บทที่ 302 ภาพวันสิ้นโลก
ทะเลเพลิงคือสถานที่ของเพลิงสีม่วงพิสดาร แม้จะถูกพบแก่นแท้แล้ว แต่มันไม่ได้ตื่นตระหนก กลับตัดสินใจอย่างเลือดเย็น ตัดขาดส่วนที่เชื่อมต่อกับรากดอกบัวไฟ รวมถึงเมล็ดบัวเล็ก ๆ นั้นด้วย จากนั้นเปลวไฟทั้งหมดก็กลับเข้าไปในกองเพลิงอีกครั้ง
กระบวนการนี้รวดเร็วมาก จนหลิงเยว่ยังไม่ทันเห็นว่ามันลงมืออย่างไร แก่นแท้ของมันก็หายไปแล้ว
ผืนทรายชั้นล่างสุดของทะเลทรายต้องห้ามถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลเพลิงสีม่วง หากต้องการหาแก่นแท้ของเพลิงสีม่วงพิสดารจากที่นี่ คงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร…
หลิงเยว่อึ้งไปแล้ว
สมแล้วที่เป็นเพลิงที่มีจิตวิญญาณ เมล็ดบัวเล็ก ๆ ที่ตั้งใจจะใช้เป็นเครื่องมือติดตามก็ถูกตัดขาดไปแล้ว!
เพลิงสีม่วงพิสดารแสดงให้หลิงเยว่เห็นด้วยการกระทำว่านี่ยังไม่พอ ต่อไปจะยิ่งทำให้นางอึ้งกว่านี้อีก
ทะเลเพลิงกว้างใหญ่เช่นนี้ นอกจากส่วนที่ถูกดอกบัวไฟและเมล็ดบัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ ส่วนที่เหลือก็หายไปหมดสิ้น!
ผืนทรายชั้นบนสุดที่ไร้ซึ่งการค้ำจุนของทะเลเพลิงพลันถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งผืนทะเลทรายสั่นสะเทือน!
ตู้ม!
พายุทรายรุนแรงพัดกระหน่ำไปทั่วทะเลทรายต้องห้าม
“ทุกคนรีบหนีเร็วเข้า!”
“ใจกลางทะเลทรายถล่ม พายุใหญ่กำลังจะมาแล้ว!”
“รีบหนีเร็วเข้า!”
…
ผู้บำเพ็ญที่เข้ามาในทะเลทรายต้องห้าม มองเห็นฝุ่นทรายที่พัดมาแต่ไกล พวกเขาร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว เตือนมนุษย์ที่ยังคงอยู่ในทะเลทรายเสียงดัง
ทะเลทรายต้องห้ามมักเกิดพายุทรายและฝูงสัตว์ร้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ขนาดมหึมาเช่นนี้ ราวกับจะกลืนกินดินแดนทางตอนเหนือทั้งหมด พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
พายุหมุนพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับจะเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ลูกแล้วลูกเล่า…
ผู้บำเพ็ญที่เห็นภาพนี้ ต่างพากันวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในทะเลทรายต้องห้ามต่างพากันหลบหนีเช่นกัน
ราวกับเป็นภาพวันสิ้นโลก
ทั่วทั้งทะเลทรายต้องห้ามกำลังโกลาหล พายุทรายนับไม่ถ้วนพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ปกคลุมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีดำทะมึน แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในเมืองฮั่วหยางซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปยังมองเห็น
ทั้งเมืองสั่นสะเทือน ลมพายุพัดแรงกว่าที่เคยเป็นมา
บนกำแพงเมือง ทหารชุดแดงคนหนึ่งชี้ไปที่ภาพอันน่าสะพรึงกลัวของทะเลทราย
“ท่านรองเจ้าเมืองน้อยของพวกเรา… ดูเหมือนจะเข้าไปในทะเลทราย” น้ำเสียงของหัวหน้ากลุ่มสั่นเครือ
“ว่ากันว่าเข้าไปสำรวจพลังปีศาจ!”
“จะทำอย่างไรดี พาคนเข้าไปช่วยไหม?”
“เข้าไปงั้นหรือ?”
สมาชิกในกลุ่มมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าหากเข้าไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะหาท่านรองเจ้าเมืองน้อยไม่พบ พวกเขาคงต้องตายอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน!
“พาคนไปสองกลุ่มก่อน อย่าเข้าใกล้ทะเลทรายมากเกินไป บรรดาพี่น้องร่วมสำนักของท่านรองเจ้าเมืองน้อยล้วนแข็งแกร่ง คงไม่ตายง่าย ๆ จำไว้ว่าพวกเราแค่ไปรับพวกเขากลับมาเท่านั้น” รองเจ้าเมืองอี้เหิงกล่าวอย่างใจเย็น
ซูซวง เจ้าเมืองของพวกเขากำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของม่านพลังสังหารสิบแปดชั้นในสนามรบโบราณเฉียนซี หลิงเยว่รองเจ้าเมืองน้อยของพวกเขาก็ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก เขาจึงต้องรับผิดชอบทุกอย่างภายในเมือง
“ข้าจะพาคนไปกลุ่มหนึ่ง ไปรับท่านรองเจ้าเมืองน้อย”
หัวหน้ากลุ่มที่สิบแปดของทหารชุดแดง เหลยซาซึ่งเป็นคนที่เคยพาหลิงเยว่มาที่เมืองฮั่วหยางเอ่ยปาก
“กลุ่มที่เก้าของพวกเราจะไปด้วย!”
อีกกลุ่มหนึ่งก้าวออกมา
“จำไว้ ไปรับเป็นหลัก อย่าทำตัวโง่เง่าวิ่งเข้าไปตาย!” รองเจ้าเมืองอี้เหิงกลัวยิ่งนักว่าคนใจร้อนสองคนนี้จะทำเรื่องโง่เขลา จึงย้ำอีกครั้ง
“รู้แล้ว พวกข้าไม่ได้โง่” หัวหน้ากลุ่มที่เก้าตอบอย่างขอไปที ก่อนจะเริ่มรวมพล
เมืองฮั่วหยางเปิดใช้งานโล่ป้องกันขนาดใหญ่ พื้นดินที่สั่นสะเทือน… จึงเริ่มสงบลง แต่ในเวลานี้ ทั่วทั้งดินแดนทางตอนเหนือถูกปกคลุมด้วยผืนทรายสีเหลือง
ชาวเมืองเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสัตว์อสูรหลายตัวถูกพัดขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันดิ้นรนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่อาจต้านทานแรงลมได้
“สวรรค์! ข้าอาศัยอยู่ในดินแดนทางตอนเหนือมาสองร้อยปีแล้ว ยังไม่เคยพบพายุทรายที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน!”
“หรือว่าจะเป็นปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลทรายต้องห้ามก่อกบฏขึ้น!”
“ไม่น่าใช่การก่อกบฏของปีศาจ ดูเหมือนจะเป็นการลงโทษของสวรรค์มากกว่า…”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ พายุที่พัดกระหน่ำไปทั่วดินแดนทางตอนเหนือ สร้างความตื่นตระหนกให้กับโลกของผู้บำเพ็ญ ผู้ที่ชอบดูความวุ่นวายหรือผู้บำเพ็ญที่ฝันว่าจะมีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้น พวกเขาเพิ่งออกมาจากดินแดนตะวันตกก็รีบมุ่งหน้าสู่ดินแดนทางตอนเหนือทันที
ทหารชุดแดงสองกลุ่มในเมืองฮั่วหยางรวมตัวกันเรียบร้อย รองเจ้าเมืองอี้เหิงกำลังจะเปิดโล่ป้องกันเพื่อให้พวกเขาออกไป ทันใดนั้น…
เสียงคำรามของมังกรดังกึกก้องไปทั่วแผ่นดิน ในเสียงคำรามยังผสมปนเปกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายอื่น ๆ ดังก้อง!
“นั่นมังกรหรือ?”
ผู้บำเพ็ญตาไว มองทะลุผืนทรายไปเห็นมังกรดำเก้าตัว มังกรสีม่วงเข้มและสีเขียว เต่าดำประกายสีทองอร่าม และสัตว์ขนาดยักษ์ที่ลุกเป็นไฟเหยียบอยู่บนก้อนเมฆเพลิง
“เป็นสัตว์เทพโบราณอิงหลง ชิงหลง เสวียนอู่ และกิเลนไฟ!”
“ไม่ใช่! จำนวนไม่ถูก ทำไมถึงมีอิงหลงสองตัว ชิงหลงสามตัว เสวียนอู่และกิเลนไฟอย่างละสองตัว?!”
สัตว์เทพโบราณเก้าตัวปะทะกับมังกรดำเก้าตัว!
ไม่แปลกใจเลยที่จะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้!
“เป็นหลิงเยว่!”
รองเจ้าเมืองอี้เหิงรู้เรื่องชาแปลงร่างที่หลิงเยว่คิดค้นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตรงกับสัตว์เทพโบราณสี่ชนิดพอดี ส่วนมังกรดำเก้าตัว คงเดาได้ไม่ยากว่ามาจากฝีมือของราชินีปีศาจแน่นอน!
ที่แท้ราชินีปีศาจหนีมาที่ดินแดนทางตอนเหนือของพวกเขา!
“ปล่อยข้าออกไป ข้าอยากไปดูมังกรต่อสู้ตัวเป็น ๆ!”
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระดับนี้ มองดูอยู่ไกล ๆ คงไม่สะใจพอ ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในโล่ป้องกันต่างเลือดลมพลุ่งพล่าน แม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถเข้าไปใกล้ ๆ แล้วส่งเสียงเชียร์ให้กับสัตว์เทพโบราณได้!
แต่อี้เหิงจะยอมได้อย่างไร?
ไม่เห็นหรือไงว่า สัตว์อสูรตัวใหญ่เท่าภูเขายังถูกพัดปลิวได้?
ออกไปตอนนี้ก็เท่ากับไปหาที่ตาย!
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเรายังต้องไปช่วยเหลือหรือไม่?” สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งถามอย่างแผ่วเบา
มังกรจริงกับมังกรปลอมต่อสู้กัน พวกเขาจะเข้าไปแทรกแซงได้อย่างไร?
“ปล่อยข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้!”
โล่ป้องกันภายนอกเมืองฮั่วหยางถูกชนกระแทกด้วยตะขาบสีเขียวขนาดใหญ่ จนสั่นสะเทือนไปทั้งโล่ จากนั้นตะขาบตัวนั้นก็ติดอยู่บนโล่ป้องกัน ลมพายุรุนแรงพัดหนวดของมันจนพันกันยุ่งเหยิง ดวงตากลมโตสีเขียวกะพริบถี่ ๆ
จู่ ๆ ตะขาบสีเขียวตัวใหญ่กลับโผล่มา ทำให้ผู้คนในเมืองฮั่วหยางคิดว่าถูกศัตรูโจมตี แต่เมื่อจำได้ว่าเป็นหัวหน้าตะขาบมรกต มุมปากของอี้เหิงพลันกระตุก แล้วรีบเปิดโล่ป้องกันทันที ในขณะที่หัวหน้าตะขาบมรกตบินเข้ามา โล่ป้องกันก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นเพียงพริบตา แต่หนึ่งในสามของอาคารในเมืองฮั่วหยางนั้นถูกปกคลุมด้วยผืนทรายสีเหลืองแล้ว
ทันทีที่หัวหน้าตะขาบมรกตเข้ามาในเมืองฮั่วหยาง เขาก็กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วทรุดลงกับพื้น
“เจ้าทิ้งท่านรองเจ้าเมืองน้อยแล้วหนีมาคนเดียวอย่างนั้นรึ?!” เหลยซาคว้าคอเสื้อของหัวหน้าตะขาบมรกต แล้วถามอย่างเอาเรื่อง
หัวหน้าตะขาบมรกตมองเหลยซาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ากล้ามองข้าแบบนี้หรือ? เป็นเจ้ามนุษย์เปราะบางผู้นั้นให้ข้าพาลูกศิษย์ของนางออกมาก่อนต่างหาก!”
พูดจบ หัวหน้าตะขาบมรกตก็อ้าปากคายฮวนฮวนออกมาต่อหน้าทุกคน พร้อมกับหู่พั่วด้วย
เหลยซาเห็นเด็กน้อยสองคน จึงยอมปล่อยมืออย่างเซ็ง ๆ เขาคิดว่าหัวหน้าตะขาบมรกตทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นจริง ๆ เสียอีก
“ขอโทษ!”
“ขอโทษที่ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป”
หัวหน้าตะขาบมรกตยอมให้อภัยเหลยซาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะทิ้งเด็กน้อยสองคนไว้ แล้วคลานไปหาของกิน บินมาตั้งไกล ต้องกินให้อิ่มท้องเสียหน่อย!
เด็กน้อยสองคนสบตากับเหล่าคนตัวโตโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน