ตอนที่ 633 เสิ่นอวี้หลงแสดงอาการตอบสนอง
เซี่ยหลานและหลินเซี่ยกำลังจะออกไป แต่เมื่อได้ยินเสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นของหู่จือ พวกเธอก็หันขวับกลับมา มองไปยังคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย
แต่เมื่อพวกเธอมองไปทางนั้น กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากเสิ่นอวี้หลงที่อยู่บนเตียงให้เห็น
หู่จือบอกว่านิ้วของเขาขยับ เซี่ยหลานปรี่เข้าไปจับมือของเสิ่นอวี้หลงอย่างตื่นเต้น พยายามลองขยับนิ้วของเขา แต่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
ดวงตาที่สดใสของเซี่ยหลานกลับมาหม่นหมองลงตามเดิมอีกครั้ง
“หู่จือ ลูกตาฝาดไปหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามหูจื่อ
หู่จือเงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ “แม่ ผมเห็นจริง ๆ เมื่อกี้นี้ผมเห็นนิ้วของน้าขยับจริง ๆ ”
“เหมือนจะเป็นนิ้วนี้” หู่จือชี้ไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเสิ่นอวี้หลง
การแสดงออกของหู่จือจริงจังมาก ไม่เหมือนกับเขากำลังโกหกเลย
เซี่ยหลานคว้ามือของเสิ่นอวี้หลงมาจับแล้วเรียกเขาเบา ๆ
“อวี้หลง อวี้หลง ลูกได้ยินแม่ไหม?”
“ลูกจ๋า ลูกได้สติแล้วใช่ไหม? ใกล้จะตื่นเต็มทีแล้วใช่ไหม? แสดงปฏิกิริยาให้เรารู้หน่อยสิ”
เซี่ยหลานนั่งลงข้างเตียง จับมือของเสิ่นอวี้หลงไว้และกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น รู้สึกตื่นเต้นมาก กระตือรือร้นที่จะปลุกเขาให้ตื่น
หลินเซี่ยรีบไปเรียกหมอแผนจีนเย่ให้เข้ามาตรวจสอบ
หู่จืออายุเกินหกขวบแล้ว เขาไม่มีทางพูดเรื่องไร้สาระ
ในเมื่อเขาบอกว่าเห็นนิ้วของเสิ่นอวี้หลงขยับ นั่นก็น่าจะเป็นเรื่องจริง
เธอเคยดูละครโทรทัศน์และเห็นเคสในชีวิตจริงมาหลายกรณี เมื่อผู้ป่วยที่นอนหลับเป็นเจ้าชายนิทรามาเป็นเวลานานตื่นขึ้น นิ้วของเขาจะขยับก่อนเสมอ
ต่อให้หู่จือจะพูดโกหก เขาก็ไม่มีทางพูดอย่างมั่นใจว่าส่วนที่ขยับคือนิ้ว
ผู้เฒ่าเซี่ยขอให้เซี่ยหลานที่กำลังพร่ำเรียกเสิ่นอวี้หลงหลีกทาง
เมื่อเซี่ยหลานเห็นหมอแผนจีนเข้ามา หล่อนก็รีบก้าวออกไป
หมอแผนจีนเย่เริ่มตรวจชีพจรของเสิ่นอวี้หลง ตรวจรูม่านตา ตรวจการตอบสนองของกล้ามเนื้อร่างกาย และส่วนอื่น ๆ เรียกได้ว่าตรวจสอบอย่างละเอียด ทุกคนต่างรอคอยด้วยใจจดใจจ่อ
หลังจากนั้นนานทีเดียว ในที่สุดหมอแผนจีนเย่ก็เสร็จสิ้นการตรวจสอบและถอนมือออก
“เหล่าเย่ เป็นยังไงบ้าง?” ผู้เฒ่าเซี่ยถามอย่างเร่งรีบ
หมอแผนจีนเย่ทำหน้าจริงจัง พูดพลางอย่างครุ่นคิดว่า “ชีพจรไม่คงที่ น่าจะเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวน อย่ามองว่าเขาหลับไหลอยู่ตลอดเวลา เพราะจริง ๆ แล้วเปลือกสมองยังทำงานตามปกติอยู่ หมายความว่าเขาได้ยินทุกอย่างที่พวกเธอพูด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงสนับสนุนให้พวกเธอพูดมากขึ้น บอกเล่าเรื่องราวที่สำคัญและน่าประทับใจให้เขาฟัง เพื่อเร่งปลุกเขาให้ตื่น”
“หมอเย่คะ จากสถานการณ์ปัจจุบันของเขา หมายความว่าเขากำลังจะฟื้นแล้วใช่ไหม?” หลินเซี่ยถามหมอแผนจีนเย่อย่างคาดหวัง
“ยังยืนยันแน่ชัดไม่ได้หรอก” หมอแผนจีนเย่ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน และไม่ลืมกำชับเตือน
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้เซี่ยหลานอยู่ดูแลลูกก็แล้วกัน คอยอยู่ใกล้ ๆ เขาเอาไว้และสังเกตปฏิกิริยาทุกอย่างให้ดี ฉันจะโทรหาเย่ไป๋ทีหลัง”
เย่ไป๋เคยเป็นหมอเจ้าของไข้ของเสิ่นอวี้หลง ทั้งยังเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา
เย่ไป๋ย่อมรู้ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสิ่นอวี้หลง
แม้ว่าหมอเย่จะเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์แผนจีน แต่เขาไม่เคยปฏิเสธหรือต่อต้านการแพทย์แผนตะวันตก ในทางกลับกัน เขาสนับสนุนการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีนและแผนตะวันตกอย่างแข็งขัน
เนื่องจากการแพทย์แผนจีนมีข้อจำกัดในการรักษาโรคมากเกินไป สำหรับบางโรค การตัดสินโรคอย่างแม่นยำโดยอาศัยเพียงการตรวจชีพจรก็เป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่นในกรณีของเสิ่นอวี้หลงตอนนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะวินิจฉัยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทในสมองของเขา แต่ถ้าทำการสแกนภาพคลื่นกระแสไฟฟ้าและการทดสอบอื่น ๆ จะได้ผลที่ชัดเจนมากขึ้น
เย่ไป๋ได้ยินว่าเสิ่นอวี้หลงแสดงอาการตอบสนองเหมือนจะตื่นขึ้น เขาก็รีบจัดการกับงานในมือ และรีบตรงไปหาอย่างรวดเร็ว
“เย่ไป๋ เธอคิดว่าควรพาเสิ่นอวี้หลงไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดไหม? ชีพจรของเขาไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่นัก แต่การทำงานอื่น ๆ ของระบบในร่างกายไม่ได้มีปัญหา เขาฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอใช้เครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาลเพื่อสแกนดูภายในสมองได้นะ ดูว่าเส้นประสาทมีการซ่อมแซมอย่างไรบ้าง”
เย่ไป๋บอกว่า “อารอง คืนนี้เรารอดูอาการเขาอีกสักคืนดีกว่าครับ ในสถานการณ์แบบนี้ ทางที่ดีอย่าเพิ่งด่วนขยับเขยื้อนร่างเขามากเกินไป ผมจะเก็บตัวอย่างเลือดของเขาไปทดสอบดูก่อน จะยังไม่ทำการทดสอบอื่นใดในตอนนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ผมค่อยเข้าแล็บอีกครั้ง”
เย่ไป๋เจาะเลือด เก็บตัวอย่างที่ได้กลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำการทดสอบ ในขณะที่เซี่ยหลานวางแผนว่าจะอยู่ดูแลเสิ่นอวี้หลง
จากข้อมูลของหมอแผนจีนเย่และเย่ไป๋ ระบุได้ว่าเสิ่นอวี้หลงมีโอกาสสูงที่จะฟื้นขึ้นมาในเวลาอันสั้น
หลินเซี่ยเพิ่งได้ยินหมอแผนจีนเย่พูดว่าเสิ่นอวี้หลงสามารถรับรู้ในสิ่งที่พวกเขาพูดคุยด้วย ถึงแม้ว่าภายนอกจะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม
บางทีอาจเป็นผลมาจากการกระทำอันรุนแรงของเสิ่นอวี้อิ๋งในการพยายามฆ่าเสิ่นอวี้หลง ทำให้อารมณ์ของเสิ่นอวี้หลงที่กำลังหลับไหลอยู่เกิดความผันผวน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอแค่ได้รู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เสิ่นอวี้หลงจะตื่นขึ้นมา นี่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับทุกฝ่าย
หลินเซี่ยจับมือเซี่ยหลาน ให้กำลังใจทั้งเซี่ยหลานและตัวเธอเอง “แม่คะ ฉันบอกแล้วว่าอวี้หลงจะต้องอาการดีวันดีคืนและตื่นขึ้นมาแน่ ๆ”
เซี่ยหลานรู้สึกอ่อนไหวมากในเวลานี้ “ตราบใดที่เขาตื่นขึ้นมา ฉันไม่ลังเลเลยแม้ต้องจ่ายด้วยอะไรก็ตาม”
หล่อนตั้งตาคอยการตื่นขึ้นมาของเสิ่นอวี้หลงเช่นกัน
ผู้เฒ่าเซี่ยโทรหาเซี่ยตง แจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับอาการล่าสุดของเสิ่นอวี้หลง
เซี่ยตง เซี่ยไห่ และเฉินเจียเหอที่กำลังกินข้าวกันอยู่นอกบ้านต่างรีบไปที่นั่นหลังจากได้ยินข่าวดี
เฉินเจียเหอรีบวิ่งเข้าไปก่อน ทันทีที่เขาเข้าไปในลานบ้าน ก็เห็นหลินเซี่ยยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับอุ้มหู่จือเอาไว้ ส่วนผู้เฒ่าเซี่ยก็รออยู่ที่หน้าประตูด้วยเช่นกัน
เฉินเจียเหอเดินไปหาหลินเซี่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง “เซี่ยเซี่ย เมื่อกี้นี้ผมได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวว่าอวี้หลงตื่นแล้วจริงเหรอ?”
“ยังไม่ตื่นค่ะ แต่แสดงอาการเหมือนจะตื่นแล้ว” หลินเซี่ยตอบ
“โอ้ ยังไม่ฟื้นเหรอ?” เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาแจ้งข่าวอย่างชัดเจนตอนรับโทรศัพท์เมื่อครู่ คิดว่าเสิ่นอวี้หลงเพิ่งตื่นเสียอีก
หู่จือเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฉินเจียเหอ พูดอย่างชัดเจนว่า “พ่อฮะ ผมเห็นแบบนั้นจริง ๆ นิ้วของน้าขยับจริง ๆ ผมมั่นใจว่าตัวเองตาไม่ฝาด”
หลินเซี่ยอธิบายให้พวกเขาฟังเสริม “ครั้งแรกที่หู่จือสังเกตเห็นว่านิ้วของอวี้หลงกระดิก หมอเย่ก็มาที่นี่เพื่อเก็บตัวอย่างเลือดไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำการทดสอบแล้ว ตอนนี้ลุงหมอเย่กำลังรักษาเขาอยู่ค่ะ”
“หวังว่าพวกเราคงได้ยินข่าวดีในเร็ว ๆ นี้”
หมอแผนจีนเย่บอกว่าไม่อยากให้คนเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของเสิ่นอวี้หลงมากเกินไปเพราะกลัวปนเปื้อนเชื้อโรค ดังนั้นทุกคนจึงออกมารออยู่นอกสนาม
เดิมทีหลังจากที่เซี่ยหลานออกมาจากสถานีตำรวจในวันนี้ หล่อนก็รู้สึกเศร้าใจมาก โลกทั้งใบดูเหมือนจะพังทลายลง อีกทั้งภาวะอารมณ์ก็ใกล้จะพังทลายลงเต็มที
พออาการของเสิ่นอวี้หลงมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นในเวลานี้ สภาพจิตใจของเซี่ยหลานจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หมอแผนจีนเย่ทำการฝังเข็มให้เสิ่นอวี้หลง แล้วตรวจชีพจรอีกครั้ง คราวนี้ชีพจรกลับมามีเสถียรภาพแล้ว
จนถึงช่วงบ่าย เสิ่นอวี้หลงกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย
หมอแผนจีนเย่ออกมาส่งคนออกไป “เอาล่ะ พวกเธอแยกย้ายกลับไปก่อน ไว้ถ้ามีความคืบหน้าฉันจะแจ้งข่าวให้ทราบ คนออกันอยู่ที่นี่เยอะเกินไป ไม่เอื้อต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ”
หลินเซี่ยจับมือเซี่ยหลานแล้วพูดเบา ๆ “แม่คะ เราต้องมั่นใจเข้าไว้ว่าอวี้หลงจะต้องตื่นขึ้นมาแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก็ตาม แม่ต้องรีบบอกฉัน แล้วฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่นะคะ”
ดวงตาเซี่ยหลานรื้นหยาดน้ำ มองหลินเซี่ยด้วยอารมณ์อ่อนไหว “เซี่ยเซี่ย ขอบคุณนะ กลับไปดูแลลูก ๆ ให้ดีเถอะ ไว้ฉันจะโทรหาถ้ามีข่าวดี”
เซี่ยตงบอกว่าเขาค่อยตามออกไปทีหลัง ขอให้เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ กลับไปก่อน
ระหว่างทางกลับ เซี่ยไห่ก็ถอนหายใจ “ในที่สุดก็มีข่าวดีเกิดขึ้นซะที ฉันอดรู้สึกเศร้าตามไม่ได้เมื่อเห็นว่าวันนี้พี่เซี่ยหลานหน้าตาซีดเซียวแค่ไหน สมัยสาว ๆ หล่อนเคยสวยและโดดเด่นมาก แต่กลับต้องผ่านความทุกข์อย่างสาหัสเพราะได้มาเจอพบกับคนชั่ว ช่างน่าสงสารจริง ๆ”
เสิ่นเถี่ยจวินและเสิ่นอวี้อิ๋งต่างก็ติดคุกทั้งคู่ เสิ่นอวี้หลงจึงกลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงสิ่งเดียวของเซี่ยหลาน
โชคดีที่สวรรค์มีตา ในขณะที่เสิ่นอวี้อิ๋งกำลังจะวางยาเสิ่นอวี้หลง เอ้อร์เลิ่งก็ได้มาเห็นทันเวลา เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเสิ่นอวี้หลงจริง ๆ พวกเขาก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าเซี่ยหลานจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร
เมื่อกล่าวถึงประสบการณ์ของเซี่ยหลาน หลินเซี่ยก็รู้สึกหนักใจมากเช่นเดียวกัน “ใช่แล้ว แม่ของฉันเจอคนชั่วร้ายทำลายชีวิตของหล่อนจนป่นปี้ ฉันหวังว่าอวี้หลงจะฟื้นขึ้นมาในไม่ช้า และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างดีในอนาคต ส่วนปีศาจพวกนั้นก็ปล่อยให้ถูกพาตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไป อย่าได้ออกมาทำร้ายคนอื่นอีกเลย”
เสิ่นอวี้อิ๋งกล้าวางยาน้องชายตัวเอง ผลการตรวจพิสูจน์บ่งชัดว่าผงนั้นมีส่วนผสมของสารเสพติด นี่ถือเป็นข้อหาพยายามฆ่า นอกจากนี้หล่อนยังเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีลักพาตัวหู่จือ นั่นแปลว่าหล่อนจะถูกตัดสินลงโทษในข้อหาก่ออาชญากรรมหลายกระทง เกรงว่าน่าจะออกมาไม่ได้ภายในแปดถึงสิบปี
นอกจากนี้ยังมีถังหลิงและเสิ่นเสี่ยวเหมย การที่พวกหล่อนโจมตีหู่จือ ก็เทียบเท่ากับการหยามหน้าตระกูลเฉิน
ผู้เฒ่าเฉินผู้ยึดมั่นในความซื่อตรงไม่ฉ้อฉลมาโดยตลอด ถึงกับเริ่มใช้เส้นสายที่ตัวเองมีเพื่อกดดันเจ้าหน้าที่รัฐ
ในชาตินี้ ผู้หญิงทั้งสามคนนั้นไม่น่าจะได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีก