ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 305 กลายเป็นเมืองร้างในพริบตา

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 305 กลายเป็นเมืองร้างในพริบตา

เมื่อพวกเขามาถึงนอกเมืองฮั่วหยาง หลิงเยว่ไม่อาจทนทานต่อไปได้ ร่างกายพลันแปรเปลี่ยนกลับเป็นมนุษย์

ทั้งสิบร่างร่วงหล่นจากฟากฟ้าราวกับเกี๊ยวที่ถูกโยนลงในหม้อ

หัวหน้าตะขาบมรกตตาไว รีบนำกำลังพลออกไปนอกเมือง แต่พบเพียงร่างที่นอนระเนระนาด ไม่อาจจำแนกได้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง แล้วรีบพาทุกคนเข้าเมืองไป

“ท่านรองเจ้าเมืองน้อยกลับมาแล้ว!”

แม้หัวหน้าตะขาบมรกตจะจำไม่ได้ แต่ชาวเมืองล้วนรู้จักท่านรองเจ้าเมืองน้อยของพวกเขาเป็นอย่างดี!

ทุกคนต่างพากันหลีกทางให้หัวหน้าตะขาบมรกตที่กำลังแบกหลิงเยว่ ให้เขาเดินได้สะดวก

หลิงเยว่ไม่ได้หมดสติไป เพียงแต่ร่างกายอ่อนล้า บวกกับพลังที่ถูกดอกบัวเพลิงสูบไปจนหมดสิ้น จึงไม่อาจลุกขึ้นเดินได้…

“พวกเจ้าเอาโอสถฟื้นปราณมาให้ข้าที”

เหล่าทหารชุดแดงได้ยินดังนั้น ต่างไม่รีรอ มอบโอสถให้โดยพลัน

“แล้วยังมีหินวิญญาณอีก…” หลิงเยว่เหลียวมองไปยังรองเจ้าเมืองอี้เหิง

“เท่าใด?”

“ทั้งหมดที่มีในเมือง”

“!!!” อี้เหิงตกใจยิ่งนัก

คิดจะรีดเค้นทั้งเมืองตั้งแต่มาถึงเลยรึ!

อี้เหิงปวดใจยิ่งนัก แต่เขายังนำหินวิญญาณมาให้หลิงเยว่แต่โดยดี

หลายปีมานี้เมืองฮั่วหยางเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก หินวิญญาณที่สะสมไว้มีจำนวนมากมาย ไม่เพียงแต่ใช้หนี้ระบบให้หลิงเยว่จนหมดสิ้นแล้ว ยังสามารถซื้อโอสถฟื้นปราณขั้นเทพได้ถึงสิบเม็ด

โอสถฟื้นปราณขั้นเทพสิบเม็ด เพียงพอกับที่ดอกบัวเพลิงต้องการแล้วกระมัง?

หลิงเยว่ทานโอสถฟื้นปราณขั้นเทพเข้าไป พลังก็ฟื้นฟูในทันที จากนั้นนางจึงเริ่มใช้วิชาการรักษา

ฉีซิวซีที่สลบไสลอยู่ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว พลางออกกระบวนท่าต่าง ๆ เพื่อทดสอบร่างกายของตนเอง แต่ยิ่งขยับร่างกายมากเท่าไหร่ แววตาของเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

“ศิษย์น้องหลิง เจ้าใช้โอสถใดกับข้า?”

“วิชาการรักษาเจ้าค่ะ!”

ชั่วพริบตาที่สือเชี่ยนฟื้นตัว เขามองนางด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

เมื่อโม่จวินเจ๋อและผู่ตานสบตากัน ความตกตะลึงในแววตาพวกเขาพลันปรากฏ วิชาเยียวยารักษาของศิษย์น้องหลิงไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แม้แต่อาการบาดเจ็บภายในยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน นี่ยังไม่นับ… แม้แต่ปราณและพละกำลังที่เหือดแห้งก็ยังถูกเติมเต็ม!

“นี่มันวิชารักษาอันใดกัน ดูทรงพลังยิ่งนัก!”

“ย่อมเป็นเคล็ดวิชาหมื่นชีวางอกเงยอย่างแน่นอน!”

เคล็ดวิชาหมื่นชีวางอกเงยของหลิงเยว่ ไม่เพียงแต่มีวิชาเร่งการเจริญเติบโต วิชาปรสิต วิชาพรางตัวเท่านั้น ยังมีวิชาการรักษา วิชาฟื้นฟู… แล้วยังมีวิชาชุบชีวิต!

“วิชาชุบชีวิต!”

“แม้กระทั่งวิชานี้ก็ยังมีอีกหรือ!”

“ระบบ ท่านบอกข้ามาเถิด เหตุใดแต่ก่อนเคล็ดวิชาหมื่นชีวางอกเงย ไม่เห็นมีวิชาชุบชีวิตเช่นนี้!”

“เช่นนั้น วิชาการรักษาในตอนนี้ นับว่าเป็นการรักษาขั้นสูงแล้วหรือไม่”

“นับว่า… พอได้”

“พอได้?”

หลิงเยว่มิได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ แต่นางเปิดเคล็ดวิชาขึ้นอ่านด้วยตนเอง

‘มหาเวทเยียวยาหรือวิชาการรักษาขั้นสูง สามารถรักษาบาดแผลของผู้คนได้นับหมื่นในพริบตา’

เพียงแค่รักษาสหายทั้งเก้าคน หลิงเยว่ก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนชาไปทั้งตัว นับประสาอะไรกับคนนับหมื่น!

มันแค่พอใช้ได้นั่นแหละ!

ส่วนวิชาชุบชีวิตนั้นกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งข้อความใด ๆ ดังนั้น ‘มหาเวทเยียวยา’ ของนาง จึงยังนับว่าไม่อาจปลดผนึกได้อย่างสมบูรณ์

หลิงเยว่ถอนหายใจ แม้จะปลดผนึกได้จริง แต่เงื่อนไขในการใช้วิชาชุบชีวิต คงจะต้องเข้มงวดเป็นอย่างยิ่งกระมัง?

“ท่านรองเจ้าเมืองน้อยคงหิวแล้ว พวกข้าเตรียมอาหารเลิศรสไว้มากมาย เชิญท่านและสหายร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด!” องครักษ์เอ่ยอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะเชื้อเชิญหลิงเยว่ออกจากจวนเจ้าเมือง

ด้านนอกจวนผู้คนคลาคล่ำ หลิงเยว่กวาดสายตามองใบหน้าคุ้นเคย รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว

จากมาเกือบสิบปี นางรู้สึกราวกับผ่านไปภพชาติหนึ่ง

สิบปีผ่านไป นางก็ใกล้จะสามสิบแล้ว!

แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา หลิงเยว่พบกับใบหน้าบึ้งตึงของอี้เหิง

“ยิ้มหน่อยสิ หินวิญญาณแค่นั้น ข้าหาใช้คืนได้ไม่ยาก!”

หินวิญญาณแค่นั้น ที่หลิงเยว่พูดถึง ถือเป็นสมบัติที่เมืองฮั่วหยางสะสมมาตลอดสิบปี ใครจะไปคิดว่าเมื่อคนผู้นี้มาถึงก็ผลาญมันจนหมดสิ้น

อี้เหิงถามด้วยความหวังริบหรี่ “เจ้า… ใช้หมดแล้วหรือ?”

หลิงเยว่พยักหน้า

ความหวังสลาย อี้เหิงรู้สึกราวกับหัวใจแหลกสลายเป็นผุยผง

หลิงเยว่หัวเราะแหะ ๆ อย่างรู้สึกผิด

“ใจเย็นก่อนน่า แค่ขายชาแปลงกายหยดเดียว…”

“ไม่ได้!”

อี้เหิงรู้สึกโมโหยิ่งกว่าเดิม ชาแปลงกายของสัตว์เทพโบราณเช่นนี้ ยังกล้านำไปขายอีก นางบ้าไปแล้วหรือ!

โม่จวินเจ๋อเพิ่งจะนั่งลง หลิงเยว่ก็ยื่นมือออกมาหาเขา

“โล่ป้องกันหรือยันต์?”

หลิงเยว่ส่ายหน้า

“หากไม่ใช่สองอย่างนี้ คงต้องเป็นหินวิญญาณแล้ว”

คราวนี้กลับเป็นโม่จวินเจ๋อที่ส่ายหน้า “แหวนมิติถูกเผาจนหมดสิ้นแล้ว”

ตอนนี้เขากลายเป็นยาจกแล้ว

หลิงเยว่เบิกตากว้าง นางมองนิ้วมือทั้งสิบของโม่จวินเจ๋ออย่างไม่อยากเชื่อ และไม่พบแม้แต่เงาของแหวนมิติ

“แหวนมิติของพวกเราได้รับมาจากบรรพบุรุษเหมือนกัน ทำไมของข้าถึงไม่ถูกเผา แต่ของเจ้ากลับถูกเผาล่ะ?!”

โม่จวินเจ๋อรู้สึกสงสัยเช่นกัน

“ข้าไม่รู้”

คนทั้งแปดที่อยู่ด้านหลังได้ยินทั้งสองกำลังถกเถียงกันเรื่องแหวนมิติ ติงหลิวหลิ่วก็ร้องไห้โฮออกมา “ศิษย์น้องหลิง ข้าเก็บสะสมโอสถ สมุนไพรระดับสูง รวมถึงหินวิญญาณที่กำลังจะครบสองแสนล้านไว้ด้วย พวกมันหายไปหมดแล้ว!”

“!!!”

หลิงเยว่จ้องมองแหวนมิติของตนที่ยังคงอยู่ครบถ้วนพลางครุ่นคิด กล่าวคือ มีเพียงแหวนมิติของนางเท่านั้นที่มิได้ถูกเผา เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?

หรือเป็นเพราะดอกบัวเพลิง

อืม… เป็นไปได้ เพราะพลังของดอกบัวเพลิงมิใช่เปลวเพลิงธรรมดา

การเดินทางมายังทะเลทรายต้องห้ามในครั้งนี้ นอกจากกำจัดหมอกแดงได้แล้ว พวกเขายังขาดทุนย่อยยับ!

“รอให้ดอกบัวเพลิงกลับมาแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปกอบโกยความมั่งคั่งกลับมาให้ได้!”

“ไปกอบโกยที่ใดเล่า?” อวี้เจินเบียดอี้เหิงออกไป แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับหรี่ตาลง ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรอฟัง

หลิงเยว่แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “ความลับ”

ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น “…”

ช่างเถิด พวกเขาทานอาหารกันต่อดีกว่า

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทะเลทรายเป็นฝีมือพวกเจ้าใช่ไหม!”

ทั้งสิบคนต่างส่ายหน้าปฏิเสธ

เหตุการณ์วุ่นวายนี้ล้วนเกิดจากไฟสีม่วงพิสดารและหมอกแดงต่างหาก หากพวกเขาไม่ได้มาที่นี่ การต่อสู้ระหว่างไฟสีม่วงและหมอกแดงคงจะไม่เงียบสงบลงเช่นนี้

อี้เหิงเชื่อสนิทใจ แม้ทั้งสิบคนนี้จะแกร่งกล้าถึงขั้นแปลงกายเป็นสัตว์เทพโบราณได้ แต่ไม่มีทางสร้างความปั่นป่วนให้ทะเลทรายกลายเป็นภาพวันโลกาวินาศเช่นนี้ คงมีเพียงสัตว์เทพตัวจริงเท่านั้นจึงจะมีพลังทำลายล้างถึงเพียงนี้

ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับอาหาร แสงไฟจากในร้านก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงจาง ๆ

อี้เหิงรีบวิ่งออกไปด้านนอก เงยหน้ามองท้องฟ้า

ท้องฟ้าในดินแดนทางตอนเหนือถูกย้อมเป็นสีม่วง คล้ายกับตอนที่เขตแดนลับสัตว์อสูรปรากฏขึ้น พร้อมกับแสงสีแดงที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า!

“หรือว่าจะมีดินแดนต้องห้ามโบราณปรากฏขึ้นอีกแล้ว!”

ผู้คนนอกร้านต่างพากันตื่นเต้นดีใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เขตแดนลับสัตว์อสูรปรากฏขึ้นเสียอีก ดินแดนลับแห่งนี้คือที่ใดกัน?

เหล่าผู้บำเพ็ญที่เดินทางจากดินแดนตะวันตกมายังดินแดนทางตอนเหนือ ต่างจ้องมองท้องฟ้าสีม่วงอยู่ไกล ๆ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นราวกับถูกรางวัลใหญ่ พวกเขามั่นใจว่าต้องมีสมบัติล้ำค่าหรือดินแดนลับที่ทรงพลังปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

“พวกเจ้าดูสิ นั่นมิใช่รูปร่างดอกบัวหรอกหรือ!”

แม้ดอกบัวเพลิงจะปรากฏเพียงชั่วครู่ แต่มิอาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของผู้บำเพ็ญไปได้ ครานี้ พวกเขายิ่งมั่นใจว่าจะต้องมีของวิเศษปรากฏขึ้นในทะเลทรายต้องห้ามอย่างแน่นอน!

“แต่ว่า ท่านรองเจ้าเมืองน้อยของพวกเรามิใช่เพิ่งกลับมาจากทะเลทรายต้องห้ามด้วยสภาพอิดโรยหรอกหรือ? หากมีของวิเศษจริง เหตุใดนางจึงกลับมาเล่า?”

“ท่านรองเจ้าเมืองน้อยมิใช่เพิ่งจะอยู่ขอบเขตปฐมวิญญาณหรอกหรือ? ข้าคาดการณ์ว่าเงื่อนไขในการเข้าสู่ดินแดนลับในครั้งนี้ จะต้องอยู่ขอบเขตทะยานเซียนขึ้นไปเป็นแน่!”

อี้เหิงฟังแล้วพลอยรู้สึกเร่าร้อนขึ้นมา เมืองฮั่วหยางเพิ่งจะกลายเป็นเมืองร้างเพราะหลิงเยว่ไปหยก ๆ บัดนี้กลับมีของวิเศษปรากฏขึ้นในทะเลทรายแล้ว เขาต้องไปดูให้เห็นกับตา!

อีกอย่าง หลิงเยว่ที่เป็นรองเจ้าเมืองน้อยผู้นี้กลับมาแล้ว หากนางไม่สะดวก ก็ยังมีสหายผู้เป็นยอดฝีมือคอยช่วยจัดการเรื่องราวภายในเมือง ไม่น่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอะไรได้!

เมื่อคิดได้ดังนั้น อี้เหิงจึงรีบวิ่งกลับไปที่โรงเตี๊ยม สั่งเสียเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มากมาย จากนั้นหันหลังกลับไปทันที โดยไม่ให้โอกาสหลิงเยว่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด

“เดี๋ยวก่อน!”

หลิงเยว่รีบวิ่งไล่ตามออกไปทันที

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท