ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 478 นายใหม่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 478 นายใหม่

ลุงซิ่งยื่นมือไปจับป้ายอาญาสิทธิ์

มือขาวเนียนที่วางข้างๆ ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยปิดป้ายไว้ ลั่วเซิงน้ำเสียงเย็นชาลง “ลุงซิ่งคิดจะรวมป้ายอาญาสิทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันหรือ”

การรวมป้ายอาญาสิทธิ์เป็นหนึ่งเป็นข้อห้ามใหญ่ ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งองครักษ์จูเชวี่ยก็มีกฎเหล็กว่าผู้บัญชาการองค์รักษ์จูเชวี่ยสามารถถือครองป้ายอาญาสิทธิ์เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ลุงซิ่งเองก็คิดถึงเรื่องนี้ เขาชักมืกลับมา สายตาที่มองลั่วเซิงลึกซึ้งกว่าเดิม “คุณหนูลั่ว ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าขาดการติดต่อกับคนที่ถือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยนานแล้วมิใช่หรือ เหตุใดป้ายอาญาสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งจึงอยู่กับเจ้า”

ลั่วเซิงถือป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ในมือ มองดวงตาของลุงซิ่ง “ครานั้นข้าได้ยินบทสนทนาของลุงซิ่งกับท่านจู ลุงซิ่งบอกว่ารู้จักป้ายไม่รู้จักคน ผู้ใดถือครองป้ายอาญาสิทธิ์ครึ่งหนึ่งนี้ก็คือเจ้าของขององครักษ์จูเชวี่ย ข้าคงได้ยินไม่ผิด”

ลุงซิ่งเม้มปากแน่นแล้วพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว”

ใช่ว่าเขาจะไม่สงสัยว่าหยางจุ่นอยู่ที่ไหน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเสียใจที่ต้องยอมรับเด็กสาวคนหนึ่งเป็นเจ้านาย แต่กฎก็คือกฎ การไม่ปฏิบัติตามกฎคือการดูหมิ่นจวนเจิ้นหนานอ๋อง

ลั่วเซิงหลุบตาลงมองป้ายอาญาสิทธิ์ครึ่งนั้น

จูเชวี่ยที่กางปีกดูเปี่ยมพลังชีวิตราวกับสามารถบินทะยานขึ้นฟ้าได้ทุกเมื่อ

ภายในห้องที่เงียบงัน เสียงสงบนิ่งของเด็กสาวดังขึ้น “เมื่อถึงเวลาเหมาะสมข้าจะบอกลุงซิ่งเองว่าข้าได้ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยมาได้อย่างไร ข้ารับรองกับท่านได้ว่า ข้าไม่ได้ทำร้ายอดีตผู้ถือครองป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ย”

ลุงซิ่งได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร

ลั่วเซิงไม่ได้สนใจ นางถามด้วยความสงบว่า “ตอนนี้ข้าอยากรู้เรื่องเมื่อคืนว่าเกี่ยวข้องกับองครักษ์จูเชวี่ยหรือไม่”

ในเมื่อคำตอบชัดเจนแล้ว แต่นางยังคงอยากได้ยินคำตอบจากปากของลุงซิ่ง

ลุงซิ่งเงียบครู่หนึ่ง พยักหน้ายอมรับว่า “ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำเอง”

มือที่ถือป้ายอาญาสิทธิ์ของลั่วเซิงกำแน่น สัมผัสได้ถึงความเย็นและแข็งของป้ายอาญาสิทธิ์

น้ำเสียงของนางเยือกเย็นเล็กน้อย “ลุงซิ่งทำเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเหล่าซื่อจื่อที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านไม่เคยคิดหรือว่าเมื่อโลกตกอยู่ในความโกลาหล ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากคือประชาชน”

ลุงซิ่งชะงัก สายตาที่มองลั่วเซิงเจือความตะลึง

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของบุตรสาวของผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลุงซิ่งก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “โลกตกอยู่ในความโกลาหลอยู่แล้ว ข้าก็แค่ช่วยผลักดันอีกทีเท่านั้น”

ติ้งตงอ๋องก่อกบฏ ความสงบสุขที่ว่าย่อมหายไป จักรพรรดิหย่งอันใช้เหล่าซื่อจื่อเป็นตัวประกัน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการยืดเวลาให้เหล่าอ๋องตัดสินใจก่อกบฏ

เหล่าอ๋องที่เลือกที่จะมองดูเฉยๆ สักวันก็ต้องเข้ามาเกี่ยว นอกจากว่าไคหยางอ๋องสามารถสยบความวุ่นวายได้ในระยะเวลาอันสั้น

แต่ถึงอย่างไรไคหยางอ๋องก็มิใช่เทพเจ้า

การนำทัพจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกต้องเสียเวลาไม่น้อย ทั้งคนและม้าเหน็ดเหนื่อย ไม่คุ้นชินกับลักษณะภูมิประเทศและอากาศ อีกทั้งทหารส่วนใหญ่ที่พาไปล้วนถูกเรียกรวมตัวอย่างเร่งรีบ ไม่ใช่ทหารที่ถูกฝึกมาจนช่ำชอง จะง่ายเหมือนตอนที่ไปสู้รบที่ทางเหนือได้อย่างไร

เมื่อสงครามระหว่างไคหยางอ๋องและติ้งตงอ๋องมาถึงทางตัน บุตรชายที่ถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวงก็ไม่สามารถหยุดยั้งความทะเยอทะยานของเหล่าอ๋องในการครองอำนาจในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายได้

“ก่อนที่จะได้เจอป้ายอาญาสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งนี้ ข้าก็แค่ต้องการระบายความโกรธแทนอดีตเจ้านายเท่านั้น” ลุงซิ่งพูดอย่างสงบ ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด

เขาไม่คาดหวังให้เด็กสาวตรงหน้าเห็นด้วย

จุดยืนทั้งสองต่างกัน เขาย่อมไม่ละอายแก่ใจตนเอง

ลั่วเซิงเงียบ

นางไม่เห็นด้วยกับวิธีการของลุงซิ่ง แต่ก็เข้าใจว่าลุงซิ่งทำเพื่อจวนเจิ้นหนานอ๋อง

ด้วยเหตุนี้ นางยิ่งต้องเก็บองครักษ์จูเชวี่ยไว้ในมือ เพื่อป้องกันไม่ให้องครักษ์จูเชวี่ยซึ่งมีไว้เพื่อปกป้องจวนเจิ้นหนานอ๋องตกอยู่ในหายนะ

ลั่วเซิงลูบป้ายอาญาสิทธิ์ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าไม่มีสิทธิ์ซักไซ้ไล่เลียง แต่ต่อจากนี้ข้าหวังว่าองครักษ์จูเชวี่ยจะฟังข้าเพียงผู้เดียว”

ลุงซิ่งพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “แน่นอน”

ลุงซิ่งถลึงตามองจูอู่

จูอู่เม้มปากแน่น กล้ำกลืนความอยุติธรรมลงไป

“ตอนนี้องครักษ์จูเชวี่ยมีจำนวนคนเท่าไร” ลั่วเซิงถาม

ท่านพ่อบอกนางแค่ว่าองครักษ์จูเชวี่ยมีทั้งหมดหกร้อยนาย เมื่อเกิดการสูญเสียก็จะทดแทนเข้ามาใหม่ เพื่อรักษาจำนวนนี้ไว้

“สามร้อยหกสิบแปดคน”

“น้อยเช่นนี้เลยหรือ” ลั่วเซิงเผยสีหน้าตกใจ

แน่นอนว่าสีหน้านี้แสดงให้ลุงซิ่งดู

ลุงซิ่งยิ้ม “ท่านคิดว่าองครักษ์จูเชวี่ยมีหลายพันนายหรือ”

ทุกคนในองครักษ์จูเชวี่ยเป็นทหารม้าที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญการโจมตี มันไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนคนๆหนึ่งได้

หลายปีมานี้องครักษ์จูเชวี่ยที่อายุมากแล้วส่วนหนึ่งทยอยกันเกษียณ เขาทำได้เพียงเลือกรับเด็กหนุ่มที่เชื่อถือได้และผ่านการฝึกฝนแล้วเข้ามา แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เปิดเผยตัวตนไม่ได้ อีกทั้งเงินทองมีจำกัด ความเร็วในการรับคนย่อมช้ากว่าการสูญเสียคนมาก

จนถึงตอนนี้มีองครักษ์จูเชวี่ยสามร้อยหกสิบแปดนายถือว่าพยายามเต็มที่แล้ว

แน่นอนว่า เดิมควรจะมีสามร้อยแปดสิบสามนาย…

เมื่อคิดถึงองครักษ์จูเชวี่ยที่สูญเสียไปเมื่อคืน ดวงตาของลุงซิ่งก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เมื่อคิดได้ว่าต่อไปสตรีตรงหน้าจะเป็นเจ้านายคนใหม่ขององครักษ์จูเชวี่ย ลุงซิ่งก็อธิบายว่า “จำนวนสมาชิกเดิมคือหกร้อยคน เพียงแต่ว่าบางคนอายุมากแล้วเกษียณตัวเอง บ้างก็เกิดอุบัติเหตุ และการฝึกฝนคนใหม่นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังต้องใช้เงินจำนวนมาก…”

“เงิน?” ลั่วเซิงพูดต่อ “เงินน่ะข้ามีมากถมไป”

ลุงซิ่ง “…” จู่ๆ ก็พบจุดเด่นของเจ้านายคนใหม่

ลั่วเซิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ลุงซิ่งเล่าเรื่องเหล่านี้ให้นางฟังได้ แสดงว่าเขายังคงเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยที่ผ่านเกณฑ์คนนั้น

กฎรู้จักป้ายไม่รู้จักคนเป็นของตาย คนกลับดิ้นได้ จู่ๆ คนที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่น้อยที่ครอบครองป้ายอาญาสิทธิ์มาคอยชี้นิ้วสั่ง ไม่ว่าผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยสมัยไหนล้วนผ่านการคัดเลือกอันเข้มงวด และไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับอย่างเต็มใจ

ใจคนเปลี่ยนง่ายตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

“องครักษ์จูเชวี่ยที่ลาออกเนื่องจากสภาพร่างกายถดถอย ให้พวกเขาอยู่อย่างไร”

“กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หาเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรและล่าสัตว์”

เงินที่ได้มายังต้องเลี้ยงองครักษ์จูเชวี่ยที่ฝึกซ้อมทุกวัน…

ทันทีที่ลุงซิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็คิดถึงความทุกข์ยากในวันที่ขาดแคลนเงิน

คนยากไร้ไม่อาจเรียนศิลปะการต่อสู้ได้ หากไม่ใช่เพราะจนมากจริงๆ เขาคงไม่ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งกับเรื่องที่จูอู่ก่อตั้งกลุ่มนักฆ่าอะไรนั่นในเมืองหลวงหรอก

“องครักษ์จูเชวี่ยซ่อนตัวที่ไหน” ลั่วเซิงถามขึ้นอีก

ลุงซิ่งเงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เหอหยาง”

เหอหยางอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงและทางเหนือของเมืองหนานหยาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนเจิ้นหนานอ๋อง หากเร่งเดินทาง สามารถเดินทางถึงเมืองหลวงได้ภายในสามวัน

ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะวานให้ท่านจูไปทำธุระที่ทางใต้พอดี ระหว่างทางผ่านเมืองหนานหยางแวะนำเงินทองจำนวนหนึ่งไปให้องครักษ์จูเชวี่ยด้วย”

จูอู่ที่หน้านิ่งมาตลอด เมื่อได้ยินคำว่า ‘เงินทอง’ สองคำนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลง เขากำหมัดประสานมือกล่าวว่า “ท่านเรียกข้าว่าจูอู่ก็พอ”

“โค่วเอ๋อร์…” ลั่วเซิงเรียก

โค่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่นอกห้องเดินเข้ามา “คุณหนูมีคำสั่งอะไรหรือ”

“เจ้าไปถามผู้ดูแลที่หอสุราดูว่ามีเงินสดเท่าไร เอามาที่นี่ให้หมด”

สายตาของโค่วเอ๋อร์เหลือบมองผ่านลุงซิ่งและจูอู่ ก่อนจะขานตอบและถอยออกไป

หอสุราอยู่ไม่ไกล โค่วเอ๋อร์ออกไปไม่นานก็ถึงแล้ว

“เถ้าแก่ถามว่ามีเงินสดเท่าไรหรือ”

“ใช่แล้ว ผู้ดูแลรีบนับเถอะ คุณหนูกำลังรอ” โค่วเอ๋อร์พูดพลางลอบส่ายศีรษะ

ทั้งสองล้วนเป็นชายที่ไม่อาจเลี้ยงไว้ได้กลับต้องใช้เงินคุณหนูมากมายเช่นนี้ จุ๊ๆ ผู้ชายเดี๋ยวนี้นี่ไม่ได้เรื่องเลย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้ดูแลหญิงก็ยังคงนับอยู่

โค่วเอ๋อร์อดเร่งไม่ได้ “เสร็จหรือยัง”

ผู้ดูแลหญิงกำลังนับตั๋วเงิน พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นว่า “รอสักครู่”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท