ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 391 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 391 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-6

……….

ปกติในยามเย็นชุ่ยเวยมักนั่งทานอาหารอยู่อย่างว่าง่ายภายในเรือนของนาง

ทว่าทุกคราวที่นางมองออกไปยังหมู่เมฆที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ นอกหน้าต่าง ในใจก็มีความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งคอยหมุนกลิ้งไปมาไม่หยุดหย่อน

นี่ก็คือสาเหตุที่นางแอบออกจากจวนเสนาบดีในวันนี้…

ชุ่ยเวยอยากมองและสัมผัสยามเย็นในเมืองหลวงแห่งนี้ด้วยตาตนเองสักหน

เด็กพูดความจริงเสมอ

ชอบก็คือชอบ ไม่สบายก็คือไม่สบาย

หากเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่อาจต้องอธิบายกันยืดยาว พูดทำนองว่ายามเย็นเหมาะแก่การฝึกตนทำให้จิตใจว่างได้ง่าย สงบนิ่งมีสมาธิและสามารถยกระดับจิตใจตนได้อะไรทำนองนั้น

แต่ในใจของชุ่ยเวยแล้ว นางรู้สึกเพียงว่ายามเย็นมีกำลังเต็มเปี่ยม ผ่อนคลายมากกว่าปกติก็เท่านั้น

เดิมทีนางนึกว่าความคิดของเด็กสาวจะเหมือนกับนาง

แต่นึกไม่ถึงเด็กสาวกลับบอกว่าที่นางชอบยามเย็น เพราะยามเย็นตาเฒ่าจะเก็บแผงและเอาเงินรางวัลในตะกร้าที่นางรวบรวมมาไปดื่มสุราในร้านสุรา

เมื่อใดที่เขาดื่มสุราก็จะอารมณ์ดีขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวผู้นี้แค่คอยเติมสุราในจอกให้ตาเฒ่า ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตีอีก

ชุ่ยเวยฟังคำของเด็กสาวแล้วก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด

นางเห็นว่าเด็กสาวสวมรองเท้าฟางที่เท้า จึงถอดรองเท้าผ้าต่วนสีแดงทับทิมปักมุกที่ตนสวมอยู่เปลี่ยนกับนางในทันใด

จากนั้นก็ไปหาตรอกที่ลับตาคน แล้วมอบเสื้อผ้าทั้งกายให้เด็กสาวผู้นั้น ส่วนนางกลับสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นของเด็กสาว มองไปแล้วเหมือนกับขอทานน้อย

ชุ่ยเวยรู้ว่าตนไร้ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตลำเค็ญของเด็กสาวผู้นี้ได้ และสิ่งที่ทำตอนนี้ก็คือทั้งหมดที่นางทำได้แล้ว

หลังจากเด็กสาวจากไปแล้ว ชุ่ยเวยก็เดินเที่ยวเล่นต่ออีก

แต่รองเท้าฟางกลับกัดเท้าเหลือเกิน ทำเอานางทรมานนัก…

ด้วยความจนใจ จึงได้แต่ถอดและโยนทิ้งไว้ข้างทาง ก่อนเดินเท้าเปล่าไปข้างหน้าต่อ

พอหันหน้ามากลับถูกคนหามเกี้ยวคนหนึ่งผลักนางไปบนเนินดินข้างถนน เคราะห์ดีที่เนินดินนี้อ่อนนุ่มจึงไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บ เพียงแต่ดูไปแล้วนางกลับยิ่งเหมือนขอทานน้อยมากกว่าเดิม…

ชุ่ยเวยลุกขึ้นมอง เห็นว่าเป็นเกี้ยวหรูหราคันหนึ่ง มีชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสี่คนหามเกี้ยวเดินไปข้างหน้า

ก่อนหยุดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีสิงโตหินสี่ตัวอยู่หน้าประตู

ชุ่ยเวยไม่รู้ว่าผู้ใดอยู่ที่นี่ ถึงกับมีสิงโตหินวางอยู่หน้าประตูถึงสี่ตัว…ต้องรู้เสียก่อนว่าชุ่ยเวยอาศัยอยู่ในจวนเสนาบดี หน้าประตูมีสิงโตแค่สองตัวเท่านั้น

ไม่ได้ใหญ่โตดูน่าเกรงขามเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้นจำนวน ‘สี่’ นี้ ก็ไม่เป็นสิริมงคล…

เหตุใดจึงเอามาวางไว้หน้าประตูเล่า

แต่เวลานี้ชุ่ยเวยเพียงต้องการตัวคนหามเกี้ยวที่ผลักตนเองเมื่อครู่เพื่อคิดบัญชีกับเขาเท่านั้น

ตอนที่นางวิ่งไล่ตามไปข้างหน้าด้วยอารมณ์เดือดดาล ก็พบว่าคนหามเกี้ยวทั้งสี่คนต่างนั่งลงกับพื้น

และมีสองคนที่ถอดเสื้อออก

แม้จะเป็นร่างกายที่กำยำแข็งแรง แต่เวลานี้กลับไม่อาจปกปิดความอ่อนล้าบนตัวของคนทั้งสี่ได้

ทว่าคนขายแรงแลกข้าวกิน แต่มีร่างกายที่ดีเช่นนี้ และหัวใจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก

เมื่อชุ่ยเวยเห็นภาพนี้ก็กลับใจอ่อน

นางอยากกลับบ้านไปบอกบิดาว่าคนเหล่านี้มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเพียงใด เพื่อให้บิดาของนางมอบเงินสักเล็กน้อยให้พวกเขาใช้จ่าย

แต่นางกลับหลงลืมไปแล้วว่าตนแอบหนีออกมา

ยิ่งไปกว่านั้นสภาพของนางในตอนนี้ต่อให้มารดาแท้ๆ มาเห็นก็ยังจำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ชุ่ยเวยถอนใจเบาๆ นางหันหลังกลับด้วยความเวทนาในใจยิ่ง ก่อนเดินลึกเข้าไปในตลาดต่อไป

แม้จะเป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ แต่ชุ่ยเวยกลับคาดการณ์ไม่ผิด

นางมองคนขายของเร่ที่เดินมาและกำลังแข่งกันตะโกนขายของ

และมองเห็นชายผู้หนึ่งต้องปักผ้าอย่างงุ่มง่ามเรียกลูกค้าเพื่อให้เข็มกับด้ายในหาบขายออก

พอสตรีหลายคนเห็นเข้าต่างพากันปิดปากหัวเราะเบาๆ

พวกนางหัวเราะตรงที่เหตุใดคนขายของเร่ผู้นี้จึงทำงานที่สตรีทำ แต่ในใจของคนขายของเร่กลับคิดถึงแต่ภรรยา ลูกชายและพ่อแม่ของตนที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเท่านั้น…

ทุกสิ่งล้วนทำให้ชุ่ยเวยรู้สึกสนุกยิ่งนัก

แต่ความสนุกเหล่านี้กลับยังไม่ทำให้นางอิ่มเอมใจพอ

มีเพียงได้พบเห็นความครึกครื้นมากพอแล้วจึงนับว่าสมบูรณ์แบบและคุ้มค่าที่นางเสี่ยงหนีออกมาเพียงคนเดียว

ไม่นานจากนั้นนางยังได้เห็นขอทานน้อยตัวจริงคนหนึ่งด้วย!

เขาเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่มุมถนน และเอาแต่มองร้านขายขนมถั่วแดงนึ่งและอดกลืนน้ำลายไม่ได้

ชุ่ยเวยมองตามสายตาของเขาไป ก็รู้สึกว่าขนมถั่วแดงนึ่งร้อนๆ นั่นดูน่ากินยิ่งนัก

เมื่อกัดไปคำหนึ่งจะต้องอมเอาไว้เสียก่อน!

ห้ามเคี้ยวและอย่างเพิ่งกลืน

ต้องใช้ลิ้นดุนให้มันกลิ้งไปมาอยู่ในปาก จากนั้นเงยหน้าขึ้นพ่นไอร้อนออกจากปาก

จวบจนไอร้อนถูกพ่นออกจนหมดแล้ว ค่อยปิดปากลงออกแรงเคี้ยวแล้วกลืนลงไป

มารดาของชุ่ยเวยทำขนมถั่วแดงนึ่งอร่อยที่สุด

ทุกครั้งที่เห็นวิธีกินอย่างมูมมามของชุ่ยเวย นางก็อดหน้าบึ้งและดุนางคำสองคำไม่ได้

แต่ชุ่ยเวยกลับไม่เคยฟังใส่หูเลยสักครั้ง

ยังคงกินด้วยวิธีกินของตนเอง แม้ว่าดูไปแล้วจะไม่เรียบร้อยก็ตาม

“เจ้าก็อยากกินขนมถั่วแดงนึ่งนั่นหรือ”

ชุ่ยเวยพยักหน้า

“เจ้ามาจากที่ใด เหตุใดไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย”

เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถาม

เขาเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของชุ่ยเวยจึงคิดว่านางเป็นขอทานเหมือนกับตน

คนทำการแสดงมีกลุ่มนักดนตรี คนเล่านิทานมีชุมนุมเล่านิทาน

ขอทานก็มีกลุ่มก้อนของตน

ขอทานน้อยผู้นี้เห็นว่าชุ่ยเวยไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่ก็ตัดสินไม่ได้ในทันใดจึงได้ถามเช่นนี้

“เพิ่งมาวันนี้!”

ชุ่ยเวยกลอกตาหนหนึ่งแล้วเอ่ย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้! วันหน้าเจ้าก็ไปกับข้าเถิด! ติดตามข้าจะมีของอร่อยกินทุกวัน!”

เมื่อขอทานน้อยผู้นี้ได้ยินว่าชุ่ยเวยเป็นคนมาใหม่ก็ชี้ตนเองพลางคุยโวขึ้นทันใด

แม้ในใจชุ่ยเวยอยากหัวเราะออกมา แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างใสซื่อ

“เจ้าอยากกินขนมถั่วแดงนึ่งนั่น ข้าก็อยากกินเช่นกัน! แต่หนนี้เจ้าอยู่ข้างหลังข้าดูว่าข้าทำเช่นใดก่อน แล้วตั้งใจจำให้ดี เรียนรู้ให้มากๆ เข้าไว้!”

ขอทานน้อยกล่าว

จนชุ่ยเวยรับคำ ขอทานน้อยก็เดินตรงไปหน้าร้านขายขนมถั่วแดงนึ่ง

จากนั้นก็ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ

ปากพึมพำพูดไม่ชัดว่าตนและน้องสาวอดข้าวมาสองมื้อแล้ว…จากนั้นเพียงกลอกตาหนหนึ่งก็สามารถปั้นแต่งเรื่องโกหกใหญ่โตว่าไปขอพึ่งพาญาติแต่เขาไม่ยอมรับกลับถูกไล่ออกมา

คนขายขนมถั่วแดงนึ่งเป็นหญิงชรา

นางค้อมตัวลงฟังคำขอทานน้อยผู้นี้และมีน้ำตาพรั่งพรูออกมา

จึงใช้ตะเกียบคีบขนมสามสี่ลูกให้เขา

เมื่อขอทานน้อยได้ขนมถั่วแดงนึ่งมาแล้วก็ไม่ได้สนใจว่าต้องเอ่ยคำขอบคุณ ลากชุ่ยเวยราวกับเหินบินวิ่งไปที่ลับตาคน

“เจ้าใช้วิธีนี้ขอมาหรือ”

ชุ่ยเวยถามด้วยความตื่นเต้น

ขอทานน้อยไม่ตอบ รีบยัดขนมถั่วแดงนึ่งลูกหนึ่งใส่ปากอย่างรวดเร็ว

ชุ่ยเวยเห็นว่าวิธีที่เขากินขนมถั่วแดงนึ่งเหมือนกับที่ตนกินไม่มีผิด จึงสงสัยว่าเด็กชายปากเล็กเพียงนี้ แล้วยัดขนมถั่วแดงนึ่งทั้งลูกเข้าไปได้อย่างไร?!

“ข้าให้!”

เมื่อขอทานน้อยกินไปลูกหนึ่งก็ยื่นให้ชุ่ยเวยสองลูก

“เจ้าเพิ่งมาใหม่ครั้งแรก แบ่งกันคนละครึ่ง แต่หลังจากนั้นเจ้าจะต้องให้ข้ามากขึ้นอีกเท่าหนึ่ง! เพราะอย่างไรข้าก็เป็นคนชักนำเจ้าเข้าสู่วงการนี้!”

ขอทานน้อยกล่าว

ชุ่ยเวยรับขนมถั่วแดงนึ่งมา พอได้ยินคำพูดของขอทานน้อยก็ไม่คิดว่าเขาจะมีคุณธรรมถึงเพียงนี้!

แต่เขาใช้วิธีแต่งเรื่องโกหกไปหลอกหญิงชราผู้หนึ่ง ชุ่ยเวยกลับไม่เห็นด้วย…

“เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะรู้ความจริงหรอกหรือ”

ชุ่ยเวยถาม

“มีสิ่งใดต้องกลัวกัน แผงพวกนี้วางอยู่ที่นี่ทุกวัน แต่พวกเรากลับพเนจรไปทุกแห่ง ตั้งแต่ทางใต้ไปจนทางเหนือของเมือง ทุกครึ่งเดือนพี่น้องทางใต้ของเมืองก็จะมาสับเปลี่ยนกับพี่น้องทางเหนือ เมืองหลวงมีคนไปมามากมาย ผ่านไปครึ่งเดือน ผู้ใดจะยังจำได้อีก!”

ขอทานน้อยเอ่ยทั้งรอยยิ้มแต่ไม่ได้ค่อนแคะว่าชุ่ยเวยขี้ขลาด

เมื่อมองขนมถั่วแดงนึ่งสองลูกที่ขอทานน้อยถือเอาไว้ในมือกลายเป็นสีดำขึ้นมาเล็กน้อย ชุ่ยเวยก็กินไม่ลงจริงๆ…

ด้วยจนหนทาง นางจึงโกหกว่านางจะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเด็กหญิงจะไม่ค่อยสะดวกนักจึงสามารถปลีกตัวจากขอทานน้อยได้

ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าไป จู่ๆ นางก็เห็นร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่ง

ซึ่งก็คือเด็กสาวแสดงดนตรีที่นางสับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นั่นเอง

ชุ่ยเวยเห็นว่านางยืนอยู่ข้างโต๊ะคอยรินสุราให้ตาเฒ่าผู้นั้นทีละจอกอย่างว่าง่าย

ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกัน ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกเช่นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

ชุ่ยเวยรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ แต่ก็คิดสาเหตุไม่ออก

จึงได้แต่เดินไปมาอยู่หน้าประตูและคอยมองเข้าไปข้างในเป็นระยะ

ทันใดนั้นเมื่อเด็กสาวยกมือขึ้นรินสุรากลับมีแสงวิบวับประกายขึ้นมา

ชุ่ยเวยตาดีอย่างยิ่ง!

นางมองออกทันทีว่าเป็นกำไลลงยาสีน้ำเงินขอบทองที่ตนมอบให้ตาเฒ่าไปก่อนหน้านี้!

ตามหลักแล้วตาเฒ่าน่าจะขายกำไลวงนี้ไปนานแล้วจึงจะถูก…

เหตุใดจึงเก็บไว้จนบัดนี้ และยังให้เด็กสาวสวมมันด้วยเล่า

ชุ่ยเวยเดินวนไปมากับที่หลายก้าวจึงเพิ่งเข้าใจขึ้นมา!

ตนต้องถูกทั้งคู่ร่วมมือกันหลอกเสียแล้ว!

แม้เด็กสาวผู้นี้จะถูกตี เเต่นั่นเป็นแผนการที่พวกเขาหารือกันก่อนหน้าแล้วก็เท่านั้น…

ชุ่ยเวยอับอายจนโกรธเคือง!

หรือว่าทั้งตลาดจะไม่มีคนดีจริงๆ เลยสักคน

นางคิดอยู่เช่นนี้ในใจ

ในเวลานั้นเอง ตาเฒ่าและเด็กสาวก็มองเห็นนางเช่นกัน

ในพริบตาที่สายตาของพวกเขาทอดมาถึง ใบหน้าของคนทั้งสองบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด ตรงปลายจมูกกลายเป็นโพรงลึกขนาดใหญ่และมืดดำ…

ชุ่ยเวยไม่กล้ามองตรงๆ…คล้ายว่าหากมองแล้ววิญญาณของตนก็จะดูดเข้าไปเช่นนั้น

แต่ยิ่งดิ้นรน นางกลับยิ่งถลำลึกลงไป…

ชุ่ยเวยอึดอัดจนทนไม่ไหวจึงย่อตัวลงร้องลั่นขึ้นมา เมื่อนั้นนางจึงถูกดึงออกมาจากความทรงจำ

……………………

นางรู้สึกแต่ว่ามีลมเย็นพัดมาตรงท้ายทอย

เมื่อหันหน้ากลับไปมอง คนชุดขาวผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังนาง มือถือดาบสีนิลพุ่งเข้ามาที่ลำคอของนาง

หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่นี้นางนั่งลงกรีดร้องอยู่ในความทรงจำ ทำให้ร่างของนางในเวลานี้ตอบสนองอย่างเดียวกัน นางก็จะถูกดาบนี้ดับชีวิตลงไปนานแล้ว…

คนชุดขาวเห็นว่าดาบของตนพลาดเป้า แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

ทว่าดาบสีนิลในมือของเขาค่อยๆ จางหายไป…

เริ่มจากด้ามดาบไปจนถึงปลายดาบค่อยๆ หายวับไปในอากาศ

ภาพนี้เหมือนกับตอนที่ชายชุดดำประมือกับคนชุดขาวก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

ชุ่ยเวยคิดว่าที่คนชุดขาวปรากฏกายอยู่ที่นี่ ย่อมหมายถึงชายชุดดำได้ตายไปแล้วเป็นแน่…

ในขณะที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นับพันนับหมื่นอย่าง ทันใดนั้นก็มีกระบี่ยาวสีเงินไร้ฝักด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท