ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 531 จูงมือ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 531 จูงมือ

เมื่อได้ฟังคำตอบของลั่วเซิง เว่ยหานก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ

เขารู้สึกได้นานแล้ว เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถามออกมาจนเข้าใจ

เขาโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณหนูลั่ว”

ลั่วเซิงมองเขาเงียบๆ

“ท่านไม่ต้องลำบากใจ” เขามองแม่นางที่ตนชอบแล้วแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ใช่คนตระกูลเว่ย”

จอกชาในมือลั่วเซิงร่วงลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังกังวาน

น้ำชาเย็นชืดสาดออกมาเลอะหลังมือขาวเนียนของนาง

“ท่านอ๋องอย่าล้อเล่นในเรื่องแบบนี้” นางกำจอกชาไว้แน่นใหม่อีกครั้ง ภายใต้ความตื่นตะลึงคือความปีติยินดีที่ไม่อาจหลอกลวงตนเองและผู้อื่นได้

เมื่อความปีติยินดีผ่านพ้นไป สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา นางขมวดคิ้วมองเขา

เว่ยหานหลุดหัวเราะ “คุณหนูลั่ววางใจ ข้าไม่มีทางล้อเล่นในเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ท่านรับปาก”

“ท่านอ๋องสามารถอธิบายอย่างละเอียดได้ไหม” ลั่วเซิงยิ้มไม่ออกจึงใช้ดวงหน้าเรียบเฉยกลบเกลื่อนความตื่นเต้นในใจ

ตอนนี้นางพลันเข้าใจแล้วว่า อะไรที่เรียกว่า ก่อนจะได้มาก็กลัวว่าจะไม่ได้ เมื่อได้มาแล้วก็กลัวว่าจะต้องเสียไป

“วันนั้นเป็นวันเทศกาลโคมไฟ ท่านพ่อกับท่านแม่นอนหลับหลังจากพาข้าไปเดินถนนในเมืองที่สว่างไสวไปด้วยแสงโคม…กลางดึก ข้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เห็นบนหน้าท่านพ่อท่านแม่มีหมอนกดทับอยู่ ผ้าปูและเครื่องนอนมีไฟไหม้ พอคนผู้นั้นพบว่าข้าตื่นแล้วก็ใช้ผ้าสีดำปิดศีรษะข้าเอาไว้ รอจนข้าฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว…”

เขาเอ่ยอดีตอันโหดร้ายที่จมอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำออกมานิ่งๆ “ข้าจำลักษณะท่าทางของสตรีนางนั้นไม่ได้ จำได้แค่ว่า นางมักจะร้องไห้ ผู้อื่นเรียกนางว่าซูไท่เฟย ข้าควรจะเรียกนางว่าเสด็จแม่…ในภายหลัง นางก็ตายเช่นกัน…”

ลั่วเซิงตื่นตะลึง ถามเสียงแหบว่า “นั่นก็หมายความว่า ท่านอ๋องไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของซูไท่เฟยหรือ”

เว่ยหานพยักหน้า

“กลยุทธ์หลี่ตายแทนท้อ[1] ไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธหรือ”

“โอรสของซูไท่เฟยโง่งมแต่กำเนิด แทบจะไม่เคยได้พบคนนอก รอจนสามารถพบคนนอกได้แล้ว คนจำนวนมากรวมถึงซูไท่เฟยก็ไม่อยู่แล้ว”

ลั่วเซิงยังคงไม่เข้าใจ “ฝ่ายตรงข้ามไม่กังวลว่าท่านจะกล่าววาจาเหลวไหลหรือ”

เว่ยหานยิ้มๆ “น่าจะนึกว่าข้าจำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นข้าอายุแค่สี่ขวบ เพราะเห็นท่านพ่อท่านแม่ถูกสังหารกับตาตนเองจึงไร้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอยู่นาน…”

ลั่วเซิงมองบุรุษที่เอ่ยความลับซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ด้วยท่าทางผ่อนคลายแล้ว ในใจก็หนักอึ้ง

ต้าโจวอาศัยการนับอายุแบบอายุลวง เกิดมาก็มีอายุหนึ่งขวบ คนส่วนใหญ่เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้วก็ล้วนไม่มีความทรงจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอายุสี่ขวบ มิน่าคนที่วางแผนร้ายเรื่องนี้จึงไม่กังวลในจุดนี้

แต่เขาดันจำได้ ทั้งยังเติบโตมาพร้อมกับความทรงจำเช่นนี้

เว่ยหานยื่นมือออกไป หยั่งเชิงกุมมือเรียวข้างนั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือไม่ได้ดึงกลับก็กุมไว้แน่นกว่าเดิม

“ข้ามีความแค้นสังหารบิดามารดากับจักรพรรดิหย่งอัน เพียงแต่ตระกููลเว่ยเป็นราชวงศ์ บุ่มบ่ามล้างแค้นจะทำให้ราษฎรผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน ทำได้แค่เฝ้ารอโอกาสเท่านั้น”

ตอนนี้เหล่าอ๋องก่อกบฏ ใต้หล้าวุ่นวายก็ถึงเวลาที่เขาจะทวงความยุติธรรมให้กับบิดามารดาแล้ว

เขาจ้องเด็กสาวที่อยู่ตรงข้ามเขม็ง กุมมือของนางแน่นกว่าเดิม พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูลั่ว ข้าไม่ได้แซ่เว่ย”

ตอนนี้ลั่วเซิงไม่อาจควบคุมความเปียกชื้นบริเวณดวงตาได้อีก

ข้าไม่ได้แซ่เว่ย…สำหรับนางแล้ว นี่เป็นวาจาที่ไพเราะที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่แท้นางก็มีช่วงเวลาที่โชคชะตาเข้าข้างเช่นกัน

คนที่นางจิตใจหวั่นไหวด้วยผู้นั้น ไม่ได้แซ่เว่ย

“คุณหนูลั่ว…” เว่ยหานเรียกอีกครั้ง

“อะไรหรือ” ลั่วเซิงตอบรับอย่างลนลาน ปล่อยให้เขาจับมือนางเอาไว้

“เช่นนั้นข้าสามารถเป็นพี่เขยของลั่วเฉินได้แล้วใช่ไหม”

ลั่วเซิงหัวใจเต้นรัวเหมือนกลอง พยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้จนถึงที่สุด “ตอนนี้ทุกหนแห่งโกลาหลไปหมด รอเป็นปกติสุขแล้วค่อยคิดเรื่องพวกนี้เถอะ”

“รอถึงตอนที่สงครามสงบลง ข้าจะเอ่ยเรื่องสู่ขอกับบิดาท่าน” เว่ยหานเอ่ยอย่างจริงจัง

ความจริงจังของเขาทำให้นางพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ “อืม”

ภายในห้องดื่มชาเงียบจนสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกันในชั่วขณะ

ทั้งสองคนนั่งอย่างเรียบร้อย สิบนิ้วที่ประสานกันเอาไว้กลับเตือนว่าพวกเขามีอะไรบางอย่างต่างออกไป

และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำให้ทั้งสองคนล้วนปลาบปลื้มใจ แววตาเปล่งประกาย

เนิ่นนานหลังจากนั้น ลั่วเซิงก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋องตามข้าไปที่ศาลาว่าการเถอะ หลังจากนี้จะจัดการอย่างไร จำเป็นต้องหารือกับท่านพ่อข้า”

ทางแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นรอคอยด้วยความวิตกกังวล สิ่งที่ได้จากการรอคอยคือ ข่าวการไปโรงน้ำชาของบุตรสาวกับไคหยางอ๋อง

นี่ทำให้บิดาชราโมโหจะตายแล้ว

ไคหยางอ๋องหมายความว่าอะไรกันแน่ หากมีใจให้เซิงเอ๋อร์ มาขอหมั้นหมายกับเขาอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาแล้วจะตายหรือ

ทนเห็นเขาได้สัมผัสความรู้สึก ‘ตระกูลไหนมีบุตรสาว ย่อมมีผู้มาสู่ขอแต่งงานด้วยมากมาย’ สักหน่อยไม่ได้เพียงนั้นเลยหรือ

“แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องกับคุณหนูมาถึงศาลาว่าการแล้วขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นทันทีแล้วรีบนั่งลง วางมาดรอคอยด้วยสีหน้าจริงจัง

ลั่วเซิงเดินเคียงไหล่เข้ามากับเว่ยหาน

แม่ทัพใหญ่ลั่วเกิดความสั่นคลอนระหว่างความหยิ่งในศักดิ์ศรีกับการเป็นฝ่ายรุกเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากขึ้นก่อนเรียบๆ ว่า “ไม่พบกันนานจริงๆ นะท่านอ๋อง”

เว่ยหานครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุงลั่วไม่พบกันนานเลย”

คุณหนูลั่วรับปากแล้วว่า รอจนใต้หล้าสงบสุขแล้วจะแต่งงานกับเขา เช่นนั้นคำเรียกที่มีต่อแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน

เรียกแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นไม่เหมาะสม เรียกแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นห่างเหินเกินไป เรียกท่านลุงลั่วน่าจะค่อนข้างเหมาะสมกว่า

น้ำชาที่แม่ทัพใหญ่ลั่วยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสงบนิ่งนั้นถึงกับสาดออกมา ไอค่อกแค่กติดต่อกันด้วยความตื่นตะลึง “แค่กๆ ท่านอ๋องเรียกข้าว่าอะไรนะ”

“คำเรียกนี้…” แม่ทัพใหญ่ลั่วมีพันคำพูด หมื่นวาจาจะกล่าว สุดท้ายเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันอย่างเหมาะสมยิ่งแล้วก็ฝืนกลืนลงไป “ท่านอ๋องบอกวัตถุประสงค์การมาเยือนได้หรือไม่”

หากเจ้าเด็กนี่กล้ามาเอ่ยเรื่องสู่ขอ เขาก็กล้ารับปาก!

เห็นเขาเป็นคนขี้ขลาดเช่นนั้นหรือ

“ข้ามาเชิญท่านลุงลั่วกับคุณหนูลั่วกลับเมืองหลวง” เว่ยหานเอ่ยแล้วหันไปมองลั่วเซิงแวบหนึ่ง “ได้ยินคุณหนูลั่วเอ่ยเรื่องของลั่วเฉินพอดี ข้ายินยอมช่วยท่านลุงลั่วอีกแรง”

แม่ทัพใหญ่ลั่วตะลึง “เซิงเอ๋อร์ กระทั่งเรื่องนี้ลูกก็บอกเขาแล้วหรือ”

เพิ่งจะรู้เรื่องที่เฉินเอ๋อร์มีพระราชโองการลับของปฐมกษัตริย์ในมือได้ไม่นานและกำลังวางแผนว่าจะฝ่ากลับเมืองหลวงอย่างชอบด้วยเหตุผลอย่างไร

ลั่วเซิงพยักหน้า “ท่านอ๋องล้วนทราบแล้วและยินยอมที่จะช่วยพวกเราเจ้าค่ะ”

“แต่…เพราะเหตุใดกัน” ในใจแม่ทัพใหญ่ลั่วเต็มไปด้วยความสงสัย

ลั่วเซิงมองคนข้างกายยิ้มๆ แวบหนึ่ง มุมปากโค้งขึ้นเผยความผ่อนคลายและมีความสุขโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน “เพราะท่านอ๋องไม่ได้แซ่เว่ยเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วฟังลั่วเซิงเอ่ยเหตุผลจบ ถึงได้ทิ้งความตะขิดตะขวงใจไปแล้วหัวเราะเสียงดัง “ดี เช่นนั้นพวกเราก็นำทัพกลับเมืองหลวง ขจัดนามขุนนางชั่วช้าคิดคดทรยศทิ้งไป”

มีพระราชโองการลับของปฐมกษัตริย์ ทั้งยังมีกองทัพใหญ่ของไคหยางอ๋องให้ความช่วยเหลือ ปัญหามากมายนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว

หลังหัวเราะก็เจ็บปวดใจเล็กน้อย เขานึกว่าไคหยางอ๋องมาเพื่อบุตรสาว วุ่นวายกันอยู่นานกลับเป็นเพราะมีศัตรูคนเดียวกัน

“ท่านอ๋อง ทางด้านเหลยหมิง…”

เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วมีท่าทีจะสนทนายืดยาวกับเว่ยหาน ลั่วเซิงก็เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านคุยกับท่านอ๋องไปก่อนนะเจ้าคะ ลูกจะไปทำบะหมี่เครื่องผัด”

แม่ทัพใหญ่ลั่วอึ้ง

บะหมี่เครื่องผัดอะไรกัน

เขามองไปทางเว่ยหานอย่างงุนงงกลับเห็นเพียงเจ้าเด็กนั่นมองไปทางบุตรสาวยิ้มๆ

แม่ทัพใหญ่ลั่วตระหนักขึ้นมาได้ หลังจากที่คราแรกไม่เข้าใจ เข้าใจแล้ว ไคหยางอ๋องวิ่งแจ้นมาที่เหอหยาง ไม่ใช่เพียงเพราะมีศัตรูคนเดียวกัน แต่มาตีเนียนกินเปล่าด้วย!

เมื่อได้กินบะหมี่เครื่องผัดที่ลั่วเซิงลงมือทำเองสมปรารถนา เว่ยหานก็ออกจากเมืองไปด้วยอารมณ์เบิกบานใจ

องครักษ์ร้อยนายที่รออยู่นอกเมืองเกือบจะร่ำไห้ออกมา

ที่แท้นายท่านก็ไม่ได้หลอกพวกเขา ท่านเข้าเมืองไปกินข้าวแล้วถึงกลับมาจริงๆ…

“ไปกันเถอะ” เว่ยหานพลิกร่างขึ้นม้า ขี่อาชาสีขาวตัวใหญ่ซึ่งกินอิ่มหมีพีมันแล้วเช่นกันห้อตะบึงไปยังค่ายทหาร

[1] กลยุทธ์หลี่ตายแทนท้อ เป็นหนึ่งในกลศึก เรื่องสามก๊กหมายถึงการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เสียเปรียบในศึกสงคราม ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่ตนเองและกองทัพ เกิดความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อที่จะแปรเปลี่ยนจากสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบให้เป็นการได้เปรียบ จำต้องยินยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อที่จะได้ประโยชน์ส่วนใหญ่

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท