บทที่ 355 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-9
เสียงกรีดร้องโหยหวนทำให้ทุกคนในห้องโถงตัวสั่นเทิ้ม
จิ้งเหยาฟันฉับลงไป
ตัดมือชายชุดฟางที่ถูกกระบี่ตรึงไว้บนโต๊ะผู้นั้น
ในเมื่อไร้หนทางถอยหนี เช่นนั้นจำต้องสู้ยิบตา
ชายชุดฟางล้มหงายตึงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
แม้ไม่ตาย
แต่ผู้ที่ใช้กระบี่สูญเสียมือเพื่อจับกระบี่ไป
เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว
เมื่อเทียบกับคนตายแล้ว เป็นคนพิการทุกข์ทรมานยิ่งกว่า
คนพิการทุกคนล้วนมีความคิดอยากตาย
แต่คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่รวบรวมความกล้าได้จริงๆ…
ชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางผู้นั้นยืนอยู่ข้างโต๊ะของจิ้งเหยา
ปรายตามองผู้ใต้บังคับบัญชาที่นอนร้องโอดโอยบนพื้น
เขาชักกระบี่ของตน
แสงเย็นวาบส่องกระทบใบหน้าชายชุดฟางมือขาดผู้นั้น
แยงตาเสียจนเขาลืมตาไม่ขึ้นเล็กน้อย
แต่ทุกคนรวมถึงจิ้งเหยาต่างเห็นเขาพยักหน้า
ชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางแทงกระบี่ทันที
กระบี่แทงทะลุลำคอชายมือขาด
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจแย้มยิ้มออกมาได้
ทว่าท่าทีโล่งใจเช่นนี้กลับทำให้จิ้งเหยารู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นนักรบเดนตายที่แท้จริง
โจมตีสังหารล้มเหลว ไม่มีทางรอดเด็ดขาด
ยิ่งไม่ยินยอมให้ตนกลายเป็นภาระของสหาย
ชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางสะบัดข้อมือเบาๆ
สะบัดรอยเลือดบนกระบี่
จากนั้นมองจิ้งเหยาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ข้าไม่ได้สนิทกับนาง”
จิ้งเหยากล่าว
เขาชี้แม่นางน้อยผู้นั้นที่อยู่เบื้องหน้า
แม้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้อาจมีอดีตที่ควรค่าแก่ความเห็นใจอยู่บ้าง
แต่พบกันโดยบังเอิญ จิ้งเหยาไม่จำเป็นต้องออกหน้าแทนผู้อื่น
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนจากอาณาจักรอ๋องอีกด้วย
“ข้ารู้”
ชายชุดฟางพยักหน้าแล้วกล่าว
“ตามสบาย”
จิ้งเหยาลุกออกจากโต๊ะ
ยืนอยู่ด้านข้าง
เตรียมนิ่งดูดายโดยสิ้นเชิง
ชายชุดฟางกล่าว
จิ้งเหยายิ้มขัน
สถานการณ์ยุ่งยากนี้ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่ในเมื่อคนผู้นี้ไม่ลงมือ แต่เอ่ยปากพูดแทน
เช่นนั้นบ่งบอกได้ว่ายังพอมีเหตุผลให้กล่าว
การพูดคุยเช่นนี้อาจมีจุดพลิกผัน
“คนผู้นั้นเจ้าเป็นคนฆ่าเอง อีกอย่างเขาก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”
จิ้งเหยากล่าว
“ข้าฆ่าเอง จริงอยู่ที่เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นเพราะว่าเจ้าตัดมือของเขาก่อนจึงทำให้กลายเป็นเช่นนี้”
ชายชุดฟางกล่าว
รอยเลือดบนกระบี่หยดลงพื้นจนเกลี้ยง
มีเพียงกระบี่ชั้นดีเท่านั้นจึงจะทำเช่นนี้ได้
“เจ้าบอกว่าคนสมัยนี้ต่างมองแค่ผลลัพธ์ ไม่ถามหาเหตุผลไม่ใช่หรือ”
จิ้งเหยาหันหน้ากลับไปมองเกาเหรินและเอ่ย
“ที่ข้ากล่าวคือคนส่วนใหญ่”
เกาเหรินกล่าวอย่างจนปัญญา
เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าชายชุดฟางจะมีเหตุผลเพียงนี้
หากจะกล่าวโดยละเอียดแล้ว การตายของคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับจิ้งเหยาจริงๆ
แต่หากเขาไม่แทงกระบี่มาทางจิ้งเหยา จิ้งเหยาก็ไม่มีทางฟันมือเขาทิ้ง
คิดไปคิดมา ต้นตอสุดท้ายก็มาตกอยู่ที่ตัวของแม่นางน้อยผู้นี้
สายตาจับจ้องไปที่แม่นางน้อยอีกครั้ง
จากทางใต้สู่แดนเหนือ
พวกเขาไล่ล่าไม่เพียงแต่สามพันลี้
จนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงสามคน
แม่นางน้อยเชิดหน้าสบตากับชายชุดฟาง
ไม่หลบสายตาแต่อย่างใด
นางเดินไปที่โต๊ะข้างๆ แล้วหยิบตะกร้าของตนขึ้นมา
ปลดฝาตะกร้าออกแล้วมองดูและถุยน้ำลายลงบนศีรษะคนตาย
ตามด้วยโยนให้ชายชุดฟางผู้นั้นโดยตรง
ชายชุดฟางยื่นมือออกไปรับโดยไม่รู้ตัว
เพียงชั่วพริบตาแม่นางน้อยผู้นั้นก็กระโดดหนีออกนอกหน้าต่างโรงเตี๊ยม
“แม่นางน้อยผู้นี้เป็นใครกัน”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“ศัตรู”
ชายชุดฟางถือตะกร้ากล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“แล้วคนในตะกร้าเป็นผู้ใด”
จิ้งเหยาเอ่ยถามอีกหน
“คนตาย”
ชายชุดฟางถอนสายตากลับ
ขอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนลากร่างชายชุดฟางออกไปนอกประตู
จากนั้นถือตะกร้าแล้วกลับไปนั่งลงที่โต๊ะเดิม
“เจ้าจะไม่ตามไปหรือ”
จิ้งเหยาสงสัยยิ่งนัก
ชายชุดฟางไม่เพียงไม่ไล่ตาม กระทั่งเมื่อครู่ยังไม่ยื่นมือออกไปขวางไว้
จิ้งเหยาดูออกว่าหากเขาต้องการละก็ ย่อมสามารถหยุดแม่นางน้อยลึกลับผู้นั้นได้แน่
แต่เขากลับไม่ทำ
“เพราะข้าเพียงต้องการตะกร้าใบนี้”
ชายชุดฟางกล่าว
จากนั้นปลดชุดฟางออก หยิบทองคำแท่งโยนให้เถ้าแก่ร้าน
“ข้ารับผิดชอบความเสียหายนี่ เงินที่เหลือนำสุรามา”
เถ้าแก่ร้านมองทองคำแท่งในมือ ฉีกยิ้มกว้างจนถึงหู
หลังจากรับทองคำไปแล้วพลันหยิบพู่กันขึ้นมาขีดฆ่ารายการบัญชีที่ตนจดไว้
“แต่แม่นางน้อยผู้นั้นไม่ใช่ศัตรูหรอกหรือ ปล่อยศัตรูจากไปเช่นนี้ได้หรือ”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“นางก็ต้องการตะกร้าใบนี้เช่นกัน ฉะนั้นนางจะกลับมาแน่”
ชายชุดฟางกล่าว
แทนที่จะเสี่ยงวิ่งไล่ตามกลางสายฝนกระหน่ำและถนนหนทางที่เต็มไปด้วยดินโคลนในยามกลางคืน
สู้นั่งดื่มสุรารอซ้ำยามเปลี้ยอยู่ในโรงเตี๊ยมที่อบอุ่นแห่งนี้จะดีกว่า
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นไม่ลดละกับตะกร้าและสิ่งที่อยู่ในตะกร้านี้
เช่นนั้นย่อมมียามที่ได้พบหน้ากันอีกแน่
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองก็เดินออกมาจากโรงด้านหลังเช่นกัน
ในมือถือจานหนึ่งใบ
เซาปิ่งกองพะเนินอยู่บนจาน
“พวกเจ้าต้องรออีกเดี๋ยว”
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองวางเซาปิ่งบนจานของจิ้งเหยาแล้วเอ่ยกับชายชุดฟาง
“ขอเพียงสองแผ่นก็พอ”
ชายชุดฟางกล่าว
เขาเห็นว่าเซาปิ่งของจิ้งเหยาและคนอื่นๆ ต่างก็ทำมาตามจำนวนคน
เดิมทีพวกเขามีสามคน
แต่ตอนนี้ตายไปหนึ่งคนแล้ว
ดังนั้นเซาปิ่งสองแผ่นย่อมเพียงพอ
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองได้ยินแล้วจึงพยักหน้าจะกลับไปยังโรงครัวด้านหลัง
“เหตุใดเจ้าจึงมาเป็นแม่ครัวทำเซาปิ่งที่นี่เล่า”
ชายชุดฟางพลันถามขึ้น
“เดิมข้าก็เป็นแม่ครัว”
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทว่ากลับไม่หยุดฝีเท้า
แต่ลดม่านที่โรงด้านหลังลง
ทุกคนในห้องโถงมองไม่เห็นด้านในอีกต่อไป
“พวกเจ้ารู้จักหรือ”
จิ้งเหยาถามพลางกินเซาปิ่ง
ต้องกล่าวว่าเซาปิ่งนี้อร่อยจริงๆ
ไม่เพียงแต่เคี้ยวหนึบยิ่งนัก ทั้งยังมีกลิ่นหอมฉุยของงาเข้มข้น
ต่อให้ไม่มีอาหารอื่นๆ กินคู่กัน ก็ยังสามารถกินลงไปเปล่าๆ ได้
“พวกเจ้าไม่ใช่ชาวอาณาจักรอ๋องกระมัง”
ชายชุดฟางดื่มสุราแล้วกล่าว
“รู้ได้อย่างไร”
จิ้งเหยาถามพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ก่อนเข้ามา ข้าเห็นขบวนเครื่องเรือนมากมายจอดพักอยู่ด้านหลังร้านแห่งนี้ เดาว่าเป็นของพวกเจ้า แม้ลักษณะเครื่องเรือนเหล่านั้นจะเป็นรูปแบบอาณาจักรอ๋องที่ธรรมดาทั่วไปที่สุด แต่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของพวกเจ้า”
ชายชุดฟางกล่าว
“เครื่องเรือนก็คือเครื่องเรือน ยังจะมีนิสัยใดอีก”
จิ้งเหยากล่าวพลางหัวเราะ
“ชามนั้นเล็กเกินไป ไม่ว่าเจ้าจะใช้กินข้าวหรือดื่มสุราก็ยังเล็กเกินไป”
ชายชุดฟางกล่าว
“ชามในร้านนี้ก็ไม่ใหญ่ ข้าก็ยังใช้มันไม่ใช่หรือ”
จิ้งเหยายกชามในมือและเอ่ยแย้ง
“ใช้ชามในร้านย่อมไร้ทางเลือก…มีเพียงผู้ที่พิถีพิถันอย่างยิ่งจึงจะใช้เครื่องรับประทานอาหารของตนทุกที่ ทว่าบ้านเรือนเป็นสถานที่ที่สบายใจที่สุด การกินก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตเช่นกัน ทำเรื่องสำคัญที่สุดในสถานที่ที่สบายใจที่สุด แต่ไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล”
ชายชุดฟางกล่าว
“พวกเจ้าเป็นใครกัน เดาว่าไม่ใช่ชาวอาณาจักรอ๋องเช่นกันกระมัง”
จิ้งเหยาพยักหน้า
เขายอมรับว่าชายชุดฟางผู้นี้ช่างสังเกตละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง สมองก็โลดแล่นมากเช่นกัน
“ข้าก็เหมือนกับเจ้าที่ไม่ใช่ชาวอาณาจักรอ๋อง”
ชายชุดฟางจิบสุราแล้วเอ่ยช้าๆ
จิ้งเหยาไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด
ไม่ใช่ชาวอาณาจักรอ๋อง หรือจะเป็นชาวทุ่งหญ้าเล่า
“ข้าเป็นคนของสำนักปากสอบ”
ชายชุดฟางดื่มสุราที่เหลือในจอกหมดรวดเดียวแล้วกล่าว
จิ้งเหยาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
แต่สีหน้าของเกาเหรินพลันเปลี่ยนไป
“พวกเจ้าเป็นคนของสำนักปากสอบงั้นหรือ”
เกาเหรินถามด้วยน้ำเสียงรีบร้อน
“ในใต้หล้าอาจมีคนไม่น้อยที่แสร้งว่ามาจากกรมสอบสวนกลาง แต่กล้าแสร้งว่าเป็นคนของสำนักปากสอบย่อมไม่มี”
ชายชุดฟางกล่าว
จิ้งเหยาเบนความสนใจไปที่เกาเหริน
คำว่าสำนักปากสอบไม่คุ้นหูสำหรับเขาอย่างยิ่ง
“สำนักปากสอบเป็นสถานที่เช่นไรหรือ”
จิ้งเหยาถาม
“เป็นสถานที่ที่ไม่อาจหารือกันได้แม้กระทั่งในห้องส่วนตัว”
เกาเหรินเอ่ยเสียงทุ้ม
สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ
สำนักปากสอบ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเป็นสถานที่เช่นไร
ทว่าจะต้องอยู่ภายในอาณาจักรห้าอ๋องเป็นแน่