ตอนที่ 526 ตกใจ
ศีรษะที่งดงามลอยผ่านหน้าพระพักตร์จักรพรรดิหย่งอัน เลือดสดในปากของเขาพุ่งโดนพระองค์ทั้งตัว
จมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ตัวเปียกโชกราวกับตากฝนเลือด ชายหนุ่มตรงหน้าดูเหมือนคุ้นเคยแต่ก็ไม่รู้จัก ดาบยาวในมือเปล่งประกายแสงเยือกเย็นวาววับ
“เจ้า…” จักรพรรดิหย่งอันทรงเอ่ยปาก แต่กลับเหมือนกับมีบางอย่างจุกอยู่ในอก ทำให้พระองค์หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็หน้ามืดล้มลง
“ฝ่าบาท!” โจวซานตื่นตระหนกหน้าถอดสี เขารีบประคองจักรพรรดิหย่งอันขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “คุ้มกัน รีบคุ้มกัน!”
องครักษ์จิ่นหลินและองครักษ์จินอู่ที่อยู่สองข้างขึ้นหน้า มองเว่ยหานอย่างระมัดระวัง
เหล่าขุนนางตกตะลึงอ้าปากค้าง ทุกคนแข็งทื่อดังหุ่นไก่
เว่ยหานถือดาบเดินขึ้นหน้า
เลือดบนปลายดาบหยดลงมา ทั้งๆ ที่มีเพียงไม่กี่หยด แต่กลับทำให้เหล่าองครักษ์ถอยหลังพร้อมกันโดยสัญชาติญาณ
ฆ่าราชครูในดาบเดียวต่อหน้าฝ่าบาทและขุนนาง สำหรับทุกคนแล้ว ผลกระทบจากการโจมตีเช่นนี้หนักหนานัก กระทั่งพูดได้ว่าทำลายจิตใจของใครหลายคน
นั่นเป็นถึงราชครูเชียวนะ เป็นเทพผู้สามารถเรียกลมเรียกฝนและตัดสินความเป็นความตาย เขายังเป็นคนเดียวที่สามารถนั่งต่อหน้าฝ่าบาทได้
ไคหยางอ๋องกลับสังหารเทพในดาบเดียว?
เว่ยหานเช่นนี้นำพาความกดดันมาให้ทุกคนยิ่งนัก
“นักพรตปีศาจถูกกำจัดแล้ว โจวกงกงเรียกคนคุ้มกันมาทำไม เวลาแบบนี้ต้องเรียกหมอหลวงมิใช่หรือ” เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดปลายดาบเบาๆ
โจวซานกระตุกมุมปากไม่หยุด เขาตะโกนสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง “เรียกหมอหลวง!”
ไม่นานหมอหลวงกลุ่มหนึ่งก็ถือกล่องยาเข้ามาและพาจักรพรรดิหย่งอันที่ยังสลบไป
หน้าประตูวังเหลือเพียงเหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา
เถาซั่วอัครมหาเสนาบดีรวบรวมความกล้าเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วพูดเสียงขรึมว่า “ท่านอ๋องถือดาบต่อหน้าองค์จักรพรรดิได้อย่างไร นี่ทำให้จักรพรรดิทรงตกพระทัย!”
เว่ยหานเงยหน้าขึ้น มองไปข้างหน้า
เหล่าขุนนางหันไปมองตาม แต่กลับไม่รู้ว่าเขามองสิ่งใด
เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่แสดงความไม่เข้าใจและระแวดระวัง เว่ยหานก็พูดอย่างสงบว่า “ใต้เท้าเถาอาจจะลืมไปว่าเราอยู่นอกวัง ข้าคิดไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะพาทุกท่านมาต้อนรับที่นี่จึงไม่ทันปลดดาบออก”
เถาซั่วชะงัก เขาอยากจะตำหนิว่าอีกฝ่ายไร้เหตุผล แต่กลับไม่กล้าพูดออกไป ทว่ายามนี้ราชครูถูกสังหาร ฝ่าบาททรงสิ้นสติ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าขุนนาง หากเขาไม่พูดอะไรสักคำคงเป็นเรื่องน่าอายเกินไป
“เหตุใดท่านอ๋องจึงสังหารราชครูทันทีที่มาถึง”
เว่ยหานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่เพราะต้องการกวาดล้างคนชั่วข้างกายองค์จักรพรรดิหรือ”
เถาซั่วอดแย้งไม่ได้ “นี่เป็นเพียงคำหลอกลวงของขุนนางกบฏที่ก่อความวุ่นวายเหล่านั้นเท่านั้น!”
เว่ยหานเลิกคิ้ว น้ำเสียงเรียบกว่าเดิม “หากเป็นเช่นนี้ ราชครูตายไป โจรกบฏเหล่านั้นก็จะไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลเพื่อก่อกบฏอีกต่อไป ใต้เท้าเถาโมโหอะไรกันแน่”
เถาซั่วชะงัก
เอ๋ เหมือนกับว่าสิ่งที่ไคหยางอ๋องพูดก็มีเหตุผล
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเนื่องจากองครักษ์จิ่นหลินเข่นฆ่าเด็กสาวบริสุทธิ์ในเมืองหลวงย่อมเกี่ยวข้องกับราชครู ทว่าฝ่าบาทดันฟังเพียงราชครู บัดนี้ราชครูจากไปแล้ว เจ้าเมืองเหล่านั้นไม่สามารถใช้การกำจัดคนชั่วข้างกายองค์จักรพรรดิเป็นข้ออ้างอีกต่อไป ฝ่าบาทเองก็จะไม่ได้รับอิทธิพลจากราชครู พูดได้ว่าเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
เมื่อคิดเช่นนี้ จู่ๆ เถาซั่วก็ไม่โมโหแล้ว
เดี๋ยวก่อน ฝ่าบาททรงยังสลบอยู่!
เถาซั่วสีหน้าจริงจัง “แม้จะเป็นเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ของท่านอ๋องก็บุ่มบ่ามเกินไป ฝ่าบาท…”
เว่ยหานพูดแทรกเขาอย่างเย็นชา “ใต้เท้าเถา หากมีตรงไหนที่ข้าทำไม่เหมาะสมก็ควรเป็นเสด็จพี่สั่งสอนข้า ท่านว่าใช่หรือไม่”
เถาซั่วยังไม่ทันคิดคำโต้แย้งได้ เว่ยหานก็พูดต่อว่า “หากใต้เท้าเถากังวลว่าการตายของราชครูจะทำให้เกิดความวุ่นวาย ท่านมิต้องกังวลเลย กองทัพเฉาหยางนับหมื่นตั้งค่ายอยู่นอกเมือง สามารถสยบทุกสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น เหล่าขุนนางล้วนใจสั่น
ไคหยางอ๋องพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
กองทัพเฉาหยางนับหมื่น…ตราบใดที่คิดถึงจำนวนนี้ ไฟโทสะของเหล่าขุนนางต่างหายไปทันที เหลือเพียงหัวใจที่เต้นระส่ำ
ยังไม่ต้องพูดถึงทหารนับหมื่น สถานการณ์คับขันในบัดนี้ กองกำลังเฉาหยางเพียงไม่กี่พันก็สามารถเหยียบย่ำเมืองหลวงให้ราบเป็นหน้ากลองได้
เถาซั่วทำท่าจะพูดอะไรอีก เสนาบดีจ้าวที่ยืนข้างหลังเขาจึงแอบดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ
เสนาบดีชราลอบส่ายศีรษะ
เจ้าเถาซั่ว ยั่วยุไคหยางอ๋องผู้มีกองกำลังนับหมื่นไปทำไม ก็แค่สังหารราชครูมิใช่หรือ ให้เขาสังหารไปสิ
แม้เสนาบดีจ้าวมิได้พูดอะไร เถาซั่วกลับเข้าใจความหมายของสหายเก่าทันทีที่เขาดึงแขนเสื้อ เขากลืนคำพูดทั้งหมดลงไปทันที
แม้เหล่าจ้าวจะไม่มีความสามารถใด แต่ความสามารถในการหลบหลีกปัญหาไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้
“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเสด็จพี่ ใต้เท้าเถา ท่านว่าอย่างไรเล่า” เว่ยหานถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เถาซั่วอดพยักหน้าไม่ได้ “ท่านอ๋องพูดถูก”
“เช่นนั้นข้าจะเข้าวังพร้อมใต้เท้าเพื่อรอฟังข่าว”
เถาซั่วม่านตาหดลง เหลือบมองดาบยาวเล่มนั้นในมือของเว่ยหาน
ดาบยาวแหลมคม สีของคมดาบที่หนาและหนักชวนให้ผู้คนขนหัวลุก
“ท่านอ๋อง เข้าวังห้ามพกอาวุธ” เถาซั่วกัดฟันเตือน
เว่ยหานยกมือขึ้น ดาบยาวลอยขึ้นมาและปักลงตรงหน้าองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่ง
องครักษ์คนนั้นตกใจจนหน้าซีด ถอยหลังกรูด
เว่ยหานมองเขา พูดเสียงราบเรียบว่า “เจ้าช่วยข้าดูแลดาบให้ดี เมื่ออกจากวังแล้วข้าจะมาเอา”
“ขอรับ!” องครักษ์จิ่นหลินโพล่งตอบ ก่อนจะรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
ไคหยางอ๋องไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเขาเสียหน่อย เหตุใดเขาต้องตอบอย่างรวดเร็วเช่นนี้ด้วยนะ
ขณะที่คิดเช่นนี้ เขามองไปยังชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงินอีกครั้ง แต่กลับพบว่าคนๆ นั้นเดินตามขุนนางสำคัญสองสามท่านเข้าประตูวังไปแล้ว
องครักษ์จิ่นหลินจำนวนหนึ่งล้อมเข้ามาทันที มองดูดาบยาวที่เว่ยหานฝากไว้ด้วยความประหลาดใจและยำเกรง
“ดาบเล่มนี้ต้องคมมากแน่ๆ เลย”
“แน่นอน พวกเจ้าดูสีที่ตัวดาบสิ ถูกเลือดย้อมออกมาจนเป็นสีนี้…”
เมื่อเห็นมีคนบังอาจจะไปจับ องครักษ์นายนั้นก็ช่วยปกป้องดาบไว้ เขาเตือนว่า “อย่าซี้ซั้วจับ นี่คือดาบของไคหยางอ๋องนะ”
จังหวะนี้เขากลับรู้สึกภาคภูมิขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เว่ยหานในบัดนี้เข้าไปในตำหนักพร้อมกับเสนาบดีจ้าวและคนอื่นๆ ล้วนกำลังรอข่าวจักรพรรดิหย่งอัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด โจวซานก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อกวาดตามองทุกคนแล้ว สายตาก็หยุดลงที่เว่ยหาน
“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” เถาซั่วอดถามไม่ได้
โจวซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
คนอื่นๆ เริ่มร้อนรน “เหตุใดโจวกงกงไม่พูด ฝ่าบาทเป็นอย่างไรกันแน่”
ครานี้ทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อย ฝ่าบาทคงไม่ใช่… หากเป็นเช่นนี้ บ้านเมืองจะยิ่งวุ่นวาย!
ขณะที่คิดเช่นนี้ ทุกคนก็อดมองเว่ยหานไม่ได้
เว่ยหานยังคงมีสีหน้าสงบ รอคำตอบจากโจวซานอย่างอดทน
โจวซานภักดีต่อจักรพรรดิหย่งอัน เมื่อเห็นไคหยางอ๋องสงบเช่นนี้ก็รู้สึกทั้งโกรธและเกลียดชัง ทว่าสถานการณ์บังคับให้เขาต้องอดทนเอาไว้เท่านั้น
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ โจวซานก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วขอรับ”
ขุนนางใหญ่สองสามท่านเผยสีหน้าโล่งอก จากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงของโจวซานเปลี่ยนไป “แต่ว่าหมอหลวงบอกว่าตอนนี้ฝ่าบาทต้องพักรักษาตัว ใต้เท้าทุกท่านกลับไปก่อนเถอะ”
พักรักษาตัว?
ทุกคนส่งสายตาให้กัน
หากเป็นเช่นนี้ สรุปว่าฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือไม่
ขณะที่ครุ่นคิดเช่นนี้ ทุกคนก็กำลังจะถอยออกไป
โจวซานเป็นคนที่ฝ่าบาททรงเชื่อใจมากที่สุด เป็นผู้ควบคุมอำนาจที่แท้จริงของที่ว่าการยี่สิบสี่แห่ง แม้แต่ฉีเหยียนขันทีผู้ถือตราประทับยังต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกับเขา หากครานี้พวกเขาโวยวายจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ถูกโจวซานพูดต่อหน้าฝ่าบาทเพียงสองสามคำเกรงว่าจะไม่ดี
เว่ยหานกลับยืนนิ่ง “ข้าขอเข้าเฝ้าเสด็จพี่ได้หรือไม่”