ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 350 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-4

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 350 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-4

ครั้งเยาว์วัย เบื้องหน้ากระโจมค่ายที่เขาอาศัยอยู่มีแม่น้ำไหลผ่านหนึ่งสาย

ไหลคดเคี้ยวผ่านทุ่งหญ้า

ยามเช้าตรู่ ตอนเด็กๆ จิ้งเหยาจะตื่นแต่เช้า ปีนขึ้นไปบนที่สูงไม่ไกลจากกระโจมค่ายแล้วเหม่อมองออกไป

มองดูอาทิตย์สีแดงฉานจากทิศตะวันออกโผล่พ้นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตรงปลายทุ่งหญ้า

ท้องนภาสีฟ้าสดใสตัดกับแสงตะวันเจิดจ้าแสนงดงามเป็นฉากหลัง

แต่ไม่สูงลิบ

จิ้งเหยาเอนกายนอนบนพื้น

มองท้องนภา

รู้สึกราวกับว่าตนสามารถเอื้อมมือไปถึงมันได้

สีฟ้าและสีเขียวอันกว้างขวางบรรจบกันใต้ยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม

ดั่งหยกงามไร้ตำหนิกระเพื่อมอยู่กลางมหาสมุทร ทั้งยังมีแสงสีขาวระยิบระยับ

วสันต์ฤดูในทุ่งหญ้าไม่นับว่าเร็วนัก แต่มักจะยาวนานเสมอ

ตลอดจนถึงกลางคิมหันต์ฤดูก็ยังมองเห็นดอกไม้ป่าหลากสีกระจายอยู่ตามผืนดินสีเขียวอันกว้างใหญ่

หากทันช่วงฝนตกเมื่อวาน

จะมีกลิ่นหอมชื้นปนอยู่ในอากาศ

มันเป็นกลิ่นดินผสมกับดอกไม้ใบหญ้า

กระโจมค่ายสีขาวบริสุทธิ์กระจัดกระจายอยู่บนทุ่งหญ้า

ใต้แสงตะวันที่ค่อยๆ ลอยขึ้นส่องแสงเจิดจ้า

ยามนี้มารดาของเขาลุกขึ้นไปปล่อยวัว แกะ และม้าที่เลี้ยงไว้รอบบ้าน

แต่ผู้ที่คอยดูแลพวกมันเป็นหมาป่าตัวน้อย

มันเป็นยานพาหนะคู่ใจของจิ้งเหยาและเป็นคู่หูที่ภักดีที่สุดของเขา

เมื่ออยู่ใต้แสงแดด ขนของมันจะแวววาวเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะบนหูและช่วงลำคอดูเหมือนปลายขนทุกเส้นล้วนเปล่งประกายไปด้วยแสงวันใหม่

ลมกระโชกแรงพัดเอาเสียงเรียกของมารดาส่งไปยังหูของจิ้งเหยา

เขาวิ่งเหยาะๆ กระโจนลงมาจากที่สูง ผ่านฝูงสัตว์ เอื้อมมือไปลูบหมาป่าตัวน้อยของตนแล้วเดินเข้าไปในกระโจม

ครึ่งช่วงเช้าจะมีเสียงระฆังกังวานดังแว่วมาแต่ไกล

พวกพ่อค้าในทุ่งหญ้าขนสิ่งของเดินเลียบไปตามแม่น้ำและเร่ขายไปตามทาง

ผู้ที่เป็นหัวหน้าขี่หมาป่าสูงกำยำ ท่าทางที่แข็งแกร่งและกระฉับกระเฉงดูสง่างามเมื่อมีท้องฟ้าสีคราม ยอดเขาหิมะปกคลุมและหญ้าสีเขียวเป็นฉากหลัง

จิ้งเหยามองผู้ที่เป็นหัวหน้าควบหมาป่าใต้สะโพก เขามักจะกอดคอหมาป่าตัวน้อยของตนและกระซิบกระซาบอยู่ตลอด

ทำให้มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหมาป่าน่าเกรงขามเหมือนที่อยู่ใต้สะโพกของผู้นำ

แต่หมาป่าตัวน้อยของเขามักจะเยาะเย้ยคำพูดเหล่านี้ทุกครั้ง

หันศีรษะหนี สะบัดหางแล้วจากไป

นี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาโปรดที่สุดของจิ้งเหยาในแต่ละวันหรอกหรือ

เมื่อเทียบแสงแดดยามเช้าแสนสดใส เขาชอบแสงอาทิตย์อัสดงที่ลุ่มลึกมากกว่า

แสงอาทิตย์อัสดงทำให้ทุ่งหญ้าเรืองแสงสีแดงอ่อน

แม่น้ำคดเคี้ยวก็เช่นกัน

แม่น้ำสีแดงฉานไหลหลั่งดั่งไฟแผดเผา

มารดาบอกเขาว่านั่นเป็นโลหิตที่ไหลมาจากเหล่าบรรพบุรุษ

แม้ว่าพวกเขาจะล่วงลับไปแล้ว แต่ก็ยังจุติเป็นทุกสิ่งบนทุ่งหญ้าเลี้ยงดูพวกเราและปกป้องลูกหลานรุ่นหลังอย่างเงียบๆ

จิ้งเหยาเติบโตมาด้วยการดื่มน้ำจากแม่น้ำสายนี้

นั่นคือเหล่าบรรพบุรุษใช้โลหิตของตนหล่อเลี้ยงเขา

หากมีวันหนึ่งมีคนแปลกหน้าจากภายนอกต้องการขโมยอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้าเขียวขจีและแม่น้ำมีชีวิตนี้จะทำอย่างไร

ดังนั้นมารดาจึงมอบดาบหนึ่งเล่มให้จิ้งเหยาในปีที่เขาอายุครบสิบขวบ

ในยามนั้นดาบเล่มนั้นเทอะทะเกินไปสำหรับเขา…

ทว่านี่เป็นดาบที่บิดาของเขาทิ้งเอาไว้

คราบโลหิตแห้งกรังยังติดอยู่บนฝักดาบ

จนถึงทุกวันนี้จิ้งเหยาก็ไม่ได้เช็ดให้สะอาด

คราบโลหิตสามารถใช้น้ำสะอาดชะล้างออกได้หรือ

คราบโลหิตต้องชะล้างด้วยโลหิตสดๆ เท่านั้น

จิ้งเหยายามวัยเยาว์ถือดาบของบิดา มองเห็นเงาสะท้อนอาทิตย์อัสดงในแม่น้ำมีมากถึงสิบแปดดวง

มารดาชี้เงาสะท้อนของอาทิตย์อัสดงในแม่น้ำแล้วบอกเขาว่า ตอนที่บิดาของเขาเสียชีวิตในสนามรบ นอกจากบาดแผลจากดาบกระบี่ทั่วร่างแล้ว ยังถูกลูกธนูปักอีกสิบแปดดอกเต็มๆ

จิ้งเหยาชักดาบสงครามที่สูงเกือบจะเท่าตัวเขาออกมาด้วยความโกรธ ฟันภาพสะท้อนของอาทิตย์อัสดงบนแม่น้ำอย่างแรง

ทว่าไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่แย้มยิ้มออกมาของมารดา

เสียงลมสามารถพัดเสียงเรียกหาของมารดาได้ และสามารถพัดเสียงหายใจครั้งสุดท้ายของนางจากไปได้เช่นกัน

หลังจากมารดาสิ้นลม จิ้งเหยาก็ไม่ได้ทุกข์ระทมเสียใจ

ชาวทุ่งหญ้าสามารถเผชิญกับความตายอย่างสงบนิ่งมาแต่ไหนแต่ไร

เพราะในมุมมองของพวกเขา วิญญาณวีรบุรุษจะไม่มีวันดับสลาย

พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ในกองไฟหน้ากระโจมของชาวทุ่งหญ้า ในแม่น้ำที่รินไหลเงียบเชียบและในผืนดินทุกตารางนิ้ว

มารดาเขาจะต้องมองเห็นฉากที่บุตรชายของตนขี่หมาป่าต่อสู้ทุกทิศทาง

จิ้งเหยามองออกไปนอกประตูและเห็นเหยี่ยวบินโฉบอยู่บนท้องนภาอันมืดมิด

ระหว่างปีกของเหยี่ยวมีรอยยิ้มแสนสดใสของมารดา

เถ้าแก่ร้านเห็นจิ้งเหยาใจลอยจึงปิดปากเงียบและนั่งรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

“เป็นสถานที่ที่ดียิ่ง…”

จิ้งเหยากล่าวพึมพำ

“เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ นั่นละ! ทว่านับตั้งแต่กลุ่มโจรภูเขาขึ้นมาที่ยอดเขาหวนมอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…”

เถ้าแก่ร้านเอ่ยต่อตามคำพูดของจิ้งเหยา

จิ้งเหยาหัวเราะ

สถานที่ที่เขาบอกว่าดีคือบ้านเกิดของตนเองต่างหาก

แต่กลับทำให้เถ้าแก่ร้านเข้าใจผิดคิดว่าเขายกย่องเมืองเซี่ยถง

“โจรภูเขาหรือ เหตุใดทางการจึงไม่ส่งทหารมาล้อมปราบเล่า”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

แม้ว่าทุ่งหญ้าจะไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าอาณาจักรห้าอ๋อง

แต่โจรปิดถนนปล้นบ้านเมืองเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยยิ่งนัก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิ้งเหยาก็กวาดสายตามองชาวอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องในโถงใหญ่ทุกคนอย่างอวดดีไปหนหนึ่ง

ความภาคภูมิใจในหัวใจเกินจะบรรยาย

“แน่นอนว่าล้อมปราบแล้ว! แต่โจรภูเขากลุ่มนี้ว่ายน้ำเก่งยิ่งนัก…ยามที่ทหารทางการเจิ้นเป่ยอ๋องล้อมปราบ พวกเขานำเงินที่ปล้นมาลงไปซ่อนตัวในน้ำด้วย ไม่โผล่ขึ้นจากแม่น้ำนานหลายวันทีเดียว ทหารทางการคว้าน้ำเหลว ทำได้เพียงเผาค่ายของพวกเขา จากนั้นกล่าวคำพูดทางการบางอย่างเอาใจชาวบ้านแล้วจากไป”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

“นี่ออกจะเกินจริงไปบ้าง…คนเราจะอยู่ในน้ำไม่โผล่ศีรษะขึ้นมาหลายวันได้อย่างไร ไม่จมน้ำตายก็ต้องหายใจไม่ออกตาย!”

จิ้งเหยากล่าว รู้สึกว่าคำพูดที่เจ้าของร้านเอ่ยมาออกจะเกินจริงไปหน่อย

“นายท่านอาจจะอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินใหญ่มานาน! จึงไม่รู้ว่าผู้คนมากมายริมฝั่งแม่น้ำสามารถทำเช่นนี้ได้! ตอนข้ายังเล็กก็สามารถว่ายน้ำได้มากกว่าหนึ่งลี้ภายในอึดใจเดียวด้วยซ้ำ!”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

จิ้งเหยามองสภาพพุงพลุ้ยของเขาในตอนนี้แล้วจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าเถ้าแก่ร้านในวัยเยาว์จะว่ายน้ำเก่ง

“อาศัยใกล้ภูเขาพึ่งพาภูเขา อาศัยใกล้น้ำพึ่งพาน้ำ! ผู้คนมากมายริมแม่น้ำอาศัยทักษะว่ายน้ำเพื่อให้อยู่รอด…หากเรือที่แล่นผ่านบังเอิญอับปางลง พวกเขาจะสวมชุดเครื่องมือน้ำที่ประดิษฐ์เองแล้วว่ายลงไปช่วย”

เถ้าแก่กล่าวต่อทันที

“เครื่องมือน้ำหรือ มีลักษณะเป็นเช่นไรหรือ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

เขาเคยเห็นเพียงชุดเกราะและดาบเหล็กเท่านั้น

คำว่าเครื่องมือน้ำเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาจริงๆ

“แตกต่างกันไปแล้วแต่คน…โดยทั่วไปเป็นชุดทำจากผ้ามันเลื่อมเย็บติดกันสนิททั้งตัว น้ำไม่อาจซึมผ่านได้ จากนั้นใช้ปากคาบไม้ที่มีรูโพรงสามารถยื่นโผล่พ้นผิวน้ำเพื่อหายใจ ด้วยวิธีเช่นนี้ต่อให้อยู่ในน้ำหลายวันก็หาได้เป็นอันใด แค่คุมความหิวโหยไม่ได้เท่านั้นเอง!”

เถ้าแก่ร้านกล่าวพร้อมกับทำท่าทาง

พูดจบยังหัวเราะพลางลูบท้องตนเองอีกต่างหาก

“พวกโจรภูเขาเหล่านั้นจึงวกกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ทหารทางการออกไปแล้วหรือ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“แน่นอนอยู่แล้ว! พวกมันหากินด้วยเส้นทางนี้และร่ำรวยมหาศาล! ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ หลังจากที่ไปแล้ววกกลับมาใหม่ ไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งขุนเขาแล้ว…แม้แต่แม่น้ำใกล้เมืองเซี่ยถงก็ยังถูกควบคุมไว้อีกต่างหาก!”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

จิ้งเหยาพยักหน้าหลังฟังจนจบ

ที่แท้ทางน้ำและถนนต่างก็ถูกพวกโจรเหล่านั้นผูกขาดไปแล้ว

“ฉะนั้น…แม้ว่าพ่อค้าวาณิชต่างแดนต้องการค้าขายกับเมืองเซี่ยถง หรือผ่านเมืองเซี่ยถงไปยังรัฐหงล้วนถูกพวกมันกลั่นแกล้งสารพัดวิธี กระทั่งยังตั้งศาลเตี้ย! จัดเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดหลายประเภทนับไม่ถ้วน…นานวันเข้า ทุกคนจึงยอมเดินอ้อมไกลขึ้นอีกหน่อยและไม่ไปทางใกล้ๆ อีก เมืองเซี่ยถงจึงตกอับเช่นนี้…”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจนปัญญาเหลือเกิน

“ดังนั้นอาหารเหล่านี้จึงขาดแคลนเกลือและน้ำมันเพราะเหตุนี้หรือ”

จิ้งเหยาถาม

“ไม่ใช่หรอก! เรื่องนี้น่ะ กว่าข้าจะได้มาจากข้างนอกไม่ง่ายทีเดียว…ร้านรวงนี้จะว่าเก่าแก่ก็ไม่เชิง แต่ก็ยังถือว่าเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ข้าเพียงเตรียมพร้อมมีชีวิตรอดหนึ่งวันและเปิดร้านไปอีกหนึ่งวัน บุตรชายและบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนต่างตามภรรยาข้ากลับบ้านพ่อตาแม่ยายไปแล้ว ข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงแล้ว กลับกันชาวเมืองเซี่ยถงนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ…”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

พูดจบก็ดื่มสุราอีกจอกแล้วลุกขึ้นเตรียมจากไป

“ในเมื่อท่านสามารถหาน้ำมัน เกลือและสุรามาได้ ท่านรู้จักมักคุ้นกับโจรกลุ่มนั้นหรือไม่”

ทันใดนั้นจิ้งเหยาก็ปริปากพูด

เถ้าแก่ร้านหันหลังให้จิ้งเหยา ประกายแสงวาบฉายผ่านดวงตาและยิ้มมุมปาก

แต่พอเขาหันกลับมา สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมอีกครั้ง…

“ไหนเลยจะพูดว่ารู้จักมักคุ้นได้เล่า! นั่นล้วนเรียกว่ากตัญญูรู้คุณ! สามถึงห้าคนที่เป็นหัวหน้าแก่กว่าบุตรชายข้าไม่กี่ปี ข้าเหลือเพียงไม่เรียกว่าพ่อเท่านั้น…”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

ทว่ากลับมานั่งลงด้วยความขุ่นเคืองอย่างยิ่ง

“พรุ่งนี้ข้าจะข้ามแม่น้ำไปรัฐหง”

จิ้งเหยากล่าว

“นายท่าน อย่าได้ตำหนิหาว่าข้าไม่เตือนท่าน…หากท่านจะไปริมฝั่งแม่น้ำเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจท่าน!”

เถ้าแก่ร้านโบกมือพัลวันแล้วกล่าว

จิ้งเหยาคิดไปถึงขั้นนี้มาสักพักแล้ว

เหตุผลที่เอ่ยปากหยุดเถ้าแก่ร้านเมื่อครู่นี้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้

“แต่ว่าข้ามาแล้ว…คงจะหันหลังกลับไปเดินอ้อมทางไกลไม่ได้แล้วกระมัง”

จิ้งเหยากล่าว

เขารู้ว่าเถ้าแก่ร้านผู้นี้จะต้องมีช่องทางเป็นแน่

ตนกล่าวเช่นนี้เพียงเพื่อล่อให้เขาเอ่ยออกมา

คิดแล้วก็น่าหงุดหงิดจริงๆ…

ผู้นำหน่วยแสนองอาจแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า ในทุ่งหญ้านับเป็นบุคคลที่สำคัญมาก

ไยมาถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องแล้วต้องเสียสละให้กลุ่มโจรด้วยเล่า…

“ผู้แข็งแกร่งไม่อาจปราบคนชั่วประจำถิ่นได้!”

สตรีที่อยู่ข้างกายจิ้งเหยาเอ่ยขึ้น

เสียงไม่ดัง

น้ำเสียงบางเบายิ่ง

“ฮูหยินเฉียบแหลมยิ่ง! เป็นเช่นนี้จริงๆ…ฉะนั้นหากนายท่านไร้การเตรียมพร้อม ก็ควรกลับไปตามทางเดิมแล้วอ้อมไปรัฐหงดีกว่า!”

เถ้าแก่ร้านประสานมือให้สตรีผู้นั้นแล้วกล่าว

เพียงได้ยินคำว่า ‘ฮูหยิน’ จากปากเขา หัวใจของสตรีผู้นี้พลันเต้นรัว…

นางมองใบหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยวของจิ้งเหยา

การเต้นโครมครามนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทันใด

ตัวนางเองคิดไปไกลมากเกินไป คิดเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียว…

ชีวิตดั่งละคร แต่การแสดงก็คือการแสดง ปลอมก็คือปลอม

เรื่องจริงสามารถย้ายขึ้นไปพร่ำร้องบนเวทีละครได้

แต่เรื่องบนเวทีละครจะมีสักกี่เรื่องกันเชียวที่สามารถร้องได้จริง

“การเตรียมพร้อมที่เถ้าแก่ร้านพูดถึงเป็นการเตรียมพร้อมสิ่งใดหรือ”

จิ้งเหยาสังเกตเห็นความแปลกไปของสตรีข้างกาย

แต่ก็ยังเอ่ยถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเช่นเดิม

“แน่นอนว่าเป็น…”

เถ้าแก่ร้านยื่นมือขวาแล้วถูนิ้วโป้งกับสี่นิ้วที่เหลือ

จิ้งเหยาเห็นการกระทำเช่นนี้จึงหัวเราะลั่น

เถ้าแก่ร้านพลอยหัวเราะตามไปด้วย

“การเตรียมพร้อมแน่นอนว่ามี…เพียงแต่ประตูเขานี้สูงและไกลจนไร้ซึ่งหนทางให้ไปได้!”

จิ้งเหยากล่าว

เกาเหรินฟังการพูดคุยของทั้งสอง ทว่าเอาแต่ดื่มสุรา หาได้สนใจใดๆ ไม่

แต่จิ้งเหยาก็ไม่ใช่คนเบาปัญญา

หากเมืองเซี่ยถงกลายเป็นเช่นนี้แล้วเถ้าแก่ร้านยังสามารถทำกิจการร้านอาหารโรงเตี๊ยมที่นี่อย่างมั่นคงได้ เช่นนั้นคงไม่พ้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกโจรกลุ่มนั้นแน่นอน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท