ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 269 เจ้าหื่นกาม จับที่ไหนของข้ากัน!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 269 เจ้าหื่นกาม จับที่ไหนของข้ากัน!

ทางเดินด้านซ้ายยาวมาก แต่ละคนเดินไปด้วยฝีเท้าที่เบามาก พวกเขาระแวดระวังมองผนังทั้งสองด้านที่ว่างเปล่า กลัวว่าหากพลั้งเผลอแม้แต่น้อย จะมีปีศาจโผล่ออกมาจู่โจมอย่างกะทันหัน

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในวิหารบูชาปีศาจ หากไม่เคร่งเครียดคงเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้นแหละ!

แต่ไม่ว่าผู้บำเพ็ญจะระมัดระวังอย่างไร จำนวนคนในแถวก็ยังค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง พวกเขาราวกับหายตัวไปในพริบตา โดยไม่มีเสียงใด ๆ ดังขึ้นเลย แม้แต่เงาของสิ่งที่ลักพาตัวพวกเขาไปก็ไม่เห็น!

ห้าสิบกว่าคน เดินไปได้เพียงหนึ่งในสามของเส้นทาง คนก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว

เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผากของผู้บำเพ็ญเป็นจำนวนมาก พวกเขาแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ยังไม่กล้า กลัวว่าจะไปกวนสิ่งน่ากลัวที่ต้องการจะลงมือกับพวกเขาในที่มืด

โม่จวินเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน เขามองไปยังผนังที่ว่างเปล่าราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ท่านพบอะไรหรือ?”

ติงหลิวหลิ่วกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว สายตาที่มองผนังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง หรือว่าที่แท้แล้วบนผนังนี้มีปีศาจอยู่จริง ๆ แต่ด้วยตาเปล่าของพวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน?

ครั้งนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่มองไม่เห็นตัวงั้นหรือ?

โม่จวินเจ๋อส่ายหน้าเงียบ ๆ ทุกครั้งที่มีคนหายตัวไป เขาจะรู้สึกถึงกลิ่นแปลก ๆ ได้ แต่ถึงแม้เขาจะหันไปมองทางนั้นอย่างรวดเร็ว กลับไม่เห็นอะไรเลย

“ที่นี่มันที่อะไรกันแน่?” ผู้บำเพ็ญถามเสียงสั่น

ชาตินี้ของเขาไม่เคยทำอะไรผิดบาปมหันต์ แล้วทำไมต้องมาทรมานจิตใจที่อ่อนแอของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย?

อย่างน้อยฝูงสัตว์อสูรยังมองเห็นได้ แล้วที่นี่ล่ะ!

ได้แต่ยืนมองคนข้างกายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่จะช่วยยังไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร!

“อ๊าก! แค่รู้จักเล่นกลลวง ถ้ามีฝีมือก็ออกมาเผชิญหน้ากับข้าตรง ๆ สิวะ!”

ผู้บำเพ็ญที่ต้องจ้องมองดูเพื่อนร่วมทางของตนเองหายตัวไปต่อหน้าต่อตา ระบายความโกรธใส่ผนัง ทุบมันครั้งแล้วครั้งเล่า หมัดดูเหมือนจะไม่พอ เขาหยิบยันต์ระเบิดขั้นกลางออกมาจุดระเบิดอย่างบ้าคลั่ง

เสียงระเบิดดังสนั่นต่อเนื่องกัน ควันฟุ้งกระจาย เมื่อควันจางหายไป ผนังยังคงสมบูรณ์ไร้ริ้วรอย แต่ผู้บำเพ็ญผู้บ้าคลั่งนั่นกลับหายตัวไป พร้อมกับผู้บำเพ็ญอีกห้าคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุด

จำนวนคนในทีมลดลงเหลือเพียงสิบสองคนครึ่ง

ทั้งสิบสองคน “…”

หลิงเยว่ที่ไม่อาจนับว่าเป็นคนที่สมบูรณ์ยังสลบเหมือนเดิม

เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดฉวยโอกาสแย่งตัวหลิงเยว่ไป โม่จวินเจ๋อหยิบเชือกสีทองเส้นบางออกมาผูกข้อมือของทั้งสองคนเข้าด้วยกัน

ติงหลิวหลิ่วยื่นมือออกมาอย่างไร้ซึ่งความเข้าใจ นางก็ต้องการถูกมัดเช่นกัน!

แต่โม่จวินเจ๋อเลือกที่จะเมินเฉย นางที่ยังคงกระฉับกระเฉงอยู่ จะเอาไปเปรียบเทียบกับหลิงเยว่ที่เหลือลมหายใจเพียงเฮือกเดียว มั้งยังใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อได้อย่างไร?

ดังนั้น ติงหลิวหลิ่วจึงโกรธจนหายตัวไปกลางอากาศ โม่จวินเจ๋อถึงแม้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ก็ยังคว้าตัวนางไม่ทัน

เขา “…”

ผู้บำเพ็ญที่เห็นติงหลิวหลิ่วหายตัวไปอย่างชัดเจน ต่างมีสีหน้าเรียบเฉย พวกเขารู้ดีว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับการหายตัวไป เป็นเพียงแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น

“ศิษย์พี่ ขอให้พวกเราได้พบกันอีกในชาติหน้าเถิด!”

ผู้บำเพ็ญที่สติแตกกอดศิษย์น้องตัวน้อยข้างกายไว้แน่น เพื่อกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้าย

“ศิษย์น้อง อย่ากลัวเลย บางทีคนที่หายตัวไปอาจถูกส่งออกจากวิหารเสินโม่ และกำลังเดินทางกลับบ้านอยู่ก็ได้นะ!”

ผู้บำเพ็ญที่พูดประโยคนี้ออกมาตาแดงก่ำ แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เชื่อคำพูดของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับเชื่อเสียอย่างนั้น

นางพยายามยิ้มและพยักหน้าอย่างมั่นใจ “อืม!”

ในช่วงเวลาที่ทั้งสองกำลังจะกอดลากันนั้น ร่างของพวกเขาก็หายวับไปพร้อมกัน รวมถึงผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณที่กำลังร้องไห้โฮนั้นด้วย

สมาชิกทั้งหมดจึงเหลืออีกห้าคน

ในระเบียงด้านซ้ายเหลืออย่างน้อยห้าคน ส่วนระเบียงด้านขวาที่มีสี่คนนั้น เหลือเพียงผู่ตาน

ผู่ตานยังคงสับสนอยู่ เดิมทีมีสี่คน ทำไมสุดท้ายถึงเหลือเพียงข้าคนเดียว?

อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาไม่ได้คลุ้มคลั่ง ไม่ได้ปาลูกไฟไปมั่ว และไม่ได้เลือกที่จะหันหลังกลับ แต่กลับเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง บางทีศิษย์พี่และคนอื่น ๆ อาจไม่ได้ตาย แต่แค่หายตัวไป อาจถูกวิหารเสินโม่เลือกและพาตัวไป

โม่จวินเจ๋อก็คิดแบบเดียวกัน

ปลายระเบียงอยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่มีประตูหิน มีเพียงทางตัน จากห้าคนเหลือเพียงสองคน โม่จวินเจ๋อขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อว่าที่นี่จะไม่มีทางไป จึงยื่นมือออกไปสัมผัสและเคาะไปมา หวังจะหากลไกที่ซ่อนอยู่

เมื่อเขาสัมผัสถึงความขรุขระของผนังก็มีเสียงดังแปะ มือถูกตีออก

“เจ้าหื่นกาม เจ้าจับที่ไหนของข้ากัน!”

น้ำเสียงหยาบกระด้างขนาดนั้น แต่ยังจงใจพูดให้เหมือนผู้หญิงอีก มุมปากของโม่จวินเจ๋อกระตุก

ผนังตรงหน้าเริ่มบิดเบี้ยว มีชายชราตัวเล็กที่สูงยังไม่ถึงขาของโม่จวินเจ๋อ ลอยอยู่ในอากาศ จ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง

ทั้งสองมองกันอยู่นาน ในที่สุดโม่จวินเจ๋อก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ท่านผู้เฒ่า ข้าจะไปห้องโอสถได้อย่างไรหรือ?”

หากยังรอช้าต่อไป ลมหายใจของหลิงเยว่ที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายคงจะขาดลงแล้ว

“ห้องโอสถมีเพียงผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นจึงจะเข้าได้!”

อีกแล้วเหรอ!

ใบหน้าของโม่จวินเจ๋อพลันเย็นชาลง บรรยากาศรอบกายเขาแข็งเป็นน้ำแข็งในพริบตา เขาบีบคอคนแก่ตัวเล็กตรงหน้า ทวนซ้ำทีละคำ “ห้องโอสถอยู่ที่ไหน?”

คนแก่ตัวเล็กที่ถูกบีบคอดิ้นรนสุดแรง ยิ่งโม่จวินเจ๋อออกแรงมากเท่าไร ใบหน้าของเขายิ่งแดงก่ำ แต่ก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อ “ถ้าท่านมีฝีมือก็เชิญบีบคอข้าให้ตายเลย ยังไงก็มีสาวน้อยข้างหลังท่านไปเป็นเพื่อนข้าอยู่ดี!”

คำขู่ไม่ได้ผล มือของโม่จวินเจ๋อค่อย ๆ บีบแน่นขึ้นทีละนิด ดูท่าทางเขาตั้งใจจะบีบคออีกฝ่ายให้ตายจริง ๆ

เสียงแกร๊กดังขึ้น กระดูกคอของอีกฝ่ายหักไปแล้ว หัวของคนแก่ตัวเล็กเอียงไปข้างหนึ่ง

โม่จวินเจ๋อโยนศพของคนแก่ตัวเล็กทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเรียกกระบี่เหมันต์เร้นลับออกมา ลมหนาวนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วซึมซาบเข้าไปในตัวกระบี่ ตัวกระบี่สีขาวโพลนขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่า

ในขณะที่กระบี่กำลังจะกระแทกพื้น คนแก่ตัวเล็กก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาที่เดิม

“หยุดก่อน หยุดก่อน!”

โม่จวินเจ๋อมองเขาอย่างเรียบเฉย พลางยกกระบี่สูงขึ้น

“ข้าจะพาท่านไปห้องโอสถ!”

กระบี่เหมันต์เร้นลับพลันหยุดลง

บนกำแพงปรากฏบันไดทอดยาวไปจนถึงชั้นบนสุด

“เจ้าพวกคนรุ่นหลังใจร้อนกันจริง! ข้าแค่บอกว่าท่านกับการสืบทอดโอสถไม่มีวาสนาต่อกัน แต่ไม่ได้บอกว่าสาวน้อยที่ท่านแบกมาไม่มีวาสนา แล้วยังบิดคอคนแก่อีก โหดร้ายชะมัด! โหดร้ายขนาดนี้ต่อไปต้องหาคู่บำเพ็ญไม่ได้แน่ ๆ!”

คนแก่ตัวเล็กบ่นงึมงำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การนำทางของเขาล่าช้าลงเลย

“หึ! ต่อให้หาคู่บำเพ็ญเจอแล้ว สุดท้ายนางก็ต้องหนีไปกับคนอื่น ไม่ต้องการท่านแน่นอน!”

โม่จวินเจ๋อฟังแล้วสงบราวกับน้ำนิ่ง ขณะฟังประโยคที่สองก็มองคนตรงหน้าเล็กน้อยอย่างเรียบเฉย

“อยากตายเป็นครั้งที่สองหรือ?”

ชายชราตกใจสะดุ้ง ลูบคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่พอนึกได้ว่าตนเป็นผีอยู่แล้วจึงไม่หวาดกลัวอีก

“นี่! เด็กน้อย สาวน้อยคนนั้นเป็นคู่หมั้นของเจ้าหรือ?”

เขาถามจบก็ปฏิเสธความคิดตัวเอง แล้วถามต่อด้วยรอยยิ้มว่า “กลัวว่าจะเป็นรักข้างเดียวสินะ? ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่บอกว่านางหนีไปกับคนอื่นแล้วเจ้าถึงได้มีท่าทางรุนแรงขนาดนั้น”

“บอกแล้วไง ทำตัวอย่าโหดร้ายเกินไป อย่าทำหน้าเย็นชาตลอดเวลา ผู้หญิงชอบคนที่เข้าใจผู้อื่น อ่อนโยนเอาใจใส่ ส่วนแบบเจ้านี่…”

ชายชราส่ายหัวแล้วถอนหายใจ

โม่จวินเจ๋อ ‘เหอะ!’

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท