ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 528 พานพบหน้า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 528 พานพบหน้า

อารมณ์ของแม่ทัพใหญ่ลั่วในตอนนี้เดือดดาลสุดขีด

เสียดายที่เขาเคยมีความคิดว่า ไคหยางอ๋องคิดจะสู่ขอบุตรสาวของเขา กระทั่งกองหนุนที่ปรากฏตัวขึ้นขณะหนีออกจากเมืองหลวงก็นึกว่าจะเป็นเจ้าเด็กนั่นที่ส่งมา

ผลลัพธ์ล่ะ สิ่งที่ได้มาจากการรอเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่การขอแต่งงาน แต่เป็นกองทัพใหญ่ที่ยกมาโจมตีพวกเขา!

“คนประเภทใดกัน ร่ำสุรา กินอาหารอร่อยของหอสุรามากมายไปเสียเปล่าแล้ว!” แม่ทัพใหญ่ลั่วตบโต๊ะด้วยความโมโห

“ไคหยางอ๋องร่ำสุราที่หอสุรานั้นจ่ายเงินนะเจ้าคะ” ลั่วเซิงพิจารณาตามเนื้อผ้า

แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงัก กวาดตามองไปรอบๆ แวบหนึ่งแล้วกดเสียงลงต่ำ “เซิงเอ๋อร์ ตอนนี้ลูกไม่อาจคำนึงถึงมิตรภาพเก่าได้นะ…”

ลั่วเซิงจนปัญญา “ท่านพ่อ ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ”

“กล่าวโดยสรุป เพื่ออำนาจแล้ว บุรุษสามารถโหดเหี้ยมอำมหิตได้” แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวซึ่งมีดวงหน้าสงบนิ่งแล้วถอนหายใจแรง “เซิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้เห็นเขาเป็นไคหยางอ๋องที่มาร่ำสุราในมีหอสุราคนนั้นน่ะถูกต้องแล้ว”

ลั่วเซิงหลุบตา พยักหน้าน้อยๆ “ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นเป็นเช่นนี้ก็วางใจเล็กน้อย เขาลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “กองทัพเฉาหยางของไคหยางอ๋องนั้นรับมือได้ยาก พ่อจะไปจัดการสักหน่อย”

เมื่อนึกถึงการมาบรรจบกันของไคหยางอ๋องกับเหลยหมิงแล้วเขาก็ปวดเศียรเวียนเกล้า

ลั่วเซิงมองส่งแม่ทัพใหญ่ลั่วจากไปแล้วเดินไปข้างหน้าต่าง ดอกพุดซ้อนนอกหน้าต่างเบ่งบานตระการตา กลิ่นหอมของบุปผาถูกสายลมพัดโชยเข้าสู่ปลายจมูก

สถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เดิมเป็นที่ว่าการเมือง

เสียงฝีเท้าดังลอยมาจากด้านหลัง ลั่วเซิงหมุนตัวกลับไป

ลั่วเฉินเดินเข้ามา “ท่านพี่ได้ยินข่าวแล้วใช่ไหม ไคหยางอ๋องนำทัพมาโจมตีแล้ว”

“ได้ยินแล้ว”

ลั่วเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองตาลั่วเซิงพลางถามว่า “ไคหยางอ๋องมาปราบปรามพวกเราจริงๆ หรือ”

“เหตุใดจึงถามเช่นนี้เล่า”

ลั่วเฉินพินิจมองสีหน้าของลั่วเซิงพลางเอ่ยอย่างพิจารณาว่า “บางที…เขาอาจจะแค่มาพบท่านพี่เท่านั้น”

“ด้วยการพากองกำลังทหารเกรียงไกรมาด้วยน่ะหรือ” ลั่วเซิงย้อนถาม

ลั่วเฉินถูกถามจนชะงัก แววตาฉายประกายตะลึง

เขานึกว่าพี่สาวจะมีความคิดเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่า นางกลับมีสติแจ่มชัดถึงเพียงนี้

ลั่วเซิงยกมือขึ้นตบบ่าลั่วเฉินเบาๆ

เด็กหนุ่มสูงกว่านางไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ดวงหน้ายังคงปรากฏความอ่อนวัย

ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้มีคนมากมายติดตามพวกเรา มอบชีวิตของตนเองและคนในครอบครัวให้ พวกเราทำได้เพียงวางแผนสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เตรียมการให้รอบคอบที่สุด ไม่อาจคาดหวังว่าจะโชคดีไม่ถูกลงโทษหรือถูกจับได้หลังจากกระทำความผิด”

“ข้ารู้” แน่นอนว่าลั่วเฉินเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี

เขาเพียงแค่…ห่วงว่านางจะไม่สบายใจ

นางกำลังคิดถึงคนผู้นั้นในบางครั้งที่เหม่อลอยสินะ?

แม่ทัพเหลยที่ตอนนี้ไปต้อนรับเว่ยหานด้วยตนเองนั้นรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก

เยี่ยมไปเลย กำลังทุกข์ใจเรื่องยากจะกำจัดลั่วฉือ ทัพหนุนก็มาถึงแล้ว!

“ท่านอ๋องลำบากแล้ว ข้าน้อยสั่งให้คนจัดเตรียมสุราและอาหารไว้แล้ว เพียงแต่ว่าค่อนข้างเรียบง่าย หวังว่าท่านอ๋องจะไม่รังเกียจนะขอรับ”

“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่เหลยมาก” เว่ยหานพยักหน้าขอบคุณ พร้อมปฏิเสธน้ำใจแสนกระตือรือร้นของแม่ทัพใหญ่เหลยอ้อมๆ “ข้าตั้งใจจะไปพบแม่ทัพใหญ่ลั่วก่อน”

แม่ทัพใหญ่เหลยตะลึง ตื้นตันใจยิ่ง “ท่านอ๋องเร่งเดินทางมานานขนาดนี้ พักผ่อนให้สบายก่อนสักหน่อย เรื่องทำสงคราม ไม่ต้องรีบร้อนลงมือเดี๋ยวนี้ก็ได้ขอรับ”

“ความคล่องแคล่วรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการทำสงคราม” เว่ยหานไม่ค่อยเห็นด้วยกับวาจาของแม่ทัพใหญ่เหลย

แม่ทัพใหญ่เหลยอึ้งอีกครั้งแล้วหัวเราะเสียงดัง “ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้อง ฤกษ์ดีสู้ฤกษ์สะดวกไม่ได้ ข้าน้อยจะยกทัพไปกับท่านอ๋อง ต่อสู้ตีเอาเมืองเหอหยางมาให้ได้ในคราวเดียว!”

เว่ยหานสีหน้าสงบนิ่ง “สองกองทัพมีความแปลกหน้าไม่เคยรบร่วมกันมาก่อน ยากจะแสดงศักยภาพการร่วมมืออันยอดเยี่ยมออกมาได้ ไม่สู้เอาแบบนี้เถอะ แม่ทัพใหญ่เหลยรวบรวมกำลังทหารกวาดทหารซึ่งเหลือรอดของเหอหนานอ๋องให้เรียบร้อย ทางเมืองเหอหยางนั้นมอบให้ข้าก็แล้วกัน”

แม่ทัพใหญ่เหลยได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าจัดการเช่นนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน

หลายวันมานี้ หากไม่มีเหอหนานอ๋องคอยขัดขวาง เขาคงจัดการลั่วฉือไปนานแล้ว ในเมื่อไคหยางอ๋องต้องการสู้กับลั่วฉือ เขาจะได้แบ่งคนไปจัดการกับเหอหนานอ๋องได้พอดี

“ทั้งหมดล้วนทำตามที่ท่านอ๋องสั่งขอรับ”

แม่ทัพใหญ่เหลยไม่ใช่คนมีนิสัยอืดอาดยืดยาดจึงยกทัพออกเดินทางทันที

เว่ยหานรับกาน้ำที่สวี่ซียื่นมาให้แล้วเงยหน้าดื่มไปสองสามคำ

สวี่ซีขมวดคิ้วถาม “ท่านอ๋อง ท่านจะสู้กับบิดาของคุณหนูลั่วจริงๆ หรือขอรับ”

สนามรบเป็นสถานที่ซึ่งขัดเกลาผู้คนมากที่สุด เด็กหนุ่มซึ่งเคยผ่าฟืนอยู่ลานด้านหลังมีหอสุรา ตอนนี้เติบโตเป็นองครักษ์ที่นับว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมคนหนึ่งแล้ว

เว่ยหานมองสวี่ซีด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทำไมหรือ”

สวี่ซีเม้มปาก กัดฟันเอ่ย “หากว่าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าไม่ไปขอรับ!”

เทียบกับความดื้อดึงยามอยู่หอสุราแล้ว เด็กหนุ่มซึ่งผ่านการฝึกฝนเริ่มเข้าใจความเกรงกลัวแล้ว ตอนนี้เขากลับปลุกความกล้าเอ่ยความคิดของตนออกมา “คุณหนูลั่วมีบุญคุณกับข้า ข้าไม่อาจเนรคุณได้ขอรับ”

เด็กหนุ่มกล่าวเช่นนี้พลางมองเว่ยหานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง คิดในใจว่า เขาคิดมาตลอดว่าท่านอ๋องกับคุณหนูลั่วมีความสัมพันธ์ที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน ที่แท้ก็บริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงนี้เชียวหรือ

เขาอดคิดถึงลานบ้านเล็กๆ นั่นไม่ได้ แม้ว่าจะมีเพียงต้นพลับน่าเกลียดต้นหนึ่ง ทว่าทุกคนกลับสามารถสงบใจชื่นชมมันได้

ดูเหมือนว่าจะกลับไปไม่ได้แล้ว…

พอเด็กหนุ่มคิดเช่นนี้ก็รู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง

ในห้วงความคิดเขามีเพียงภาพความทรงจำที่คุณหนูลั่วกับท่านอ๋องยืนเคียงไหล่กันชื่นชมต้นพลับ ไม่อาจจินตนาการภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาจะทำสงครามกันได้เลยแม้แต่น้อย

“คุณหนูลั่วมีบุญคุณต่อเจ้าหรือ” ไม่รู้ว่าเว่ยหานนึกอะไรขึ้นมาถึงได้เม้มริมฝีปากบาง

สวี่ซีตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอรับ ตอนนี้ข้ารู้ดีชั่วแล้ว”

เว่ยหานพยักหน้าเล็กน้อย “รู้จักดีชั่วก็ดีแล้ว ในเมื่อไม่ยินยอมไป เจ้าก็รั้งอยู่ที่นี่เถอะ”

เมื่อเห็นเว่ยหานพากำลังคนหน่วยหนึ่งจากไปแล้ว สวี่ซีก็มึนงงอยู่บ้าง

ท่านอ๋องหมายความว่าอะไรกันแน่?

“แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องมาถึงหน้าเมืองแล้วขอรับ!” ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน

แม่ทัพใหญ่ลั่วพลันลุกขึ้น “รับศึก!”

ฝ่ายตรงข้ามยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งไม่อาจให้อานุภาพของฝ่ายตนอ่อนแอลงได้ ไม่เช่นนั้นรังแต่จะยิ่งแย่

นายทหารมีสีหน้าแปลกประหลาด “แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องนำคนมาไม่ถึงหนึ่งร้อยคนขอรับ”

“ไม่ถึงร้อยคนหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วตะลึงค้างไป

ไม่ถึงร้อยคนนั้นหมายความว่า…คิดว่าจะสามารถอาศัยหนึ่งคนเอาชนะร้อยคนได้เช่นนั้นหรือ

เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วโมโหยิ่ง

เจ้าเด็กสารเลวนั่นดูถูกผู้อื่น!

เขาจะนำคนหนึ่งพันคนออกจากเมืองไปสังหารเจ้าเด็กนั่นรวมถึงคนที่เขาพามาด้วยทั้งหมด

แม่ทัพใหญ่ลั่วมีสีหน้าเย็นเยียบ เตรียมเลือกทหารออกจากเมือง

นายทหารรีบเอ่ย “แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องเอ่ยว่าต้องการพบคุณหนูลั่วขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองไปทางเด็กสาวในเครื่องแบบทหารที่เงียบมาโดยตลอด

ลั่วเซิงลุกขึ้นอย่างสงบ “ท่านพ่อ ลูกจะไปพบเขาเจ้าค่ะ”

“เซิงเอ๋อร์…”

“ท่านพ่อวางใจ ลูกจะนำคนหนึ่งพันคนออกจากเมืองไปด้วย ไม่มีทางให้ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบหรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินว่าจะพาคนหนึ่งพันคนไปด้วย แม่ทัพใหญ่ลั่วก็วางใจ

เซิงเอ๋อร์กับเขาคิดเหมือนกัน สุดท้ายก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ น่ะนะ

เมืองเหอหยางไม่มีคูน้ำล้อมรอบเมือง สามารถมองเห็นชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำในอาภรณ์สีแดงราวเปลวเพลิง อาชาสีขาวดุจมังกร กำลังมองมาจากที่ไกลๆ ท่ามกลางกองทัพจำนวนน้อยนิดนอกเมืองได้จากผืนฟ้าสูง ผืนดินกว้าง

ประตูเมืองเปิดออก ลั่วเซิงนำทหารพุ่งออกไป พริบตาเดียวก็อยู่ห่างจากอีกฝ่ายไม่กี่จั้ง

นางยิ้ม มองชายหนุ่มคุ้นเคยผู้นั้น “ไม่พบหน้ากันไม่กี่เดือน คิดไม่ถึงว่า จะได้พบท่านอ๋องอีกที่นี่”

เว่ยหานถอนหายใจแผ่วเบา “ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน”

เขายกทัพไปปราบปรามจลาจลทางตะวันออก สิ่งที่ในใจเฝ้าคิดถึงก็คือ กลับไปร่ำสุราและสนทนากับคุณหนูลั่วใต้ต้นพลับที่มีหอสุรา

ผลลัพธ์กลับต้องผิดหวัง

เว่ยหานมองเด็กสาวที่มีรอยยิ้มเฉยชาพลันรู้สึกได้รับความอยุติธรรมเล็กน้อยอย่างน่าประหลาด “คุณหนูลั่ว ข้าอยากกินบะหมี่เครื่องผัด”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท