บทที่ 351 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-5
จิ้งเหยาเพิ่งดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นข้างนอกมีไอหมอกลอยขึ้นมาผ่านประตูหน้าต่าง
สถานที่ใกล้น้ำย่อมชื้นแฉะ
ไอหมอกเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยง
แม้แต่บนทุ่งหญ้ายามก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในทุกเช้าก็จะมีไอหมอกหนาทึบประปราย
เพียงแต่คำนวณเวลาแล้ว ตอนนี้ออกจะเร็วเกินไปหน่อย
ฟ้ามืดยังไม่ถึงสองชั่วยาม ไอหมอกก็ขึ้นเสียแล้ว
มันเร็วเกินไปจริงๆ…
กระทั่งไม่สอดคล้องกับสภาพปกติ
“เถ้าแก่ เหตุใดไอหมอกเมืองเซี่ยถงจึงมาเร็วเพียงนี้เล่า”
จิ้งเหยากล่าวถาม
“ไอหมอกขึ้นริมน้ำเฉกเช่นเดียวกับเห็นกวางในป่า ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา!”
เถ้าแก่ร้านกล่าวเช่นนี้
จิ้งเหยาพลันยิ้มหยันในใจ
หากนายพรานเห็นกวางอยู่ทุกที่ในป่าจะมีความสุขเพียงใดกัน
ทว่าไม่มียศตำแหน่งพิเศษสำหรับ ‘พรานล่ากวาง’ เช่นกัน
ไม่ว่ากวางหรือเสือก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็น ‘พรานล่ากวาง’ หรือ ‘พรานยิงเสือ’ ก็ตาม
ล้วนเป็นสิ่งที่พบเจอแต่ไม่อาจแสวงหา
แต่ไอหมอกที่ผุดขึ้นริมน้ำทุกวันกลับต่างกันลิบลับ
ทว่าชักจูงเขาไม่ได้
ในยามนี้เอง มีแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินเข้าประตูมา
ยังเป็นเด็กวัยเยาว์ สีหน้าเต็มไปด้วยความขลาดกลัวละล้าละลัง
ยามที่เข้าประตูอาจเป็นเพราะประหม่าจึงมองไม่เห็นธรณีประตูใต้ฝ่าเท้า
ครั้นสะดุด แม้แต่ตะกร้าที่คล้องในมือก็แทบจะปลิวออกไปอยู่แล้ว
“คนเดียวหรือ”
เถ้าแก่ร้านปรายตามองแม่นางน้อยผู้นั้นครู่หนึ่งแต่ไม่ได้เดินเข้าไปทักทาย
ส่งสายตาให้เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้าไปถาม
หากเป็นร้านสุราโรงเตี๊ยมใกล้เคียง เมื่อมีแขกมาย่อมเป็นเรื่องดี
ยิ่งลูกค้ามากเท่าใด ค้าขายยิ่งดีขึ้นเท่านั้น เถ้าแก่ร้านก็จะมีรายได้มากยิ่งขึ้น
ทว่าจิ้งเหยาเห็นสีหน้าหมดความอดทนเล็กน้อยจากเถ้าแก่ร้านผู้นี้
การหมดความอดทนนี้ดูเหมือนจะเกิดจากแม่นางน้อยที่เดินผ่านประตูมาอย่างประจวบเหมาะ
“คนเดียว……”
แม่นางน้อยเอ่ยกระซิบเสียงเบา
ก้มศีรษะต่ำมาก
ไม่กล้าสบตากับเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ด้วยซ้ำ
หากเป็นเรื่องปกติทั่วไป
เสี่ยวเอ้อร์ขี้เล่นผู้นี้ไม่แน่ว่าอาจจะหยอกเล่นเสียด้วยซ้ำ
แต่วันนี้กลับไร้อารมณ์เช่นนี้
แม่นางน้อยนั่งลงโต๊ะด้านหน้าที่ไม่ไกลจากจิ้งเหยานัก
ล้วงเซาปิ่งสีขาวสองก้อนออกมาจากอกแล้วขอให้เสี่ยวเอ้อร์จัดสุราหนึ่งไห
“สุราหนึ่งไหหรือ สุราในร้านเราแพงเอาเรื่อง…”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าว
“ข้ามีเงิน…”
แม่นางน้อยกัดเซาปิ่งแล้วหยิบแท่งเงินออกจากอก
“แต่เจ้าจะดื่มหมดไหหรือ”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นแท่งเงิน น้ำเสียงจึงอ่อนลงทันใด
แต่เขาก็ยังนึกสงสัย แม่นางน้อยที่ผอมกระหร่องเช่นนี้ ไฉนจึงต้องการสุราเต็มไห
ทว่าแม่นางน้อยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงกัดเซาปิ่งคำเล็กๆ
เสี่ยวเอ้อร์หยิบเงินไปแล้วส่ายศีรษะ
รู้สึกว่าคนเข้าร้านคืนนี้ไม่มีผู้ใดปกติสักคน
ไม่นานนักบนโต๊ะของแม่นางน้อยก็มีไหสุราจัดวางอยู่
ราวกับว่าแม่นางน้อยมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น
ยังคงกินเซาปิ่งขาวในมือตน
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่ากินเร็วขึ้นมากทีเดียว
ไม่นานนักก็กินเซาปิ่งหนึ่งก้อนจนหมด
ตอนนี้ แม่นางน้อยจ้องไหสุราไม่ละสายตา
เสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้หลอกนางจริงๆ
บนสุราไหนี้ฝุ่นเขรอะไม่น้อย
มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกเก็บในห้องสุราใต้ดินมานานมากทีเดียว
เพียงแต่สุราเก่าแก่ใช้ผนึกโคลนปิดไว้
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ดื่มสุราต่างรู้กันดี
เสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้เปิดผนึกโคลนให้แม่นางน้อยผู้นี้
จิ้งเหยาก็คิดอยู่ว่านางจะเปิดมันออกหรือไม่
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าผนึกโคลนทั้งหนักทั้งหนาบนไหสุราจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ยามที่แม่นางน้อยยื่นนิ้วชี้ไปเกี่ยวมัน
ทว่าไม่มีเศษดินกระจายตกลงไปในไหสุราแม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อเห็นฝีมือเช่นนี้ แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยายังอดประหลาดใจไม่ได้
ผู้ใดจะคิดว่าแม่นางน้อยที่ผอมบางปวกเปียก นิ้วมือจะมีแรงถึงเพียงนี้
ไหสุราเปิดออกแล้ว
กลิ่นหอมสุราคลุ้งตลบอบอวล
แม่นางน้อยสูดกลิ่นหอมสุรา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า
เห็นได้ชัดว่านางพอใจกับสุรานี้ยิ่งนัก
ทันใดนั้นพลันถกแขนเสื้อขึ้น หยิบชามวางบนโต๊ะและดื่มสุราในไหสุราชามแล้วชามเล่า
สุรากระฉอกจากปากชามหยดลงบนร่างกายทว่าไม่ได้สนใจ
หลังจากดื่มไปสามชามในคราวเดียวก็ถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ
เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ห้องโถง
มองจิ้งเหยาและคนอื่นๆ โดยละเอียด
สีหน้าของนางในยามนี้ผิดกับตอนที่เพิ่งเข้าประตูมาอย่างสิ้นเชิง
จิ้งเหยามองแม่น้อยผู้นี้พลันยิ้มบางๆ
“เจ้ามาจากที่ใด”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“ทางใต้”
แม่นางน้อยกล่าว
“ข้ามีนามว่าอวี๋เมิ่ง”
แม่นางน้อยกระดกสุราและพูดต่อทันที
จิ้งเหยาชะงักเล็กน้อย
เขาไม่ได้ถามชื่อแซ่ของแม่นางน้อยผู้นี้เสียหน่อย
ทว่าชื่อนี้กลับน่าสนใจจริงๆ
อวี๋เมิ่ง[1]
หรือความฝันนี้ยังมีบางอย่างหลงเหลืออยู่งั้นหรือ
จิ้งเหยาไม่เข้าใจ
เขาเพียงมองท่าทางดื่มสุราของแม่นางผู้นี้แล้วสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย
“ทางใต้…ทางใต้ดื่มแต่ชาไม่ใช่หรือ”
จิ้งเหยาถาม
ความเข้าใจต่ออาณาจักรห้าอ๋องของเขานั้น
คนทางใต้ไม่ค่อยดื่มสุราเท่าใดนัก
ว่ากันว่าทางใต้อ่อนโยนราวกับชาหนึ่งถ้วย
ทางเหนือร้อนแรงราวกับสุราหนึ่งจอก
ความสง่าและประณีตในชาควบคู่กับเงาสะท้อนผิวน้ำและเสียงดนตรีมีพลัง
ปลีกตัวจากโลกภายนอกและสันโดษ หลงลืมตัวตนและสิ่งต่างๆ
ทว่าทางเหนือนั้นคล้ายคลึงกับทุ่งหญ้าเล็กน้อย
ลงท้องหนึ่งชาม องอาจผึ่งผาย
จะมีสักกี่คนที่มือหนึ่งถือสุรา มือหนึ่งกำดาบ
“เจ้ากล่าวมาไม่ผิด! แต่ข้าเป็นคนทางใต้ส่วนน้อยที่รักการดื่มสุรา”
แม่นางน้อยกล่าวพลางหัวเราะ
จากนั้นก็กระดกสุราอีกชามหนึ่ง
“เจ้าก็ต้องการข้ามแม่น้ำเช่นกันหรือ”
จิ้งเหยาถาม
แม่นางน้อยกำลังดื่มสุรา พูดไม่ได้ ทำได้เพียงพยักหน้า
“ข้าจะไปรัฐหง!”
แม่นางน้อยกล่าว
“เช่นนั้นก็ทางเดียวกัน”
จิ้งเหยากล่าว
ครั้นแม่นางน้อยได้ยินว่าทางเดียวกันดวงตาพลันเป็นประกาย
มือข้างหนึ่งถือชามสุรา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือไหสุรามานั่งฝั่งตรงข้ามจิ้งเหยา
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็สามารถเดินทางด้วยกัน!”
แม่นางน้อยยกชามสุราขึ้นแล้วเอ่ยกับจิ้งเหยา
จิ้งเหยายกชามสุราขึ้นและชนกับนางเบาๆ
ทว่าเก้อเขินยิ่งนัก…
ครั้นคิดว่ายามที่ตนดื่มสุราก็ใช้ชามมาโดยตลอด
ไฉนวันนี้ชนจอกกับแม่นางน้อยผู้หนึ่งกลับใช้จอกสุราในอาณาจักรอ๋องที่เล็กอย่างยิ่งได้เล่า
ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวนั้น
จู่ๆ แม่นางน้อยตรงหน้าก็ฟุบลงบนโต๊ะและผล็อยหลับไป
นางเมาแล้ว
ทว่าทำเอาจิ้งเหยาและคนอื่นๆ สะดุ้งตกใจ
ทุกคนต่างได้ยินเสียงศีรษะของนางโขกกับโต๊ะเมื่อครู่อย่างชัดเจน
ฉะนั้นสรุปว่าดื่มจนเมาแล้วหรือว่าหมดสติไปแล้วเล่า
ไม่มีผู้ใดบอกได้…
เพียงแต่ตะกร้าของแม่นางน้อยมีของเหลวสีแดงเข้มจำนวนมากไหลออกมา
ปลายจมูกจิ้งเหยากระตุกเล็กน้อย
เขาได้กลิ่นคาวเลือด
บังเอิญว่ามันคลุ้งมาจากตะกร้าของแม่นางน้อย
เขาเบนสายตาไปทางเกาเหริน
เกาเหรินยังคงหัวเราะคิกคักมองเขาและไม่เอ่ยคำใด
พวกเขาย่อมไม่รู้ว่า ตอนที่แม่นางน้อยผู้นี้เดินเข้ามาในร้านจะเผชิญกับการถูกไล่ล่าสังหารถึงหกครั้ง
ทว่าร่างกายภายใต้อาภรณ์ของนางเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเช่นกัน
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกมาให้คนภายนอกมองเห็นมัน
ผู้ที่เสียเลือดมากไม่ควรดื่มสุราเด็ดขาด
ไม่ควรอาบน้ำเช่นกัน
ทำได้เพียงนอนพักผ่อนและดื่มน้ำแกงไก่บำรุงสามถึงห้าชามทุกวันอย่างเคร่งครัด
แต่นางไม่เพียงสามารถหลบหนีจากการไล่ล่าเอาชีวิตถึงหกครั้งได้สำเร็จ ยังสามารถเข้าไปดื่มสุราในร้านได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
ไม่อาจใช้คำว่าเก่งกาจมาอธิบายแม่นางผู้นี้ แต่เป็นน่าทึ่งต่างหาก
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้การกระทำที่น่าทึ่งเช่นนี้
…………………………………………………………………….
[1] อวี๋ หมายถึง สิ่งที่เหลืออยู่ เมิ่ง หมายถึง ความฝัน