ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 499 ผิดพลาด

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 499 ผิดพลาด

เมื่อไม่มีคุณชายสามเซิ่ง ลั่วเฉิน เสี่ยวชีและชายมีหนวด มีหอสุราก็เงียบเหงาลงในทันใด

ในห้องโถงที่สว่างสดใส หงโต้วกินเมล็ดแตงโมพลางถอนหายใจ “ไม่มีคุณชายหลานนอกแล้วเงียบเหงาจริงๆ”

“นั่นน่ะสิ จู่ๆ ก็ไม่ได้เจอคนที่ได้เจอกันทุกวัน รู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย” โค่วเอ๋อร์กล่าวเสริม

สือเยี่ยนกลอกตาเงียบๆ

พี่หญิงสองคนนี้เมื่อก่อนเจอนายท่านของเขาทุกวัน เหตุใดเมื่อนายท่านจากเมืองหลวงไปแล้วกลับไม่เคยได้ยินพวกนางพูดเช่นนี้บ้าง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สือเยี่ยนก็ถอนหายใจ คิดไม่ถึงเลยว่าสถานะของนายท่านจะสู้คุณชายสามเซิ่งไม่ได้ เข้าสังคมไม่เก่งเลยจริงๆ

ครานี้เองเสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้น “คุณหนูลั่วอยู่หรือไม่”

เนื่องจากวันนี้อากาศดี ประตูใหญ่ของหอสุราจึงเปิดกว้าง พวกเขาหันมองไปตามเสียงก็เห็นคุณหนูรองหวังยืนอยู่หน้าประตูอย่างโดดเดี่ยว ดูแล้วโทรมลงมาก

หงโต้วคายเปลือกเมล็ดแตงโมออกมาแล้วลุกขึ้นไปต้อนรับ “คุณหนูรองหวังเองหรือ คุณหนูของเราอยู่ เข้ามาเถอะเจ้าค่ะ”

โค่วเอ๋อร์เดินไปรายงานด้านหลัง

พวกเขารู้เรื่องที่คุณหนูใหญ่หวังหายตัวไปดี ย่อมเห็นอกเห็นใจคุณหนูรองหวัง

เมื่อได้ยินว่าคุณหนูรองหวังมา ลั่วเซิงก็สั่งให้โค่วเอ๋อร์พานางไปยังเรือนหลัง

แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเรือนหลัง พุ่มไม้ตรงหัวมุมต้อนรับฤดูใบไม้ผลิเปล่งประกายสีทองอร่าม

หญิงสาวที่เดินตามโค่วเอ๋อร์มาเงียบๆ กลับซูบผอมและซีดเซียว ราวกับนางยังคงติดอยู่ในฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะ

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าลั่วเซิง คุณหนูรองหวังก็ก้มหน้าย่อเข่าให้เล็กน้อย “คุณหนูลั่ว ข้ามารบกวนอีกแล้ว”

ลั่วเซิงยื่นมือไปจับมือที่บอบบางและเย็นเล็กน้อยเอาไว้ “คุณหนูรองหวังนั่งก่อน”

เก้าอี้ม้าหินอ่อนที่เย็นยะเยือกถูกปูด้วยเบาะรองนั่งหนานุ่ม การนั่งในลานที่ปลอดโปร่งให้สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยและได้อาบแดดชวนให้รู้สึกสบายใจและเป็นอิสระ ทว่าคุณหนูรองหวังกลับหม่นหมอง แสงแดดและลมฤดูไม้ผลิล้วนไม่สามารถเข้าไปในใจของนางได้

ทันทีที่นางเอ่ยปาก ตาก็แดง “คุณหนูลั่ว มีข่าวพี่หญิงของข้าหรือยังเจ้าคะ”

นางตั้งตารอทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กลับไม่ได้รับคำตอบใดเลย

ทว่าท่านปู่และท่านย่าหารือกันไว้แล้วว่าอีกไม่นานก็จะออกเดินทางออกจากเมืองหลวง

นางคิดว่าท่านปู่และท่านย่ารักพี่หญิง ช่วงหลายวันนี้พวกเขาไม่ได้หยุดตามหาพี่หญิงเลย แต่สุดท้ายแล้วความรักนั่นก็ไม่เพียงพอ

สำหรับท่านปู่และท่านย่าแล้ว ท่านพี่เป็นเพียงหนึ่งในหลานสาวของพวกเขา แต่สำหรับนางแล้ว นั่นคือพี่น้องที่พึ่งพาอาศัยกันมาตลอดชีวิต ไม่อาจทดแทนกันได้

ความโศกเศร้าและความเจ็บปวดที่สะสมมาหลายวัน ทำให้นางปิดหน้าร้องไห้ต่อหน้าเด็กสาวที่ไม่ค่อยสนิทนัก

ลั่วเซิงตบหลังของคุณหนูรองหวังเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร

คุณหนูรองหวังร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งแล้วมองลั่วเซิงนิ่ง

ลั่วเซิงเองก็ไม่สบายใจ และไม่สามารถบอกความจริงแก่คุณหนูรองหวังได้

หรือจะให้นางบอกว่าท่านพี่ของเจ้าตายแล้ว ผู้ที่ฆ่าท่านพี่เจ้าคือท่านพ่อข้า ผู้ที่ต้องการให้ท่านพี่เจ้าตายก็คือฮ่องเต้?

จะเกลียดนางและโกรธแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นไม่ยาก แต่การโกรธเกลียดกษัตริย์ รังแต่จะทำให้เด็กสาวคนนี้สิ้นหวัง

ความคิดมากมายวกวนอยู่ภายในใจ แต่กลับทำได้เพียงโกหกด้วยความหวังดี

“ยังไม่มีข่าวของพี่หญิงเจ้า ฟังจากที่ใต้เท้าหลินพูด มีความเป็นไปได้สูงว่ามีผู้ค้ามนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว…”

“ผู้ค้ามนุษย์หรือ” คุณหนูรองหวังจับมือลั่วเซิง พูดปากสั่นว่า “คนเหล่านั้นจะทำอะไรท่านพี่ข้าหรือไม่ ท่านพี่ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่เจ้าคะ”

ลั่วเซิงปลอบประโลมด้วยการตบหลังมือของคุณหนูรองหวัง พูดเสียงขมขื่นว่า “ปกติแล้วพวกค้ามนุษย์ไม่ทำร้ายชีวิตคน”

คุณหนูรองหวังร้องไห้ จากนั้นก็หัวเราะ หัวเราะอย่างอนาถ “มีชีวิตอยู่ก็ดี ขอเพียงมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องดีแล้ว คุณหนูลั่ว หากใต้เท้าหลินมีข่าวท่านพี่แล้ว ท่านโปรดแจ้งข้าทันทีนะเจ้าคะ”

“คุณหนูรองหวังวางใจเถอะ”

คุณหนูรองหวังเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มพูดว่า “ขายหน้าคุณหนูลั่วแล้ว เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”

ลั่วเซิงส่งคุณหนูรองหวังไปหน้าประตูหอสุราอย่างเงียบๆ

บนถนนยังคงคับคั่งไปด้วยผู้คน มีนกกระจอกบ้านสองสามตัวกระโดดไปมาอยู่ตรงหน้าประตู

เมื่อใกล้ค่ำ หลินเถิงก็มายังหอสุรา

สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนักและจริงจังขึ้นเรื่อยๆ

“คุณชายใหญ่หลินมาเร็วจังเลยเจ้าค่ะ” หงโต้วกวาดตามองอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วลอบพยักหน้า

ในบรรดานายบำเรอของคุณหนูเหมือนกับว่ายังไม่มีบุรุษแบบคุณชายใหญ่หลิน

โค่วเอ๋อร์เองก็มองหลินเถิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ลอบเปรียบเทียบกับเว่ยหานเช่นกัน

ต่างมีดีไม่เหมือนกัน เลือกยากจริงๆ

หลินเถิงถูกสาวใช้สองคนมองจนทำตัวไม่ถูก แม้แต่อารมณ์ที่หนักอึ้งก็ลืมไปแล้ว เหลือเพียงความสงสัย หรือว่าเป็นเพราะครั้งที่แล้วที่พาสหายมาดื่มสุราแล้วจดบัญชีไว้ก่อน สาวใช้สองคนจึงดูแคลนเขาเพราะยังไม่จ่ายเงินคืน

ชายหนุ่มหน้าบาง ไม่เหมือนเสนาบดีจ้าวที่ติดค้างเงินอย่างเปิดเผย เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทำตัวไม่ถูก

โชคดีที่ครานี้ลั่วเซิงเอ่ยแก้สถานการณ์ให้ “ใต้เท้าหลินมาดื่มสุราหรือมาหาข้าเจ้าคะ”

หลินเถิงเงียบลงครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้ามาดื่มสุรา”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “หอสุรายังไม่เปิด หากใต้เท้าหลินจะดื่มสุรา… มิสู้ไปนั่งในลาน”

เวลาแบบนี้ สภาพแบบนี้ เกรงว่าคงไม่ได้ต้องการดื่มสุราเฉยๆ

หลินเถิงตอบตกลงแล้วเดินไปข้างหลังกับลั่วเซิง

สือเยี่ยนโยนผ้าเช็ดโต๊ะลงบนโต๊ะแล้วเดินตามไป ยังไม่ทันเดินไปถึงประตูที่เชื่อมไปยังลานด้านหลังก็ได้ยินเสียงถกเถียงของสาวใช้สองคนที่อยู่ด้านหลัง

ผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนคือโค่วเอ๋อร์ “เห็นหรือยัง คุณหนูไปดูต้นพลับกับคุณชายใหญ่หลินอีกแล้ว ข้าบอกแล้วว่าผู้ที่จะแต่งงานกับคุณหนูคือใต้เท้าหลิน”

“ในอดีตไคหยางอ๋องก็ดูต้นพลับกับคุณหนูเป็นประจำ”

“ก็ใช่ คิดๆ ไปแล้วก็เลือกยากเหมือนกัน คุณชายใหญ่หลินดี ไคหยางอ๋องก็ดีเหมือนกัน” โค่วเอ๋อร์พูดอย่างลำบากใจ

พี่หญิงสองคนนี้ปกติเฉลียวฉลาด เหตุใดเวลานี้กลับโง่เขลา นายท่านของพวกเขาดีกว่าหลินเถิงมากนัก อย่างอื่นขอไม่พูด อย่างน้อยเวลาดื่มสุราก็ไม่เคยจดบัญชี

ได้ยินหงโต้วพูดเสียงใสว่า “เลือกอะไรกัน หากชอบทั้งคู่ก็เลือกทั้งคู่ไปเลยสิ”

สือเยี่ยนหันขวับ เดินสาวเท้ากลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่หงโต้ว เรามาคุยกันหน่อย”

เขาต้องปรับทัศนคติของหงโต้วที่มีความคิดโลภมากเช่นนี้ นางจะได้ไม่ทำให้คุณหนูลั่วเสียคนไปด้วย

บนโต๊ะหินในลานเต็มไปด้วยขวดสุรา หลินเถิงดื่มจอกแล้วจอกเล่าไม่หยุด

“วันนี้คุณหนูรองหวังมา”

มือของหลินเถิงที่ถือจอกสุราไว้ชะงักลง หลังจากเงียบไปนานก็พูดขึ้นว่า “มีสตรีหายตัวไปอีกห้าคน”

เขามองเด็กสาวตรงหน้า อยากจะถามเหลือเกินว่าท่านพ่อของท่านจะหยุดได้หรือยัง

ทว่าแม้จะมีอาการกรึ่มก็ไม่สามารถถามออกมาได้ เพราะว่าพวกเขารู้ว่าใครคือเจ้าของที่ถือดาบสังหารคนผู้นั้น

“คุณหนูลั่วคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะจบเรื่องนี้ได้”

ในห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหย่งอันทอดพระเนตรข่าวดีจากทางทิศตะวันออกแล้วเผยรอยยิ้ม

ในบรรดาแม่ทัพที่ส่งออกไป ไคหยางอ๋องเป็นคนที่ทำให้พระองค์วางพระทัยมากที่สุด

ครานี้โจวซานเดินเข้า พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท ราชครูขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“เชิญเข้ามา”

ไม่นาน ไท่กวงเจินเหรินผู้มีผมสีเงินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเยือกเย็นและจริงจังเฉกเช่นผมสีขาวของเขา

หลังจากคารวะแล้ว ไท่กวงเจินเหรินพูดเสียงขรึมว่า “ฝ่าบาท คำทำนายก่อนหน้านี้ของกระหม่อมผิดพลาด”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท