ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 382 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-11

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 382 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-11

หากจะกล่าวว่าเชื้อเชิญ บอกว่าเป็นสารท้ารบยังดีเสียกว่า

“ยอดเพลาแห่งวสันต์งามยากขอได้ หากยอมดั้นด้นพันลี้พานพบเพียงหน ตัวข้าอยู่ในรัฐหงแห่งแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง เฝ้าวาดหวังได้พานพบกระบี่แสนเลิศเลอของคุณชาย ยิ่งกว่าวาดหวังสิ่งใด!”

ลงชื่อในตอนท้ายสุดว่าหลี่เจิ้งฮุย

ซึ่งก็คือผู้นำตระกูลหลี่แห่งรัฐหงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องในเวลานั้น ผู้เป็นบิดาของหลี่จวิ้นชาง

เยว่ซิงโม่แห่งผิงหนานและหลี่เจิ้งฮุยแห่งเจิ้นเป่ย

คนทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นขงเบ้งกับจิวยี่[1]

ผู้หนึ่งเพลงกระบี่ล้ำลึกเป็นเลิศ นามกระฉ่อนแดนผิงหนานอ๋อง

อีกผู้หนึ่งเพลงดาบทรงอนุภาพไร้เทียมทานครองตำแหน่งสูงสุดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ความแข็งแกร่งและชื่อเสียงอยู่เหนือชิงหรานมาก

ยามเพลงดาบ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ แห่งตระกูลหลี่อยู่ในมือของผู้นำตระกูลทรงปัญญา ราวกับมันมีชีวิตขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้ขาดความอ่อนโยน

ในสายตาของผู้อื่น นั่นไม่ใช่เพลงดาบที่ควรมีอยู่บนแดนมนุษย์

ลำพังแค่ไอยะเยือกเมื่อชักดาบออกมา ก็เพียงพอจะดูดจิตวิญญาณของคนไปได้แล้ว

ทว่าเมื่อเทียบกับหลี่เจิ้งฮุยที่อยู่ในตระกูลใหญ่ เยว่ซิงโม่กลับมีอิสระเสรีกว่ามาก

อย่างไรเสีย ก็ไม่มีผู้ใดที่จะออกเดินทางทันทีหลังได้รับสารท้ารบเช่นนี้

หนำซ้ำหนึ่งวันก่อนจะออกเดินทางยังดื่มจนเมาเละเทะด้วย…

ภูผางามดุจหมอกควัน เกือกม้าห้อตะบึง

เยว่ซิงโม่ขี่ม้ามาตามลำพังตลอดทาง ท่องภูผาเที่ยวธาราสบายอุรายิ่ง!

เพราะทิวทัศน์ระหว่างเดินทางขึ้นเหนือนั้นต่างจากลงใต้โดยสิ้นเชิง

จากที่ที่มีสะพานเล็ก ธารารินไหลและบ้านเรือนคน จนมาถึงทางเหนืออันแห้งแล้งเวิ้งว้าง

ก้อนหินที่ยื่นออกมาจากภูเขาเห็นแล้วน่าสะพรึงกลัว

ไม่มีสีสันใดๆ แม้แต่น้อย

มีเพียงไม้พุ่มไม่กี่กอ และทั่วทั้งกอยังมีแต่หนาม

อย่างน้อยในสายตาของเยว่ซิงโม่นั้น ที่นี่ไม่มีความงดงามให้เอ่ยถึงสักนิด

เขาเดินทางมาจนถึงแม่น้ำจักรพรรดิ

เพียงข้ามแม่น้ำนี้ไปก็จะก้าวเข้าสู่ผืนดินของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

เยว่ซิงโม่กระโดดลงจากหลังม้ายืนอยู่ริมแม่น้ำ

ลมแรงพัดพาความชื้นมาชะล้างทั่วกายเขา

กายเขาก็เป็นเหมือนกระบี่ด้ามหนึ่ง

ไม่ว่าเสื้อผ้าจะพัดปลิวเช่นใด ก็ไม่อาจปิดบังอานุภาพของกระบี่แสนคมกริบเล่มนี้ได้

ม้าดื่มน้ำอยู่ข้างๆ

ส่วนเยว่ซิงโม่ก็วักน้ำมาล้างหน้า

ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยลมและฝุ่นยังไม่ว่า แต่สภาพอากาศที่แห้งแล้งทำให้เขาปรับตัวไม่ค่อยได้จริงๆ

ไม่เพียงรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งตึง แม้แต่ลำคอก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อยด้วย…

ในเวลานั้นเอง ตอนที่เขาหันหน้ามาก็เห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำจักรพรรดิ

สตรีผู้นี้มีสีหน้ากังวล ดูเหมือนจะทุกข์ใจเพราะไม่สามารถข้ามแม่น้ำได้

“ขอถามแม่นางว่าจะข้ามแม่น้ำเช่นกันหรือ”

เยว่ซิงโม่เข้าไปสอบถาม

สตรีผู้นี้กลับมีเสน่ห์ยิ่งกว่าหว่านหรง นางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งรัฐซานเหมินเสียอีก

แล้วคนเจ้าสำราญแต่กำเนิดเช่นเขาจะพลาดโอกาสงามเช่นนี้ได้อย่างไร

ซ้ำยังถอยหลังไปหลายก้าว ท่าทางระแวงอย่างยิ่ง

เยว่ซิงโม่เห็นว่านางมาผู้เดียวเพียงลำพัง

ไม่ได้ขี่ม้าทั้งไม่ได้พกกระบี่หรือพกดาบ ก็อดรู้สึกประหลาดใจยิ่งไม่ได้…

สมัยนี้แม่นางที่งดงามถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์แล้วจะกล้าออกจากเรือนเดินทางไกลเพียงลำพังได้อย่างไร

แต่แม่นางผู้นี้ไม่ใช่คนทั่วไป

จึงไม่อาจใช้สายตาและหลักการทั่วไปมาตัดสินได้

นางก็คือนางเสี่ยวจง

นี่ก็คือการพบกันครั้งแรกของนางกับเยว่ซิงโม่

พวกเขาพบกันก่อนที่จะได้พบชิงหรานเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ในเวลานั้นเอง เยว่ซิงโม่พลันตัวแข็งทื่อ…นิ่งค้างอยู่กับที่

เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่รุนแรงเป็นที่สุด

เห็นได้ชัดว่าไอสังหารนี้ไม่ได้มาจากร่างของนางเสี่ยวจง

แต่ไอสังหารที่รุนแรงถึงเพียงนี้ เยว่ซิงโม่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน

สตรีผู้นี้จะเป็นหมากตัวหนึ่งที่ล่อให้เขาหลงกลหรือไม่

เยว่ซิงโม่คิดอยู่เช่นนี้…

สำหรับคนเจ้าสำราญแล้ว ความงามสามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้เป็นที่สุด

เมื่อเขาหันหน้ากลับมา ก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขายืนอยู่บนผาหินชันริมแม่น้ำ

ร่างเขาตรงดั่งต้นสน

ข้างหลังแบกกระบี่ปลายตัด[3]รูปร่างประหลาดด้ามหนึ่ง

ผมเผ้าถูกลมแม่น้ำพัดจนยุ่งเหยิง แต่ก็ยังไม่อาจปิดกั้นใบหน้าขาวผ่องแสนหล่อเหลาของเขาได้

“น้องชายมีสิ่งใดชี้แนะหรือ”

เยว่ซิงโม่ประสานมือคำนับพลางถาม

“ข้ารู้ว่าเจ้าคือเยว่ซิงโม่ ใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มถาม

“ข้าน้อยก็คือเยว่ซิงโม่”

เยว่ซิงโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย เมื่อมีคนมาหาเพราะชื่อเสียงของตนก็ควรค่าให้ดีใจทั้งสิ้น

“ข้าอยากพนันกับเจ้า!”

ชายหนุ่มกล่าว

“เจ้ารู้ว่าข้าคือเยว่ซิงโม่แต่ยังอยากพนันกับข้า แสดงว่าเจ้าไม่รู้จักข้าดี…และไม่ใช่คนของรัฐซานเหมิน!”

เยว่ซิงโม่ส่ายหน้ากล่าว

“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

ชายหนุ่มเอียงหัวถาม

“เพราะชาวรัฐซานเหมินล้วนรู้ว่าข้าเยว่ซิงโม่มีสามความกล้า!”

เยว่ซิงโม่ชูสามนิ้ว เอ่ยทั้งทำมือประกอบ

“ข้าเคยได้ยินแต่ว่าวัวมีสี่กระเพาะ กลับไม่เคยได้ยินว่าคนมีสามความกล้า[4]!”

ชายหนุ่มกล่าวดูแคลนทั้งรอยยิ้ม

เห็นชัดๆ อยู่ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เยว่ซิงโม่คิดว่าเขาหลอกง่ายหรือไร

พอคิดถึงตรงนี้ก็ขุ่นเคืองยิ่งนัก

“ข้อแรกคือกล้ากระบี่! กระบี่ของข้าไม่ว่องไวและไม่เชื่องช้าเช่นกัน ยิ่งนับไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้ใด ข้าก็กล้าออกกระบี่ทั้งสิ้น!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

“แล้วข้อสองเล่า”

ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าเยว่ซิงโม่จะกล่าวเช่นนี้

ความสงสัยใคร่รู้พลันถูกกระตุ้นจนเอ่ยปากถามต่อ

“ข้อสองคือกล้าดื่ม! ข้าคอไม่แข็งเท่าใด บางครั้งดื่มไปไม่ถึงสามตำลึงก็เมาเสียแล้ว…แต่ข้ากลับเอาความแข็งปะทะความแข็ง ไม่เคยหลบเลี่ยงการดื่มสุรา! ขอเพียงเจ้าชนจอกกับข้า ข้าก็จะดื่มกับเจ้าให้ถึงที่สุดจนหมดกำลังของข้า!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

เขาเป็นเช่นนี้จริงดังว่า

คอไม่แข็งแต่เป็นคนกล้าดื่มย่อมน่ากลัวยิ่งกว่า

คนที่คอแข็งมักรู้ขีดจำกัดของตน

ยามพวกเขาดื่มสุราจึงคอยระมัดระวังและพยายามให้อยู่ในขีดจำกัดนั้น

ซึ่งนี่ก็เป็นจิตสำนึกที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง

คนบางคนรู้ตัวว่าดื่มสุราไหวแค่หนึ่งชั่งเท่านั้น

เมื่อใดที่ดื่มมากขึ้นอีกจอกอาจตาลายเวียนหัว

แต่สำหรับคนที่กล้าดื่มกลับไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้

สิ่งที่พวกเขาสนใจมีแค่ผู้ใดจะดื่มกับข้าจนหมดจอก

ส่วนว่าตนเองจะดื่มได้กี่มากน้อยกลับไม่เคยนึกถึงแต่อย่างใด…

เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะดื่มไปจนถึงที่สุด ส่วนที่ว่าจะดื่มได้อีกจอกหรือน้อยลงหนึ่งจอก เร็วบ้างช้าบ้างก็ไม่ได้แตกต่างกัน

“ว่ามาเช่นนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าความกล้าที่สามของเจ้าคือสิ่งใด!”

“ความกล้าที่สามของเจ้าจะต้องเป็นกล้าราคะ! ผู้คนล้วนบอกว่าเจ้ากลบรัศมีมือกระบี่รุ่นเดียวกันในแดนผิงหนานอ๋อง แต่เจ้ากลับบอกว่าตนเองเจ้าสำราญเป็นหนึ่ง เพลงกระบี่เป็นรอง”

ชายหนุ่มกล่าว

“เจ้าพูดผิดเสียแล้ว ข้าเจ้าสำราญเป็นหนึ่ง ดื่มสุราเป็นรอง ส่วนเพลงกระบี่เป็นได้แค่อันดับสามเท่านั้น!”

เยว่ซิงโม่เอ่ยทั้งยิ้มน้อยๆ

ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับคำอธิบายเรื่องความกล้าของเยว่ซิงโม่

“แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ข้าจะพนันกับเจ้า”

ชายหนุ่มถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ

“เพราะในความกล้าทั้งสามของข้านี้ไม่มีกล้าพนันน่ะสิ!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

เขาเจ้าสำราญ เขาดื่มสุรา

แต่ไม่เคยพนันขันต่อ

นี่กลับเป็นเรื่องผิดวิสัยยิ่ง

เหล่าสหายของเยว่ซิงโม่ก็เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ดื่มสุราแต่ก็ชอบเล่นพนันทั้งสิ้น

โดยเฉพาะหลังจากดื่มสุราเสร็จ โดยมากแล้วบุรุษล้วนไปเล่นพนัน

อาศัยช่วงที่ฤทธิ์สุรากำลังพลุ่งพล่าน ความสำราญที่ได้โยนเงินพันตำลึงทองในบ่อนพนันทำให้คนสาแก่ใจยิ่ง

พอแพ้แล้วก็มักอยากแก้มือ

ชนะแล้วก็อยากชนะให้มากขึ้นอีก

เยว่ซิงโม่เคยไปบ่อนมาก่อนและเคยเห็นสหายของตนเล่นพนัน

เขารู้สึกว่าพอเข้าไปใน่บ่อน สหายที่รู้จักคุ้นเคยกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมาในทันใด

ผิดกับตอนที่ดื่มสุรากับเขาโดยสิ้นเชิง

ยามดื่มสุราแม้จะเมามายแล้วอาละวาด

ทว่ายามอยู่ในบ่อนสีหน้าของพวกเขาล้วนดุร้าย แววตามีแต่ความคลุ้มคลั่ง

สิ่งนี้ทำให้เยว่ซิงโม่รู้สึกหวาดกลัว…

มือกระบี่ที่สามารถข่มรัศมีคนรุ่นเดียวกันในอาณาจักรผิงหนานอ๋องได้ก็กลัวเป็นด้วยหรือ

ไม่ผิด เขากลัวจริงๆ…

อันตรายอย่างอื่นล้วนสามารถใช้กระบี่ในมือตนแก้ปัญหาได้

แต่จิตใจคนที่หมกมุ่นคลุ้มคลั่งในบ่อนพนันกลับไม่มีกระบี่ใดสามารถตัดให้ขาดสะบั้นได้

ภายหลังสหายหลายคนจึงไม่ไปดื่มสุรากับเขาอีก

ไม่ใช่เพราะมีความเห็นขัดแย้งกับเยว่ซิงโม่

แต่เป็นเพราะพวกเขาแพ้ในบ่อนพนันจนแม้แต่กางเกงก็ยังต้องเอาไปจำนำ

เมื่อไม่มีกางเกงย่อมไม่อาจออกจากเรือน

ไม่อาจออกจากเรือนก็ย่อมไม่อาจไปดื่มสุรา…

เยว่ซิงโม่ไม่เคยเล่นพนัน

ฉะนั้นเขาจึงมักสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดียิ่ง

“เจ้าลองถามดูได้ว่าข้าต้องการพนันสิ่งใด”

ชายหนุ่มกล่าว

“เจ้าต้องการพนันสิ่งใด”

เยว่ซิงโม่ถาม

“ข้าต้องการพนันกระบี่กับเจ้า!”

ชายหนุ่มกล่าว

เยว่ซิงโม่เอ่ยพลางลูบใต้คาง

หลายวันมานี้เขาไม่ได้โกนหนวด

ใต้คางมีหนวดสั้นๆ เต็มไปหมดแล้ว

เวลาลูบจึงรู้สึกเหมือนถูกหนามข่วน

แต่กลับทำให้เยว่ซิงโม่รู้สึกสบายยิ่ง

ทว่าในความเข้าใจของเขานั้น การพนันกระบี่ก็คือการประลองกระบี่

แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้คำว่าพนัน ย่อมไม่ได้ตัดสินง่ายๆ แค่ว่าแพ้ชนะเท่านั้นแล้ว

หากเป็นการพนันก็ต้องมีเดิมพัน

หลังจากแพ้ชนะย่อมต้องมอบบางสิ่งให้

“ต่อจากนี้เจ้าก็ควรถามข้าว่าจะเดิมพันด้วยสิ่งใดใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มถามต่อ

เยว่ซิงโม่หัวเราะขึ้นมา

เขารู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้พูดจาน่าสนใจนัก…

ทั้งที่จะบอกอยู่แล้ว แต่กลับต้องให้เขาเอ่ยปากถามก่อนให้จงได้

“เดิมพันด้วยสิ่งใด”

เยว่ซิงโม่ถาม

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าตนเจ้าสำราญที่หนึ่ง เช่นนั้นพวกเราก็เดิมพันด้วยชีวิตของนาง!”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางชี้ไปยังนางเสี่ยวจงที่อยู่ริมแม่น้ำ

หัวใจของเยว่ซิงโม่บีบรัดขึ้นมาทันใด เขาคิดว่าสิ่งที่ตนคิดก่อนนี้ถูกต้องจริงๆ ด้วย…

คนทั้งสองร่วมมือกันหลอกให้ตนหลงกล

“เจ้าอยู่ในวัยที่งดงามเพียงนี้ เหตุใดต้องทำเรื่องบีบคั้นผู้อื่นด้วยเล่า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำเช่นนี้ ก็ดูจะไม่เห็นค่าชีวิตตนเกินไปแล้วกระมัง!”

เยว่ซิงโม่ขมวดคิ้ว กล่าวเรื่องศีลธรรมกับนางเสี่ยวจง

“พวกเจ้าชาวยุทธ์ล้วนไร้เหตุผลกันเช่นนี้หรือ ว่ากันว่าหัวใจของมือกระบี่ก็เหมือนกับกระบี่ ทั้งคมเฉียบองอาจ ทั้งไม่แปดเปื้อนสิ่งโสมมและฝุ่นดินไม่ใช่หรือ”

นางเสี่ยวจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

แต่ที่จริงในใจนางกลับหวาดกลัวแทบตาย…

“เจ้าร่วมมือกับเขามาบีบบังคับข้า แล้วยังมีหน้ามาเอ่ยเรื่องหัวใจของมือกระบี่เช่นนี้อีกหรือ”

เยว่ซิงโม่กล่าวค่อนแคะ

“ข้าเป็นเพียงคนที่บังเอิญผ่านทางมา…ไม่รู้จักเขาแต่อย่างใด และไม่รู้จักเจ้าด้วย!”

นางเสี่ยวจงกล่าว

เยว่ซิงโม่ได้ฟังก็หันไปมองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยความประหลาดใจ

ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับว่าเขาไม่ได้รู้จักกับนางเสี่ยวจงมาก่อน

ทุกสิ่งเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น

“เป็นมือกระบี่แต่กลับเอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์มาเป็นเดิมพัน…เจ้าหาได้คู่ควรใช้กระบี่ไม่!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

เขาบันดาลโทสะแล้ว

“หากเจ้าตัดมือทั้งสองข้างของข้า ข้าย่อมใช้กระบี่ไม่ได้อีก ยิ่งไม่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าคู่ควรหรือไม่”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างผ่อนคลายยิ่ง

“ข้าจะพนันกับเจ้า!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

ชายหนุ่มหัวเราะลั่นอย่างเบิกบานใจยิ่ง

เป้าหมายของเขาก็เป็นเช่นนี้

ส่วนว่าผู้อื่นจะเป็นหรือตายนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

เรื่องพนันที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้ เป็นเพียงความคิดที่ผุดขึ้นมาหลังจากเห็นนางเสี่ยวจงก็เท่านั้น…

ว่ากันจนถึงที่สุดแล้ว เขาก็แค่อยากประลองกระบี่กับเยว่ซิงโม่

หลังจากชายหนุ่มหัวเราะเสร็จ สายตาก็กลับมาเคร่งขรึมเย็นชาอย่างที่เคยเป็น

แม้วิธีการของเขาจะไร้คุณธรรมนัก

แต่แววตาเช่นนี้ก็พิสูจน์ว่าเขาเป็นยอดมือกระบี่ผู้หนึ่ง!

สองแขนเขาสะบัดในทันใด พุ่งทะยานขึ้นไปแล้วร่อนตัวลงห่างจากเยว่ซิงโม่แค่ไม่กี่ก้าว

“เพียงแต่ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

“คำถามใด”

ในที่สุดก็ถึงคราวชายหนุ่มเป็นฝ่ายถามบ้างแล้ว

“เหตุใดเจ้าต้องพนันกระบี่กับข้า แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าข้าจะมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้”

เยว่ซิงโม่ถาม

………………………………………

[1] ขงเบ้งกับจิวยี่ เป็นตัวแทนของคนที่มีความสามารถอย่างยิ่งในสมัยสามก๊ก

[2] กิ่งหลิวย้อยบุปผาปลิดปลิว อธิบายถึงทัศนียภาพทางใต้ ที่มีต้นไม้ดอกไม้เพราะอากาศดีกว่าทางเหนือที่หนาวกว่าและแห้งแล้งกว่า

[3] กระบี่ปลายตัด ปลายกระบี่เป็นทรงเหมือนมีดอีโต้

[4] ความกล้า ในภาษาจีนแปลว่าถุงน้ำดีได้ด้วย

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท