บทที่ 215 ที่แท้ท่านก็รู้ทุกอย่างหมดแล้ว
” นี่เป็นสิ่งที่ประมุขเผ่าท่านเก่าเคยเขียนเอาไว้ ข้าไม่เข้าใจเรื่องวิชาการรักษา ข้าดูไม่รู้หรอกว่าบนกระดาษเขียนสิ่งใดไว้ แต่ข้าคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับคนโดนมนต์ดำ ดังนั้นจึงเอามาให้เจ้าลองดู หวังว่าจะมีประโยชน์แก่เจ้า ”
หลานเยาเยาหันไปจ้องมองกระดาษในมือของผู้อาวุโสสามยื่นมาให้ สิ่งที่อยู่ในมือของผู้อาวุโสสามนั้นถือเป็นร่องรอยของกาลเวลาที่หลงเหลืออยู่
หากไม่หันไปมองดวงตาอันเจ้าคิดเจ้าการของเขา นางก็คงจะคิดว่าเขาก็เป็นเพียงชายชราที่อยู่เฝ้ารอความตายเท่านั้น
ในตอนที่ลักพาตัวผู้อาวุโสใหญ่หนังสือทำเนียบบรรพชนเล่มนั้นพวกเขาไม่ได้หยิบเอามาด้วย แต่กลับวางมันกลับไปยังช่องลับดังเดิม
แล้วกระดาษสีเหลืองซีดที่อยู่ในมือของผู้อาวุโสสามตอนนี้นั้น ดูก็สามารถรู้ได้เลยว่ามันเป็นกระดาษแบบเดียวกับหนังสือทำเนียบบรรพชนทุกอย่าง ดังนั้นจึงกล้ามั่นใจว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกฉีกออกมาจากหนังสือทำเนียบบรรพชน
ก่อนนี้ตอนอยู่ในห้องของผู้อาวุโสใหญ่ บทสนทนาของเขาและผู้อาวุโสรองพวกเขาล้วนได้ยินหมดแล้ว ตอนนี้ดูแล้วเขาคงกำลังหลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปหาความตายในหุบเขาจิ้น
แล้ว !รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลานเยาเยาทันที จากนั้นก็ยื่นมือไปรับกระดาษนั้นอย่างทะนุถนอม จากนั้นก็กวาดตาดูอยู่ครู่หนึ่งพลางแววตาก็ประกายขึ้นมา
“สิ่งนี้นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก ”
ผู้อาวุโสสามมองดูปฏิกิริยาของนางแล้วก็รู้สึกพอใจอย่างมาก จากนั้นจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะพาผู้อาวุโสรองเดินจากไป
พอพวกเขาจากไป ภายในห้องก็เงียบขึ้นมาทันที
รอยฟกช้ำบนใบหน้าของหานแสยังไม่หายดี หลังจากที่หันไปมองเย่แจ๋หยิ่ง เขาก็รู้สึกอยากจะออกห่างจากเขา
ส่วนเย่แจ๋หยิ่งก็ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ไม่ได้กลับไปยังห้องของตัวเอง และไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงสายตากำลังจ้องมองไปยังกระดาษสีเหลืองซีดในมือของหลานเยาเยา
หลานเยาเยาในตอนนี้เองจะมีอารมณ์จากไหนมาสนใจพวกเขากัน?
ขนาดแม้แต่เรื่องที่หานแสพาผู้อาวุโสใหญ่ไปซ่อนไว้แห่งใดนางก็ไม่ได้ถาม แต่กลับหันไปอ่านกระดาษที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว
“เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ไม่มีทางเป็นไปได้……” สำหรับปฏิกิริยานี้ของนางทั้งเย่แจ๋หยิ่งและหานแสต่างก็คาดไม่ถึง
เย่แจ๋หยิ่งไปก่อนหานแสก้าวหนึ่ง ดังนั้นในไม่ช้าจึงไปถึงข้างกายของหลานเยาเยา ก่อนจะมองไปยังกระดาษแผ่นนั้น
เพียงแต่……
ทันทีที่ดู เย่แจ๋หยิ่งกลับตะลึงงัน
ตัวอักษรที่เขียนไว้บนนั้น เขาอ่านไม่ออกเลยสักนิด แต่กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่จากปฏิกิริยาของหลานเยาเยาแล้วก็ทำให้รู้ได้เลยว่านางอ่านเข้าใจทั้งหมด
หานแสเองก็เข้ามาดูแต่ก็อ่านไม่เข้าใจเลย แต่บนหน้ากระดาษมีภาพวาดอธิบายอยู่ ในนั้นมีภาพวาดดอกไม้หนึ่งดอกอยู่สองภาพ ส่วนอีกภาพเป็นภาพเส้นทาง พูดได้ชัดเจนเลยว่าด้านหลังของแท่นบูชายัญจองชนเผ่านั้นก็คือหุบเขาจิ้น
” บนหน้ากระดาษเขียนสิ่งใดไว้หรือ? ” หานแสถาม
หลานเยาเยาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าพลางเอ่ยปากอย่างเบาๆ
” ดอกกระดูกขาว ยาต้นกำเนิดตัวสุดท้ายอยู่ในหุบเขาจิ้น ”
” เจ้าเข้าใจทั้งหมดเลยงั้นหรือ? ” สิ่งนี้ทำให้หานแสรู้สึกประหลาดใจอย่างหนัก
“เพียงบางส่วนเท่านั้น!”
มากกว่านั้นเพียงเล็กน้อย นางสามารถเข้าใจทุกตัวอักษรเลย
แต่เพราะด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่แค่นางไม่มีความสุข แต่ยังมีความกังวลอีกด้วย
พิษกู่จิ้นในตอนนี้ไม่ใช่พิษกู่จิ้นดั้งเดิมอีกแล้ว พิษกู่จิ้นดั้งเดิมนั้นถึงแม้จะสามารถควบคุมจิตใจของคนได้ ทำให้คนเปลี่ยนราวกับคนตายทั้งเป็น แต่มันกลับไม่สามารถทำให้ผู้ที่โดนพิษกินเลือดกินเนื้อได้ และยิ่งไม่สามารถเป็นโรคติดต่อได้ด้วย
“ลายมือนี้ไม่ใช่ลายมือของอดีตประมุขเผ่า ”
ลายมือของท่านพ่อของฮัวหยู่อันหานแสเคยเห็นมาก่อน ดังนั้นเขากล้ารับรองเลยว่าลายมือบนกระดาษแผ่นนี้ไม่ใช่ท่านพ่อของฮัวหยู่อันเป็นคนเขียน
“คาดว่าน่าจะเป็นลายมือของราชครูที่หายตัวไปท่านนั้น” หลานเยาเยาเอ่ยอย่างเบาๆ
ผู้ที่มาจากต่างแดนคนหนึ่ง มาอาศัยตั้งรกรากในหมู่บ้านประมง ต่อมาหลังจากที่จากหมู่บ้านไปก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งราชครู อีกทั้งการครองตำแหน่งราชครูครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาถึงห้าหกสิบปี แล้วสี่ห้าปีก็ยังกลับมาที่ชนเผ่า ซึ่งในทุกครั้งที่กลับมาก็มีอาการเจ็บป่วยหนัก และทุกครั้งก็มักมีผู้ตามมาลอบสังหาร แล้วผู้คนในชนเผ่าก็จำเป็นต้องเสียสละเพื่อปกป้องเขา
ดังนั้น! ทุกครั้งที่เขากลับมาก็ต้องมีคนตาย
เป้าหมายที่แท้จริงของราชครูคืออะไรกันแน่?
ชนเผ่าหยินไห่จะยังมีความลับแบบไหนอีก ?
” ที่แท้พวกเขาก็ใช้วิธีการเช่นนี้มาหลอกล่อให้พวกเราเข้าไปในหุบเขาจิ้นนี่เอง ในเมื่อมียาต้นกำเนิด เช่นนั้นก็จำเป็นต้องไป”
ไม่ว่าข้างในนั้นจะอันตรายเพียงใด เขาก็จะต้องไป
ถูกพิษกู่จิ้นทรมานมาแล้วยี่สิบปี หากไม่สำเร็จก็ขอตายอย่างมีเกียรติ
ถึงอย่างนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามเขาจะต้องให้ชนเผ่านี้ถูกฝังไปพร้อมกับเขา
“ได้ เช่นนั้นก็ไป! ”
หลังจากตัดสินใจ หานแสก็ไม่ได้อยู่ต่อ หลังจากที่เขาออกไป ก็เอาร่างผู้อาวุโสใหญ่ที่ซ่อนอยู่บนต้นไปด้วย
ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาถึงสถานที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่เมื่อยังเด็ก ที่นี่เขาลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว มอสที่ขึ้นเต็มไปหมดกับกำแพงที่แตกหัก
เขายืนนิ่งอยู่หน้ากำแพงอันทรุดโทรม ก่อนจะปล่อยผู้อาวุโสใหญ่ที่ยังสลบไม่ตื่นลงกับพื้นด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็เป่านกหวีด
แล้วยิงจวนอย่างเฮย-ไป๋อู่ฉาง(ยมทูตขาวดำ)ก็ปรากฏมาตรงหน้าของเขา พร้อมกับทำความเคารพ
” ขอคารวะเจ้านาย ”
” รวบรวมคนจนครบแล้วหรือ? ” หานแสกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างชั่วร้าย
” เรียนเจ้านาย ตอนนี้ได้ทำการแฝงตัวเข้าไปในชนเผ่าเรียบร้อยแล้ว ” เฮย-ไป๋อู่ฉาง(ยมทูตขาวดำ)กล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
” เช่นนั้นก็ดี วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปในหุบเขาจิ้น หากว่าวันมะรืนไม่เห็นข้าออกมา ก็สังหารทุกคนในชนเผ่าแห่งนี้ให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ”
“ขอรับ!”
——
ภายในห้อง
หลานเยาเยาใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะไว้ ดวงตาจ้องมองไปบนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างมาก
จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มีคนส่งชาร้อนมาให้จากที่นั่งตรงข้าม จากนั้นเสียงทุ้มๆก็ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
“ไม่ควรจะไปหุบเขาจิ้น! ”
เสียงที่เบาบางแต่หนักแน่น และก็ปฎิเสธไม่ได้
หลานเยาเยาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง เพราะนางรู้ว่าในช่วงเวลาเช่นนี้มีเพียงเย่แจ๋หยิ่งเท่านั้นที่อยู่ข้างกายของนาง แต่ครั้งนี้ นางจะไม่เชื่อฟังเขาอีกแล้ว
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านรู้หรือไม่? ตอนนี้สิ่งที่ข้าหมกมุ่นอยู่ไม่ใช่เพียงยาถอนพิษหนอนกู่จิ้นเท่านั้น แต่ข้าต้องการที่จะเข้าใจคนคนหนึ่ง คนที่สามารถทำให้พิษกู่จิ้นแพร่ในดินแดนที่ไม่ใช่แหล่งของพิษ กล่าวให้ชัดเจนเลยก็คือเขาอาจจะเป็นเหมือนกับข้า และข้าต้องการที่จะรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา ดังนั้นหุบเขาจิ้นที่อยู่ตรงหน้าจึงถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ”
นางไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าเป็นคนเช่นไร แต่นางรู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งเข้าใจความหมายของนาง
นางจะไปหุบเขาจิ้นนั้นแน่ชัดแล้ว
ผู้ใดก็ขัดขวางนางไม่ได้ นอกจากนางตายเท่านั้น
” ไม่เคยมีผู้ได้รอดออกมาจากข้างในนั้น ” เย่แจ๋หยิ่งกล่าวด้วยความตั้งใจอย่างผิดปกติ
” บางทีอาจมีปาฏิหาริย์! ”
หลานเยาเยาหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นกล่าวถาม
“ท่านรู้จักน้ำปรโลกหรือไม่? ”
ทันใดนั้น เย่แจ๋หยิ่งก็นิ่งงัน
เขาคิดไม่ถึงว่าจู่ๆหลานเยาเยาจะถามสิ่งนี้ จึงพยักหน้าอย่างไม่ตั้งตัว
“รู้จัก!”
“ข่าวคราวที่ว่าตราหยกของราชวงศ์เก่าอยู่ในชนเผ่าหยินไห่ ผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวท่านรู้หรือไม่?”
ในตอนที่ถามสิ่งเหล่านี้ นางแสดงใบหน้าที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอด ท่าทางเช่นนี้ของนางทำให้เย่แจ๋หยิ่งปวดใจ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถปิดบังนางได้อีกแล้ว
“ข้ารู้ ! ”
” เช่นนั้นท่านก็รู้ว่าข้ากำลังตามหาองค์ชายแห่งราชวงศ์เก่ามาโดยตลอด? ” น้ำตาเม็ดโตร่วงลงมาจากดวงตาของหลานเยาเยา แต่นางก็ยังดึงริมฝีปากขึ้นอย่างเข้มแข็ง
“ข้ารู้”
เขาเอื้อมมือออกไปหวังจะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง แต่นางกลับปัดมือเขาทิ้ง
“เหอะๆๆ…”
แล้วหลานเยาเยาก็หัวเราะออกมาอย่างเจ็บปวดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเศร้าและอ้างว้าง
สุดท้ายนางก็ถามราวกับเสียงคำรามว่า ” เช่นนั้นท่านก็คงจะรู้ว่าตราหยกของราชวงศ์เก่าอยู่ในมือข้าตลอด ? ”
ในเวลานี้เอง เย่แจ๋หยิ่งถึงกับตัวเกร็ง ดวงตาค่อยๆปิดลงแล้วปากบางๆก็เอ่ยขึ้นมา
“รู้ ข้ารู้ทุกอย่าง” เสียงของเขาแหบลงและเบาจนเกือบจะไม่ได้ แต่หลานเยาเยาก็ยังได้ยิน
“ที่แท้ท่านก็รู้ทุกอย่าง แต่กลับอยู่ข้างกายข้าเพื่อมองดูข้าค่อยๆเข้าสู่สนาม ดูแล้วข้าช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ทุกอย่างข้าล้วนคิดผิด ไม่ว่าท่านจะใช้ประโยชน์จากข้าหรือไม่ แต่อย่างน้อยในใจของท่านก็มีพื้นที่เพียงเล็กๆน้อยๆที่เป็นของข้า
แต่แล้ว…… ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องจอมปลอม ข้ามีชีวิตมาแล้วสองชาติ ครั้งแรกก็ถูกคนคนหนึ่งเล่นกับความรู้สึกเช่นนี้ แต่ข้ากลับเกลียดเขาไม่ลง ท่านว่า ข้าน่าสมเพชหรือไม่ เหอะๆๆๆ….”
นางที่กำลังหัวเราะอยู่ ก็ค่อยๆร้องไห้อย่างเงียบๆ