บทที่ 262 แอบกินหน่ะอร่อยไหม?
ทันทีที่หยิบน่องไก่ออกมา นางก็เห็นว่ามีข้าหลวงกำลังเดินมาทางศาลานี้ผ่านผ้าโปร่งแสง
อับจนหนทาง นางจำเป็นต้องหลบอีกจนได้
หากกินบนพื้นไม่ได้ งั้นนางขึ้นไปแอบกินอยู่บนต้นไม้ก็คงจะมิมีผู้ใดเห็นได้แล้วกระมัง?
และแล้ว!
เมื่อนางเหาะขึ้นไปบนต้นไม้ ก็เห็นองครักษ์คุ้มกันยืนซ่อนตัวอยู่ในความมืด
หลานเยาเยาอึดอัดใจ: “ท่านผู้นี้เลือกที่ได้ดีเสียจริง”
เมื่อพูดจบก็หลบหลีกไป
องครักษ์ที่ยืนคุ้มกันอยู่ในความมืด: “……”
เปลี่ยนสถานที่มาแล้วตั้งหลายที่ หลานเยาเยาก็พบปัญหาอย่างหนึ่งว่า วันนี้ไม่เหมาะแก่การกิน
ไม่หน่า เดินมาไกลโขแล้วนะ ในทันทีที่หลบเข้ามาในพงหญ้า ก็เห็นชายชั่วช้าสามานย์กว่า 20 คนกำลังเปลี่ยนชุดรัตติกาลกันอยู่ตรงนั้น
ซวยขนาดนี้คงเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้ว!
พวกเขาหันมองตากันปริบๆ เดาว่าคงจะรู้จักนาง ถึงได้มิมีใครทำสิ่งใด
“พวกเจ้าเปลี่ยนอยู่ ก็เปลี่ยนกันต่อไป ทำเหมือนว่าข้าไม่เคยผ่านมาก็แล้วกัน”
หลานเยาเยาหมดอาลัยตายอยาก
หลังจากหลบออกมา นางก็นึกถึงแต่น่องไก่ในระบบ ที่เหมือนจะยังไม่ได้กัดเลยสักคำ หัวใจของนางก็เจ็บเหมือนโดนแมวข่วนยังไงยังงั้น อึดอัดไปหมดเลย
หรือว่าต้องไปหลบในกระถ่อมถึงจะได้กิน?
ทางออกนี้มันก็ดี เพียงแต่กลัวว่าจะกลืนไม่ลงนี่สิ!
แล้วจะแอบไปกินที่ไหนดี ถึงจะกินอิ่มหนำได้แบบที่ไม่ต้องมาห่วงภาพลักษณ์?
ในขณะที่คิดอยู่นั้น……
หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นบ้านสูงสามชั้นหลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่สูงที่สุดในสนามม้า เป็นที่สำหรับคนในราชวงศ์มาพักผ่อน
เพลานี้……
หลานเยาเยาก็ตาเป็นประกายแวววาว
ในเมื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในราชวงศ์ เช่นนั้นคนทั่วไปก็ไม่มีทางเข้าไปได้ เพลานี้ฮ่องเต้กับไทเฮาก็อยู่ที่งาน การแข่งขันล่าสัตว์ก็กำลังจะเริ่มขึ้น ยังไงพวกเขาก็ไม่กลับมาที่นี่แน่ๆ
เช่นนั้น กินอาหารที่นี่ก็ปลอดภัยที่สุดแล้ว
ดังนั้น นางจึงแอบเข้าไปที่นั่นในทันที หลีกเลี่ยงองครักษ์ที่ราดตระเวนและที่เฝ้าอยู่ตรงประตู โดยเหาะขึ้นไปที่ชั้นสามโดยตรง
เข้ามาด้านในของห้องท้ายสุด
ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของจันทน์หอมที่โชยฟุ้งเตะจมูก ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายอิ่มเอมใจ
มองดูการตกแต่งภายในห้อง ก็ดูจะเป็นทำนองเดียวกับไทเฮา
“ฟู่ว……”
“ในที่สุดก็ได้แก้กระหายสักที”
หลานเยาเยาหยิบน่องไก่ออกมาก็กัดทันใด ในที่สุดก็ได้แก้ความกระหายอย่างเอร็ดอร่อย นางเคี้ยวมันอย่างพิถีพิถัน ค่อยๆลิ้มรสชาติมันไป
เมื่อนึกถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่นางนั่งอยู่บนที่นั่ง สายตาอันดุดันนั้นที่จ้องมองนาง นางจึงเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง
จากนั้นก็ไปดูใต้หมอนที่อยู่บนเตียง ก็ได้เห็นหนังสือที่วางอยู่ตรงหัวมุม จึงหยิบขึ้นมาเปิดดู
ม่านตาของหลานเยาเยาเบิกกว้าง มุมปากยกขึ้นในทันใด
“นี่มันภาพอนาจารสิบแปดกระบวนท่าการแสดงความรักรึนี่? ไทเฮาก็แก่เฒ่าเจ็ดแปดสิบแล้วมั้งเนี้ย! อิ้ว~ แม่เจ้า……”
ทันทีที่นางสั่นระรัว ก็โยนภาพอนาจารลงบนเตียง
อันที่จริงก็โยนไปงั้นๆ แต่เมื่อมีเสียงโยนลงไปก็มีปัญหาผุดขึ้นมา
เศษกระดาษแผ่นนึงที่ถูกเก็บไว้ในภาพอนาจารหลุดออกมา เศษกระดาษนั้นเก่าคร่ำครึ คงจะเพราะเก็บมานานแล้ว หลานเยาเยาหยิบขึ้นมาดู
ในนั้นเขียนว่า: “ข้าได้ให้คนในจวนแม่ทัพทำอย่างที่ท่านต้องการแล้ว เฉินเอ๋อจะได้ขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาทเมื่อใด? เหตุใดท่านถึงให้เฉินเอ๋อของข้าคลุมถุงชนกับคนต่ำช้าเช่นนาง?
ตำแหน่งรัชทายาท?
เฉินเอ๋อ?
เย่หลีเฉิน?
อักษรบนเศษกระดาษนั้นวิจิตรบรรจง พอเห็นก็รู้เลยว่าเป็นลายมือของผู้หญิง
ส่วนเนื้อหาในจดหมาย ก็น่าจะเขียนขึ้นตั้งแต่ที่เย่หลีเฉินยังไม่ได้ขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาท ที่ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเศษกระดาษที่ฮองเฮาผู้ซึ่งสิ้นไปแล้วเขียนให้แก่ไทเฮา
อีกทั้งยังมีเรื่องคลุมถุงชน……
หลังจากที่เย่หลีเฉินขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาท เขาก็เป็นคนทำสัญญางานหมั้นด้วยตนเอง
เช่นนั้น คนที่ไทเฮาให้ฮองเฮากำจัดเป็นใครกัน?
และที่ยิ่งไปกว่านั้น คือต้องการให้คนที่สอดแนมในจวนแม่ทัพลงมือ ก็เป็นแม่ของตังเองอย่างนั้นรึ?
งั้นเหตุใดไทเฮาถึงจะให้นางจับเย่หลีเฉินคลุมถุงชนกันล่ะ?
ทันใดนั้น!
“กรอบแกรบ กรอบแกรบ………”
มีคน?
หลานเยาเยารีบเก็บเศษกระดาษ
นางไม่กลัวอยู่แล้วว่าไทเฮาจะรู้ว่าเศษกระดาษแผ่นนี้หายไป
จะอย่างไรก็ตาม!
เศษกระดาษแผ่นนี้อาจจะเปิดโปงข้อตกลงลับระหว่างนางกับฮองเฮาก็ได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะมาใส่มั่วซั่วไว้ในภาพอนาจารใต้หมอน?
แทนที่จะเผามันทิ้งไป?
หรือไม่ก็เก็บมันไว้ให้ลึกลับกว่านี้เพื่อกดดันฮองเฮาให้ทำเรื่องแก่นาง?
เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ คือไทเฮาลืมไปตั้งนานแล้วว่ามีเศษกระดาษแผ่นนี้อยู่ อีกทั้งไทเฮาก็อาจจะไม่ได้เข้ามาในห้องนี้นานมากแล้ว
ดังนั้น หลังมันผ่านมานานหลายปีก็เลยตกมาอยู่ในมือของนาง
การตายของแม่นั้นแปลกประหลาด!
เพียงแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกี่ยวกับฮองเฮาที่สิ้นไป และไทเฮาที่ยังทรงพระชนม์ชีพ
เอาล่ะ!
ไขคดีเหล่านี้ไปทีละนิด
เมื่อหลานเยาเยาออกมาจากห้อง นางก็เหาะขึ้นไปบนหลังคา กัดน่องไก่ในมือไปสองสามคำ แล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบ
หลังจากเห็นว่ามิมีผู้ใดจึงได้นั่งลง เอนหลังพิงไปยังชายคาบ้าน นั่งไขว้ขา กินน่องไก่อย่างสบายอกสบายใจ
“น่องไก่อร่อยไหม?”
เสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้น ทำเอาหลานเยาเยาตกใจไปยกใหญ่
แม่งเอ้ย!
ใครกันวะ?
นางดูลาดเลวดีแล้วนะ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่แถวนี้เลย แต่เสียงดันอยู่ใกล้นางมาก อย่างกับว่ามาจากด้านบนหัวของนาง
นางจึงเงยหน้าขึ้นไปทางต้นตอของเสียง……
ก็ได้เห็นเย่แจ๋หยิ่งในชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่บนชายคา มองนางด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม
มันทำให้นางอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
ชายผู้นี้……
มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ นางก็ยกมุมปาก พูดเรียบๆว่า:
“อ๋องเย่มิได้บาดเจ็บอยู่หรอกรึ? ใยไม่อยู่จวนรักษาบาดแผล ยังจะมาร่วมการแข่งขันล่าสัตว์อีก มีความตั้งใจอันดีเสียนี่กระไร!”
นางไม่ได้จะลุกหนีแต่อย่างใด
ในเมื่อเขาเห็นหมดแล้ว และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่าทางของนาง
ภาพพงภาพพจน์อะไร ต่อหน้าเย่แจ๋หยิ่งมันหมดไปตั้งนานแล้ว
งั้นยังจะกังวลอะไรอยู่?
สวาปามต่อ!
“หากเทียบเรื่องความตั้งใจอันดี เดาว่าคงมิมีผู้ใดเทียบเทพธิดาได้หรอก ขึ้นมาบนหลังคาสูงถึงเพียงนี้ ซ่อนตัวอยู่มุมชายคา ไม่คิดเลยว่าจะทำไปเพื่อการกิน เปิดหูเปิดตาข้าเสียนี่กระไร”
เมื่อเย่แจ๋หยิ่งแว๊บตัว ก็มาถึงตรงหน้านาง ทันทีที่ลงมาก็เอื้อมจะมาจับมือนาง
นางรีบปกป้องน่องไก่ไว้ในอ้อมแขน แล้วมองเขาอย่างหวาดระแวงเป็นอย่างมาก
“จะทำไร? คิดจะแย่งน่องไก่ข้ารึ?”
“……”
ทันทีที่เย่แจ๋หยิ่งกระตุกมุมปาก ก็จำใจชักมือกลับไป
เพียงแต่ว่า คราบมันที่เหนอะหนะบนใบหน้าของนางช่างน่าเกลียดเสียเหลือเกิน
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ต้องการชื่อเสียงเทพธิดาของเจ้าแล้วสินะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น!
หลานเยาเยาก็มีแววตาที่เปลี่ยนไป ยื่นมือออกไป สะบัดๆใส่เขา
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดไป รอข้ากินเสร็จก่อน”
เมื่อเสียงเงียบลง เย่แจ๋หยิ่งก็มิพูดสิ่งใด แล้วก็ลุกยืนเอามือไขว้หลัง เหมือนรอให้นางกินหมดก่อนจริงๆ
หลานเยาเยาซัดเข้าไปอย่างง่ายดาย กำจัดน่องไก่ในมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนกระดูกไก่ไปตามอำเภอใจ และแล้วก็ตกลงไปบนหัวขององครักษ์ราดตระเวน
องครักษ์ผงะไป แล้วก็มองต้นไม้ใบหญ้าเป็นดั่งศัตรูทั้งสิ้น: “ผู้ใด ผู้ใดมันทำร้ายข้า?”
เมื่อเห็นว่ามันคือกระดูกไก่ ก็งุนงงไปในทันที
ณ บนหลังคา
หลานเยาเยาปัดไม้ปัดมือ โปรยยิ้มเพียงเล็กน้อย และก็เดินจากไป
มองตามร่างของนางที่จากไป แววตาของเย่แจ๋หยิ่งก็มืดมน
นางกำลังหลีกเลี่ยงเขา…