ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 604 ความทะเยอทะยานอันเต็มเปี่ยม

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 604 ความทะเยอทะยานอันเต็มเปี่ยม

เฉินเจียเหอรับโทรศัพท์

“เจียเหอ ฉันมีบางอย่างต้องบอกนาย”

“อารอง เรื่องอะไรเหรอ?”

“ช่วงนี้ห้ามไปหาจวิ้นเฟิงเด็ดขาดเลยนะ” เซี่ยไห่ตอบกลับ

เมื่อเขาพูดจบ เฉินเจียเหอจึงมั่นใจมากขึ้นกับคำตอบที่ฝังอยู่ในใจ “เขาคบกับไล่เสี่ยวอวิ๋นจริง ๆ เหรอ?”

เซี่ยไห่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะได้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาพยักหน้าและตอบ “ใช่ ลือกันว่าไล่เสี่ยวอวิ๋นยอมเปิดใจและเผชิญหน้ากับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น ทางเราเลยต้องระวังตัวด้วย ทุกอย่างมันมีเหตุผล และเราเองก็ไม่ควรเข้าไปในชีวิตหล่อนตอนนี้ โดยเฉพาะนาย เพราะนายมีส่วนร่วมตอนไปที่หมู่บ้านนั้นเพื่อช่วยเหลือไล่เสี่ยวอวิ๋น และหล่อนน่าจะจำนายได้ เลยสรุปว่านายอย่าเพิ่งปรากฏตัวต่อหน้าหล่อนจะดีกว่า ผู้หญิงคนนั้นคงไม่อยากเจอใครที่รู้อดีตของตัวเองแน่นอน แล้วหล่อนจะต้องรู้สึกอับอายมากถ้าพบนายเข้า”

“เข้าใจแล้ว” เฉินเจียเหอตอบกลับ

เซี่ยไห่ถอนหายใจ “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว นายเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้กอบกู้ผู้หญิงคนนี้เลยนะ ตอนคนที่บ้านเกิดฉันโทรมาเล่าว่าครอบครัวเอ้อร์เลิ่งซื้อลูกสะใภ้เข้าบ้าน นายเป็นคนแรกเลยที่ให้เบาะแสนี้กับหน่วยของถังจวิ้นเฟิง แล้วพาพวกเขาบุกไปช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกลักพาตัว นายมีส่วนอย่างมากในการช่วยเหลือไล่เสี่ยวอวิ๋นและงานนี้ก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดี ถ้าเกิดนายเห็นแก่ตัวและแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ปล่อยให้เอ้อร์เลิ่งบังคับไล่เสี่ยวอวิ๋นมาเป็นภรรยา ตอนนี้ไล่เสี่ยวอวิ๋นอาจ…”

เฉินเจียเหอขัดจังหวะเขาทันที

“ก็ดีแล้วไง ไล่เสี่ยวอวิ๋นหลุดพ้นจากความทุกข์นั่นแล้ว เอ้อร์เลิ่งเองก็ฟื้นคืนสติกลับมาแล้วด้วย จวิ้นเฟิงก็หลุดพ้นจากการเป็นชายโสดสักที ทุกอย่างไปได้สวย”

เพื่อความสุขของเพื่อนพี่น้อง เขาสามารถเลือกที่จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าไล่เสี่ยวอวิ๋น และไม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อน

พริบตาเดียว พรุ่งนี้ก็เป็นวันแรกของการลงทะเบียนสมัครเข้าชั้นเรียนเสริมสวยแล้ว

หยางหงเสียได้รับลงทะเบียนผู้สนใจไปแล้วสิบแปดคน หลินเซี่ยอธิบายว่าช่วงลงทะเบียนในวันพรุ่งนี้ เธอจะปล่อยให้หลินเยี่ยนอยู่ดูแลความเรียบร้อยภายในร้านตามลำพัง และให้หยางหงเสียนำรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดเดินตามไปยังห้องในอาคารสำนักงานที่เช่าไว้

หลังจากเช่าห้องนี้เอาไว้แล้ว หลินเซี่ยลงมือจัดแจงสถานที่ทันที ซึ่งจัดโต๊ะและเก้าอี้ที่จำเป็นให้เรียบร้อย

นอกจากนี้เธอยังหาคนติดตั้งคอมพิวเตอร์ให้ด้วย และยังลงทุนด้วยเงินบางส่วนที่เก็บไว้ใช้ไปกับคอมพิวเตอร์เหล่านั้น

แม้หยางหงเสียจะเข้าโรงเรียนมัธยมและได้รับการศึกษา แต่ก็ยังไม่เข้าใจหลักการใช้งานของคอมพิวเตอร์จริง ๆ

พรุ่งนี้เป็นวันแรกของการลงทะเบียน เพื่อให้คลาสอบรมเสริมสวยดูเป็นทางการมากขึ้น หลินเซี่ยจึงโทรหาเฉินเจียวั่งและหลินจินซานซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ และขอให้พวกเขาเข้ามาช่วยอีกแรง

ไม่อย่างนั้นลำพังแค่เธอกับหยางหงเสียจะดูไม่น่าเชื่อถือมากนัก

เฉินเจียวั่งกำลังพักร้อนกับช่วงปิดเทอมฤดูหนาวของมหาวิทยาลัย เมื่อเร็ว ๆ นี้เขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากเอามาก ทันทีที่กลับถึงบ้าน ชายชรากลับกดดันถามเขาถึงความคืบหน้าระหว่างเขากับเจียงอวี่เฟย และขอยังให้เขาชวนเจียงอวี่เฟยมารับประทานมื้อเย็นที่บ้านอีกด้วย

ในตอนเย็น เฉินเจียวั่งได้รับโทรศัพท์จากหลินเซี่ย เธอขอให้เขามาช่วยงานที่อาคารสำนักงานในวันพรุ่งนี้ เฉินเจียวั่งจึงตอบตกลงทันที

ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงต่างประหลาดใจเหมือนกัน เมื่อได้ยินเฉินเจียวั่งบอกว่าเขาจะไปช่วยงานพี่สะใภ้และพี่สะใภ้รองวันพรุ่งนี้

“แล้วพวกหล่อนจะมาที่คลาสอบรมด้วยหรือเปล่า?”

เฉินเจียวั่งตอบว่า “ใช่ครับ พรุ่งนี้จะมีเปิดลงทะเบียนวันแรก พวกพี่สะใภ้เลยขอให้ผมไปช่วย”

หยางหงเสียซึ่งกำลังล้างจานในครัวก็เดินออกมา และบอกว่ามีผู้สนใจลงทะเบียนไปเกือบยี่สิบคน โดยคลาสอบรมนี้จะเริ่มหลังปีใหม่ ผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ เองต่างรู้สึกประทับใจกับหลินเซี่ยยิ่งขึ้นไปอีกทันที

“หงเสีย อยู่ทำงานกับสะใภ้ใหญ่ต่อไปน่ะดีแล้ว ฉันคิดว่าร้านเสริมสวยที่พวกเธอสองคนทำอยู่ต้องมีอนาคตที่สดใสมากแน่ ๆ”

สังคมปัจจุบันแตกต่างออกไป ต่างจากเมื่อก่อนมาก ทางเดียวที่จะมีอนาคตได้คือทำงานในโรงงานหรือสถาบันของรัฐ ปัจจุบันนิยมจะเน้นไปทำธุรกิจในต่างประเทศ คนเก่งอย่างหลินเซี่ยเองอาจจะประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวได้จริง ตราบเท่าที่เธอไปในทิศทางที่ถูกต้อง

หยางหงเสียพูดขึ้นว่า “คุณปู่ ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดค่ะ”

เฉินเจียซิ่งบ่นพึมพำอยู่ข้าง ๆ ว่า “ทำไมพี่สะใภ้ไม่ชวนผมไปช่วยบ้างล่ะ? ผมเองก็ช่วยได้เหมือนกัน”

เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินว่าหลินเซี่ยกำลังจะเปิดคลาสอบรมเสริมสวย เขาก็กระตือรือร้นที่จะช่วยเธอเหมือนกัน แต่ใจจริงเขาอยากจะเดินตามรอยเธอมากกว่า แต่เขาไม่มีทักษะหรือความสามารถในการบริหารจัดการอะไรเลย แถมยังไม่เป็นที่ต้องการด้วย

เฉินเจิ้นเจียงหันมาขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “แกไปทำในส่วนของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ จะไปร่วมวงด้วยทำไม?”

เฉินเจียซิ่งไม่ต้องการจะไปทำงานงก ๆ ต่อไปแล้ว เขาต้องการลาออกและทำตามแบบอย่างคนอื่นในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากกว่า แต่เฉินเจิ้นเจียงบอกว่าเฉินเจียซิ่งไม่ใช่คนที่จะทำแบบนั้นได้เลย และยืนกรานปฏิเสธที่จะให้เขาลาออก

เช้าวันรุ่งขึ้น หยางหงเสียและเฉินเจียวั่งเดินทางไปยังสำนักงานด้วยกัน เมื่อพวกเขามาถึง หลินเซี่ยเองก็เพิ่งมาถึงพร้อมกับหลินจินซาน

ภายในห้องสำนักงานที่เช่าไว้เรียบร้อยดีแล้ว ส่วนคอมพิวเตอร์ก็พร้อมใช้งาน หลินเซี่ยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และตรวจความพร้อม ขณะที่หลินจินซานดูหลินเซี่ยนั่งกดคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“พวกเธอมากันแล้วเหรอ?” หยางหงเสียแต่งตัวอย่างเป็นทางการเช่นกัน แม้จะอากาศหนาว แต่หล่อนยังคงสวมกระโปรงใต้เสื้อคลุม ปลายผมรวบขึ้นสูงกำลังดี และยังแต่งหน้าเล็กน้อยด้วย โดยรวมแล้วดูสวยไม่น้อยเลย

เฉินเจียวั่งถามขึ้น “พี่สะใภ้ จะจัดแจงงานยังไงบ้าง?”

หลินเซี่ยอธิบายว่า “พี่ชายฉันมีหน้าที่ต้อนรับและเดินพาคนเข้ามา ส่วนนายแค่นั่งตรงนั้นและทำหน้าที่เป็นพนักงาน อย่าปล่อยให้คนอื่นเห็นว่าหน้าห้องไม่มีใครอยู่”

“ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องเรียนพร้อมโต๊ะเก้าอี้ เราได้ซื้ออุปกรณ์เสริมสวยและทำผมมาหมดแล้ว สามารถแนะนำรายละเอียดเกี่ยวกับคลาสอบรมของเราได้ หรือจะแนะนำหลังผู้สนใจลงทะเบียนเสร็จแล้วก็ได้ ถ้าคนไหนอยากไปดูร้านของเราก็ไม่เป็นอะไร ยังไงก็ตาม เราทั้งสี่คนวันนี้จะต้องกระตือรือร้นและสวมความเป็นมืออาชีพให้มากหน่อย”

พอพูดจบ ก็มีคนขึ้นมายังชั้นบนเพื่อถามเรื่องการลงทะเบียนแต่เช้า

หลินจินซานรีบไปต้อนรับผู้สนใจทันที หลินเซี่ยต้อนรับต่อจากเขา จากนั้นจึงเริ่มแนะนำคลาสอบรมโดยละเอียด

เสิ่นอวี้อิ๋งฉวยโอกาสแบล็กเมล์โกงเงินมาอีกสองพันหยวนจากครอบครัวหลิวจื้อหมิง และยังโกหกว่าตนจะอุ้มลูกออกจากไห่เฉิงไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น เพื่อเห็นแก่ความสุขของลูกชายหล่อน แม่ของหลิวจื้อหมิงจึงเชื่อคำพูดของหล่อนและจัดการเอกสารทุกอย่าง ส่วนหลิวลี่ลี่ต้องจำใจส่งเงินที่มีให้กับเสิ่นอวี้อิ๋งไป และขอให้เสิ่นอวี้อิ๋งเขียนสัญญาระบุว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของหลิวจื้อหมิงอีกต่อไป

เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งได้เงินมาแล้ว หล่อนก็ลงมือเซ็นสัญญาอย่างมีความสุข ขณะรับเงินไป สถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าที่เซี่ยหลานติดต่อไว้ก็ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์เช่นกัน

ในที่สุดเซี่ยหลานได้ใช้ความสัมพันธ์ของพ่อจัดการกับเรื่องนี้ และส่งเด็กไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในไห่เฉิง

เดิมทีเสิ่นอวี้อิ๋งต้องการส่งเด็กไปยังสถานที่อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ซ่อนอยู่ แต่เซี่ยหลานไม่เห็นด้วย บอกว่าหล่อนตกลงที่จะส่งเด็กไปยังสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้า และข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวคือเด็กจะต้องอยู่ใต้จมูกพวกเขา ต่อไปนี้เสิ่นอวี้อิ๋งจะต้องไปเยี่ยมลูกให้บ่อยขึ้น แม้จะอยู่ในรูปแบบของงานอาสาสมัครก็ตาม

เสิ่นอวี้อิ๋งไม่สามารถค้านเซี่ยหลานได้ และทำได้แค่เห็นด้วยเท่านั้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในที่สุดเด็กก็ถูก ‘อัปเปหิ’ ออกจากเงื้อมมือของหล่อนแล้วในที่สุด

ด้วยเงินจำนวนมากในมือเสิ่นอวี้อิ๋ง หล่อนจึงวิ่งแจ้นไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ตัวเองและทำผมใหม่ทันที ทั้งยังแต่งตัวให้สวยตระการตาเพื่อไปลงทะเบียนเข้าคลาสอบรมเสริมสวย

เซี่ยหลานเห็นว่าเสิ่นอวี้อิ๋งซื้อชุดสวย ๆ และปรับภาพลักษณ์ตัวเองจนใหม่เอี่ยม จึงเกิดความสับสนว่าหล่อนเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ

“พอดีปู่ให้ค่าขนมฉันมาค่ะ” สีหน้าของเสิ่นอวี้อิ๋งยังคงสงบและหัวใจมั่นคง “ปู่เห็นว่าชีวิตฉันยากลำบากนิดหน่อยเลยให้ค่าขนม และฉันเพิ่งเห็นในหนังสือพิมพ์ด้วยว่ามีคลาสอบรมงานฝีมือเปิดให้ลงทะเบียน ฉันคิดว่ามันค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย เลยจะสมัครเข้าอบรม แม่ ฉันมาคิดตามที่แม่พูดแล้วก็ถูก ฉันอายุมากเกินไปจริงๆ ถ้าได้เรียนรู้งานแบบนี้มากกว่าพึ่งพาพรสวรรค์ ฉันก็จะออกไปหาเงินได้หลังจบคลาสอบรมสามเดือน ในอนาคตฉันต้องพึ่งพาตัวเอง คงพึ่งพาแม่ตลอดไปไม่ได้หรอกค่ะ”

เสิ่นอวี้อิ๋งอ้างว่าผู้เฒ่าเสิ่นให้ค่าขนมหล่อน ซึ่งเซี่ยหลานเองก็เชื่อคำพูดนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นหลานสาวผู้เฒ่าเสิ่น ต่อให้หล่อนจะทำอะไรผิดก็ยังคงเป็นลูกหลานของตระกูลเสิ่นเสมอ

เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งบอกว่าหล่อนอยากเรียนรู้งานฝีมือ เซี่ยหลานก็สนับสนุนสิ่งนี้เช่นกัน

“แล้วงานด้านไหนที่ลูกสนใจล่ะ?” หล่อนถามกลับ

เสิ่นอวี้อิ๋งตอบกลับว่า “ฉันสนใจทักษะด้านความงามค่ะ ตอนนี้อุตสาหกรรมความงามกำลังได้รับความนิยม ถ้ามีฝีมือดีก็สามารถไปทำงานกองถ่ายเพื่อแต่งหน้าให้ดาราได้”

เมื่อเซี่ยหลานได้ฟังคำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋ง จึงนึกได้ว่าสิ่งลูกสาวสนใจนั้นมันเป็นอุตสาหกรรมเดียวกับหลินเซี่ย

เป็นเรื่องยากสำหรับเซี่ยหลานที่จะไม่สงสัยในจุดประสงค์ของเสิ่นอวี้อิ๋งในการเลือกงานด้านนี้

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นอวี้อิ๋งและหลินเซี่ยนั้นตึงเครียดมาก จนหล่อนเองไม่สามารถพูดอะไรมากเกี่ยวกับหัวข้อที่ละเอียดอ่อนนี้ได้

“แน่ใจเหรอว่าจะหางานแนวนี้ได้?” หล่อนถามเสิ่นอวี้อิ๋งอีกครั้ง

เสิ่นอวี้อิ๋งตอบว่า “แน่นอนค่ะ ตราบเท่าที่ฉันสะสมความรู้งานฝีมือด้านนี้ให้มากขึ้น จะหางานทำได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญแล้วจริงไหมคะ? ฉันอาจจะเปิดร้านเป็นของตัวเองก็ได้”

“แม่ แม่กลัวว่าฉันจะไปแข่งกับหลินเซี่ยเรื่องนี้เหรอ?”

เซี่ยหลานเองจงใจหลีกเลี่ยงชื่อของหลินเซี่ยต่อหน้าเสิ่นอวี้อิ๋ง เพียงเพราะกลัวว่าเสิ่นอวี้อิ๋งจะคิดว่าหล่อนสนิทกับลูกสาวบุญธรรมมากกว่า

โดยไม่คาดคิด เสิ่นอวี้อิ๋งกลับพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน

น้ำเสียงของเสิ่นอวี้อิ๋งค่อนข้างฟังดูรู้สึกเศร้าใจ เซี่ยหลานยกเปลือกตาขึ้นและพูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมืองใหญ่อย่างไห่เฉิง ลูกสองคนไม่ใช่คนเดียวที่ทำร้านเสริมสวย เว้นแต่ว่าต้องการเปิดร้านข้าง ๆ เพื่อแข่งขันกัน“

“ฉันไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นหรอกค่ะ แม่ งั้นฉันไปก่อนนะ”

เสิ่นอวี้อิ๋งจัดระเบียบตัวเองแล้วออกไปด้วยสีหน้ามีความสุข ดูแตกต่างจากผู้หญิงเลอะเทอะอารมณ์ร้ายเมื่อก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง

หล่อนออกไปแต่เช้าเพื่อรับเสิ่นเสี่ยวเหมยและถังหลิงจากบ้านตระกูลเสิ่น

เมื่อมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น ผู้เฒ่าเสิ่นกำลังนอนอยู่บนเตียงและตะโกนว่าหิว เนื่องจากเสิ่นเสี่ยวเหมยลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้า จึงไม่ได้ทำอาหารเช้าหรือออกไปซื้ออาหารข้างนอก

ยังดีที่เสิ่นอวี้อิ๋งซื้อนมถั่วเหลืองและปาท่องโก๋ติดมาด้วย จึงนำมาให้ผู้เฒ่าเสิ่น “คุณปู่ ฉันซื้ออาหารเช้ามาให้กินด้วยนะคะ”

“หลานสาวปู่เป็นเด็กดีจริง ๆ”

เห็นได้ว่าผู้เฒ่าเสิ่นเริ่มมองเสิ่นเสี่ยวเหมยเปลี่ยนไปแล้ว

“คุณลุง แต่หลานสาวคนนี้ไม่ได้ซื้ออาหารเช้ามาให้คุณลุงทุกเช้านะคะ คุณลุงคิดว่าหลานสาวคนนี้เป็นเด็กดีแล้วเหรอ? ถ้าอย่างนั้นให้หลานสาวคนนี้มาดูแลตั้งแต่นี้เป็นต้นไปดูสิ”

ก่อนที่ผู้เฒ่าเสิ่นจะตอบกลับ เสิ่นอวี้อิ๋งก็ชิงพูดตัดหน้าทันที “ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจะคอยดูแลคุณปู่เอง”

ถังหลิงที่อาศัยอยู่กับเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินการสนทนาระหว่างเสิ่นอวี้อิ๋งและเสิ่นเสี่ยวเหมย หล่อนจึงรีบดึงเสิ่นเสี่ยวเหมยออกไป

พลางมองคนโง่คนนั้นด้วยสีหน้าเกลียดชัง

ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่คอยดูแลผู้เฒ่าเสิ่น จะเกิดอะไรขึ้นกับคนในบ้านหลังนี้บ้าง?

จากนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง หล่อนรีบเปลี่ยนคำพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันแค่ล้อเล่น ฉันถูกคุณลุงเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตอนนี้ลุงก็แก่ตัวมากแล้ว ถึงเวลาที่ฉันจะดูแลและตอบแทนคุณลุงบ้างแล้ว จะให้อวี้อิ๋งมาทำแทนได้ยังไง ฉันจะดูแลคุณลุงเอง ไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันพิเศษ หลังฉันกลับมาจากสมัครคลาสอบรม จะซื้อของมาทำอาหารอร่อย ๆ ให้คุณลุงกินนะคะ”

ท้ายที่สุดแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้เฒ่าเสิ่นมานาน หล่อนบีบหลินเซี่ยออกไปได้ตอนที่หล่อนยังเด็ก จึงเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าตอนนี้จะสามารถบีบเสิ่นอวี้อิ๋งออกไปได้เช่นกัน

แน่นอนว่าเมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยพูดแบบนี้ สีหน้าของผู้เฒ่าเสิ่นก็อ่อนลงทันที เขากินปาท่องโก๋แล้วพูดว่า “ไปเรียนรู้ฝึกทักษะเพื่องานในอนาคตของตัวเองเถอะ คนแก่อย่างฉันมันไร้ประโยชน์ ไม่มีสิทธิ์จะมาบงการชีวิตหลาน ๆ กันอยู่แล้ว“

เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินสิ่งที่ผู้เฒ่าเสิ่นพูด เงาดำมืดก็แวบเข้ามาในดวงตาหล่อน

“เอาล่ะ ออกเดินทางกันเถอะ” ถังหลิงพูดกับผู้เฒ่าเสิ่นว่า “ลุงเสิ่น ขอตัวออกไปก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวพวกเราจะกลับมาเตรียมอาหารอร่อย ๆ ในตอนเที่ยงให้”

จากนั้นทั้งสามก็ออกไป ขึ้นรถประทำทางไปยังจุดหมายปลายทางตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในประกาศ โดยมีเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นคนนำ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท