยู่ทุกวัน กลัวว่าเพื่อนจะให้ทำอะไรที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม

“อ้อ” เมื่อเซี่ยไห่ยืนยันอย่างนั้น ถังจวิ้นเฟิงจึงค่อยวางใจได้ เขาจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง

เซี่ยไห่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ จงใจแหงนหน้าให้ริมฝีปากของตัวเองหันไปทางถังจวิ้นเฟิง

ถังจวิ้นเฟิงเห็นอย่างนั้นก็ออกปากอย่างรังเกียจ “มายู่ปากใส่ฉันทำไม? นายเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันงั้นเหรอ?”

เซี่ยไห่ “!!!”

ถังจวิ้นเฟิงพูดไปอย่างนั้น แต่ก็สังเกตเห็นว่าเซี่ยไห่ปากแตก “ปากนายไปโดนอะไรมา? เป็นร้อนใน? มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ?”

เซี่ยไห่เห็นว่าในที่สุดเพื่อนรักก็สังเกตเห็นว่าตัวเองปากแตกเสียที จึงคลี่ยิ้มอย่างพอใจแล้วทำเป็นขัดเขิน “เป็นร้อนในอะไร? ลองดูดี ๆ สิว่านี่คือรอยอะไร?”

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้

พร้อมกันนั้นยังแสดงรอยข่วนที่หลังมือให้ดูอีกต่างหาก

“ถูกคนอัดมา?” ถังจวิ้นเฟิงถาม

เซี่ยไห่กลอกตาอีกครั้ง

เขาเห็นถังจวิ้นเฟิงตอบสนองช้าแบบนี้ก็รู้ว่าเพื่อนรักคงยังไม่สละโสดแน่นอน ไม่มีความคืบหน้ากับไล่เสี่ยวอวิ๋น ไม่อย่างนั้นอายุปูนนี้แล้วคงไม่ถามคำถามเฉิ่มๆ แบบนี้ออกมาแน่นอน

“ถูกพี่สะใภ้ของนายกัดเอาน่ะสิ?” เซี่ยไห่แตะริมฝีปากอย่างหวานเลี่ยนแล้วทำทียิ้มเขิน

“พี่สะใภ้? กัด?” ถังจวิ้นเฟิงได้ยินคำเรียกนั้นแล้วใบหน้าก็แข็งทื่อไปชั่วขณะอย่างไม่เข้าใจ

พี่สะใภ้ที่เขานึกออกคนแรกก็คือหลินเซี่ย

แต่หลินเซี่ยเป็นหลานสาวของเซี่ยไห่…

ตัดออกไปได้เลย

ยังมีพี่สะใภ้คนไหนได้อีก?

เซี่ยไห่เห็นท่าทางงง ๆ ของเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจแน่นอน

เขาล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ

ทำไมถึงไม่รู้ใจกันบ้างเลยนะ?

เขาโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?

“แฟนของฉัน พี่สะใภ้ของนายน่ะสิ! เข้าใจไหม?” เซี่ยไห่มองเขาตาขวางพลางเอ่ยเสียงห้วน

ถังจวิ้นเฟิงได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกมึนงงกว่าเดิม “แฟนของนาย? คนแบบนายก็มีแฟนกับเขาด้วย?”

เซี่ยไห่ถูกคำพูดของเขาทำร้ายจิตใจเข้าเต็มเปา ตบโต๊ะเสียงดัง “ฉันมันคนยังไงเหรอ?”

“นายอย่าเพิ่งเคือง ฉันแค่หมายความว่า นายบอกว่าชีวิตนี้จะไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ? นายเป็นพวกไม่อยากแต่งงานนี่ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมีแฟนได้ล่ะ? ไม่มีวี่แววเลยสักนิด ฉันก็เลยแปลกใจน่ะสิ”

พอได้ยินคำอธิบายของถังจวิ้นเฟิง สีหน้าของเซี่ยไห่ค่อยดีขึ้นบ้าง จากนั้นจึงนั่งลงตามเดิม

ถังจวิ้นเฟิงถามด้วยความอยากรู้ “ใครเหรอ? ฉันรู้จักไหม? สวยหรือเปล่า?”

“ต้องสวยอยู่แล้วสิ แฟนของฉันจะไม่สวยได้ยังไง?”

เซี่ยไห่มีสีหน้าลึกลับ บอกเบาะแสให้เขา “นายรู้จัก รู้จักกันมานานแล้วด้วย”

“รู้จัก?” ถังจวิ้นเฟิงเกาหัวอีกครั้ง ภาพใบหน้าของคนรู้จักหลายคนแวบเข้ามาในหัว

หาในหัวหนึ่งตลบ สุดท้ายก็ล็อกเป้าหมายได้แล้ว

เขามีสีหน้าหวาดหวั่น ถามหยั่งเชิงว่า “นายคงไม่ได้คบกับพี่สาวคนนั้นของฉันหรอกนะ?”

ถังจวิ้นเฟิงเพิ่งได้ยินข่าวคราวของถังหลิงเมื่อไม่นานมานี้

หลังจากหล่อนเอาทรัพย์สินไปคืนสามีเก่า สามีเก่าของหล่อนก็ไปหาหมอเย่ รับยา แล้วทั้งครอบครัวก็กลับไปอยู่ที่เมืองหนานเฉิง

ถังหลิงหางานทำหลายที่แต่ก็ไปไม่รอด ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟที่โรงแรมได้ไม่นานก็ถูกไล่ออก หลายวันก่อนเพิ่งกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อ ดูแล้วชีวิตน่าจะลำบาก ไม่เหลือเค้าอิ่มเอิบแบบเมื่อก่อนแม้แต่น้อย

แต่พ่อของเขาบอกว่าถังหลิงยังไม่ยอมแพ้ เวลาหล่อนคุยกับพ่อก็จะพูดประมาณว่า อยากให้พ่อช่วยแนะนำชายหนุ่มฐานะดีให้

พ่อของเขายังบ่นให้เขาฟังอยู่เลยว่า หลานสาวคนนี้ทะเยอทะยานเกินตัว แต่ใจกลับบางเสียยิ่งกว่ากระดาษ จะต้องสะดุดล้มเข้าสักวัน กำชับให้ถังจวิ้นเฟิงอยู่ห่างจากหล่อนเอาไว้

เซี่ยไห่ได้ยินถังจวิ้นเฟิงพูดก็นึกโมโห

นี่มันดูหมิ่นกันชัด ๆ

เป็นการดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง

“นายอยากตายเรอะ?” เซี่ยไห่ไม่พูดพร่ำกับเขา ไล่แขกในทันที “ไสหัวไป มื้อนี้นายไม่ต้องกินแล้ว”

เห็นเซี่ยไห่โมโหขนาดนี้ ถังจวิ้นเฟิงจึงตระหนักว่าตัวเองคงเดาผิด เขารู้สึกโล่งอกอย่างมาก

ขอแค่ไม่ใช่ถังหลิงก็พอ

เมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจนิสัยใจคอของถังหลิง ยังเคยคิดจะจับคู่หล่อนกับเซี่ยไห่ด้วยซ้ำ พอมานึกในตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริง ๆ

เขารีบอธิบายว่า “นายอย่าเข้าใจผิด ฉันถามเพราะกลัวนายจะไปติดพันกับหล่อนเท่านั้น ฉันเป็นห่วงนาย ถ้านายคบกับหล่อนจริง ๆ ฉันจะต้องขัดขวางเต็มที่ ดีแล้วที่นายไม่ได้ตาบอด”

เพื่อจะหาสามีรวย ๆ สักคน ถังหลิงล้วนไม่เลือกวิธีการ จนถังจวิ้นเฟิงกลัวจริง ๆ ว่าเซี่ยไห่จะถูกหลอกเอาได้

ถังจวิ้นเฟิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาถามอย่างอยากรู้ “รีบบอกฉันเร็วเข้าว่าพี่สะใภ้เป็นใครมาจากไหน ฉันอยากรู้ใจจะขาดแล้ว”

เซี่ยไห่ไม่หยอกเขาเล่นอีก อารมณ์อยากให้ลุ้นอยากให้เดาก็หมดลงแล้ว เขาตอบกลับไปตามตรง “คุณลินดา เป็นผู้จัดการของพี่สาวฉันเอง”

“คุณลินดา?” ถังจวิ้นเฟิงคิดอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าคุณลินดาเป็นใคร

สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นแปลกชอบกล

แต่คราวนี้เขาฉลาดพอที่จะไม่ทำให้เซี่ยไห่โมโหอีกแล้ว

“คุณลินดาเป็นคนมีความสามารถขนาดนั้น เหล่าเซี่ย นายมีรสนิยมเป็นเอกลักษณ์เอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย? นายคุมหล่อนได้เหรอ? ฉันว่าหล่อนดูเหมือนจะเก่งกาจมากทีเดียว” ถังจวิ้นเฟิงพูดอย่างอ้อมค้อม

ฝ่ายนั้นคือหญิงแกร่งที่เด็ดขาดเฉียบแหลม ดูแล้วน่าจะเข้ากันได้ลำบาก

เซี่ยไห่มีท่าทางภูมิใจ “หล่อนเก่งกาจแค่ตอนทำงานเท่านั้นแหละ แต่ตอนอยู่ต่อหน้าฉัน หล่อนคือผู้หญิงอ่อนโยนคนหนึ่ง ฉันบอกนายก็ได้ว่าหล่อนแอบชอบฉันมาตั้งหลายปีแล้ว”

“จริงเหรอ?” ถังจวิ้นเฟิงไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดนี้สักเท่าใด

ผู้หญิงอ่อนโยนอะไรกัน แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเซี่ยไห่กำลังโม้อยู่ต่างหาก?

ผู้หญิงอ่อนโยนที่ไหนจะกัดปากคนจนเป็นแผลแบบนี้

ถังจวิ้นเฟิงไม่เข้าใจรสนิยมของเซี่ยไห่เลยสักนิด คว้าคนแบบลินดามาเป็นแฟน เขาเป็นพวกชอบทรมานตัวเองรึไง?

ปากกับหลังมือล้วนเป็นแผล แต่ก็ยังยิ้มหวานอยู่ได้

“ถังจวิ้นเฟิง นายคงยังไม่รู้สินะ หลินจินซานสารภาพรักกับชุนฟางเมื่อคืนนี้ เจิ้งอวี่ด้วยอีกคน ช่วงนี้ดูเหมือนจะฉลาดขึ้นแล้ว ตามจีบเสี่ยวเยี่ยนอย่างไม่ลดละ ฉันว่าอีกไม่นาน เขาก็คงจะสารภาพรักกับเสี่ยวเยี่ยนแล้วเหมือนกัน”

ถังจวิ้นเฟิงหัวเราะ “จริงเหรอเนี่ย? ไม่เจอกันไม่กี่วัน ทำไมความสัมพันธ์ของทุกคนถึงได้พัฒนาไปเร็วอย่างนี้? จะรีบหาแฟนกลับไปฉลองปีใหม่กับที่บ้านกันหมดเลยเหรอ?”

“ใช่แล้ว ไปไวกันทั้งนั้น”

หลังจากที่อาหารมาเสิร์ฟ ทั้งสองก็คุยไปกินไป เซี่ยไห่มองถังจวิ้นเฟิงแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “ตอนนี้เหลือแค่นายแล้ว นายกับไล่เสี่ยวอวิ๋นตกลงยังไงกันแน่? ตอนนี้หล่อนเป็นยังไงบ้าง? ถ้าไปกันไม่ได้ก็แล้วไปเถอะ จะให้นายตัดขาดกับพวกเราเพื่อคบแฟนก็ยังไงอยู่นะ?”

“ถ้าฉันตัดขาดกับพวกนายเพื่อหล่อนจริง ๆ ล่ะ?” ถังจวิ้นเฟิงเคี้ยวอาหารมองมาที่เขา พลางพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ

คำพูดของเขาทำให้เซี่ยไห่นิ่งอึ้งไป แต่สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ยิ้มบางพูดว่า “ก็ได้นะ ถ้านายรู้สึกว่ามันคุ้มค่า”

การที่ถังจวิ้นเฟิงถามคำถามนี้ออกมา ต่อให้เซี่ยไห่จะเสียใจอยู่บ้าง แต่ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขาก็เคารพการตัดสินใจของถังจวิ้นเฟิง

ในฐานะเพื่อน ถ้าถังจวิ้นเฟิงต้องการเช่นนั้น การก้าวออกมาจากชีวิตของเพื่อนก็เป็นการสนับสนุนรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท