ตอนที่ 369 – ไททันรอไม่ไหว
ในตอนแรกมีอยู่สามครอบครัวที่จัดงานแต่งขึ้นอย่างมีความสุขในย่านเดียวกัน ในตอนนี้ มีแค่สองครอบครัวเท่านั้นที่สามารถจัดได้ แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองครอบครัวก็ยังต้องระมัดระวังเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเห็นขบวนรถที่มีมาเซราติของสือเหล่ยนำหน้า ครอบครัวหลินไม่รู้ว่าจะทักทายสือเหล่ยและคนอื่นๆยังไงดี
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวหวังก็รู้สึกเศร้าใจราวกับว่าพ่อแม่ของเขาได้ตายจากไป พวกเขาสับสนเนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจว่าจู่ๆสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันขนาดนี้ได้ยังไง ณ จุดเริ่มต้น พวกเขารังแกครอบครัวหลินและยังทำให้พวกเขาต้องคุกเข่าลง แต่แล้ว ญาติที่โคตรรวยของตระกูลก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน
มันเลยเวลาที่จะไปรับเจ้าสาวมานานแล้วและรถที่จะใช้ก็พังยับเหมือนกับทรานฟอร์เมอร์ที่เพิ่งปกป้องโลกมา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหวังเพิงได้ลากหวังเซียวหยูตัวร้ายมาขอโทษครอบครัวหลิน
เห็นได้ชัดว่าพ่อและลูกชายของตระกูลหลินไม่คุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มชายหนุ่มที่แต่งกายอยู่ในชุดหรูหราต่างพากันยิ้มให้กับสือเหล่ย ในที่สุดพวกเขาก็ใจกล้าขึ้นมาบ้าง
หวังเพิงลากลูกชายของเขาเข้ามาและขอโทษครอบครัวหลินอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังได้มอบซองแดงให้เป็นของขวัญงานแต่งของครอบครัวหลินด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็หยิบเงินออกมาปึกหนึ่งและผลักมันให้กับเจ้าของรถซึ่งชนเข้ากับพวกเขา
หวังเซียวหยูถูกไล่ออกไปโดยหวังเพิง แต่เขาก็ยังถามหวังเพิงว่าจะให้ทำยังไงกับรถงานแต่ง หวังเพิงเตะเขาลงจากบันไดด้วยความฉุนเฉียวและก่นด่าออกมาเสียงดัง “นี่มันงานแต่งของแกหรือของฉันกัน? มันงานแต่งของแก คิดเอาเองสิ!”
เขายิ้มอีกครั้งหลังจากก่นด่า เขากระซิบกับหลินเจี้ยนและพ่อของเขาสักพัก บางทีอาจจะเพื่อต้องการโน้มน้าวให้พวกเขาพูดกับสือเหล่ย เจียงหยวนเชา และคนอื่นๆ ไม่ให้แพร่กระจาย “ความเข้าใจผิด” ในครั้งนี้ไปยังที่ทำงานของเขา ในท้ายที่สุด เขาก็คร่ำครวญออกมา และบอกว่าเขามันไม่ใช่มนุษย์และทำท่าทางตบตัวเอง ซึ่งทำให้หลินเจี้ยนและพ่อของเขารู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
ในที่สุดสือเหล่ยก็พูดขึ้นมา “พอเถอะ มันนี้เป็นวันดีและทำไมนายต้องมาโอดครวญอะไรที่นี่ด้วย? เรื่องวันนี้มันจบลงแล้ว จริงใจกับคนให้มากกว่านี้ละกัน โดยเฉพาะกับเพื่อนบ้านของนาย” สือเหล่ยเหลือบมองเจียงหยวนเชาในขณะที่เขาพูด
เจียงหยวนเชาเข้าใจสิ่งที่สือเหล่ยหมายถึงเนื่องจากเขาก็เป็นแค่คนเดียวที่ถูกทุบตี เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องสร้างความวุ่นวายอะไรอีก ญาติของสือเหล่ยกำลังจะแต่งงาน แต่เขาจะไปรีบเจ้าสาวได้ยังไงถ้าหวังเพิงยังไม่ออกไป?
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยและสือเหล่ยก็พูดต่อ “งั้นเอาตามนั้นแหละ กลับไปก่อนเถอะ ฝั่งของนายก็ยุ่งกันอยู่และลูกชายของนายก็ยังอยู่ในงานแต่งอยู่”
หวังเพิงไม่เข้าใจว่าสือเหล่ยจะตัดสินใจปล่อยเขาไปหรือไม่ แต่เนื่องจากสือเหล่ยสั่งแล้ว พวกเขาอาจจะโทรหาที่ทำงานของเขาได้ถ้าเขายังตื๊อต่อไปแบบนี้
หวังเพิงขอโทษอีกครั้งและจากไปด้วยความเศร้าหมอง
ในที่สุดครอบครัวหลินก็โห่ร้องออกมาได้หลังจากข่มไว้นาน แทบจะไม่มีครอบครัวไหนกล้าเผชิญหน้ากับครอบครัวหวังมาก่อนและพวกเขาก็ดีใจมากที่เห็นคนพวกนี้แพ้ราบคาบ
ในที่สุดสือเหล่ยก็มีโอกาสได้พูดคุยกับเจียงหยวนเชา “พี่หยวนเชา วิธีที่พี่ใช้นี่มัน… ผมได้ตรวจสอบดูแล้วและพบว่าตระกูลของพี่เป็นเจ้าของที่ทางแถวนี้ ตอนแรกผมคิดว่าพี่จะคุยกับผู้จัดการ ผมไม่คิดเลยว่า…”
เจียงหยวนเชาลูบแก้มของเขาซึ่งยังคงปวดอยู่และหัวเราะออกมา “ฉันเองก็ไม่คิดว่าลูกชายของครอบครัวนั้นจะบัดซบขนาดนี้ พ่อของงเขารู้แล้วว่าสถานการณ์มันเป็นแบบไหน แต่ลูกชายของเขาดันพุ่งเข้ามาและชกฉัน”
สือเหล่ยถาม “พี่ไม่เป็นไรนะ? เอายาป่าว?”
“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาจีนนะ แค่นี้มันจิ๊บๆ อีกไม่นานคงหาย”
หูเซียวหัวได้เดินเข้ามาด้วยพร้อมกับรอยยิ้ม “สือเหล่ย นายบอกว่าวันนี้ญาติของนายได้จัดงานแต่งขึ้น รถของนายคันเดียวจะพอได้ยังไง? ถ้ามีเรื่องแบบนี้ นายน่าจะบอกพวกเราตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเราจะได้รวบรวมรถไว้ก่อนและสถานการณ์คงจะไม่เป็นแบบนี้”
สือเหล่ยคิดว่าญาติเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะลุงและป้าของเขา เขาก็คงจะไม่สนใจกับเรื่องแบบนี้ มีคนที่หยิ่งผยองไปทั่วอยู่ทุกๆวันและเช่นกันก็มีคนที่ถูกรังแกอยู่ทุกๆวันด้วย ไม่ว่าสือเหล่ยจะรู้สึกถึงความชอบธรรมมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถจัดการกับทุกๆเรื่องได้ เขาแค่ไม่ต้องการให้ลุงสองของเขารู้สึกอับอายเฉยๆ
เนื่องจากหูเซียวหัวและคนอื่นๆได้ขับรถพวกนี้มาแล้ว สือเหล่ยก็ปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม เขาก็ไม่สามารถทนกินได้จริงๆ ก่อนอื่นเลย เขาไม่ได้คุ้นเคยครอบครัวหลินนัก และประการที่สอง ครอบครัวหลินบูชาเขาราวกับผู้นำครอบครัวและมันก็น่าอึดอัดเกินไป
หลังจากพูดคุยกับลุงและป้าของเขาแล้ว สือเหล่ย หูเซียวหัว และคนอื่นๆก็โยนกุญแจรถออกมาและปล่อยให้คนของครอบครัวหลินขับมัน พวกเขาตัดสินใจที่จะทิ้งรถไว้ที่งานเลี้ยง จากนั้นพวกเขาได้บอกกับหลินเจี้ยนและพ่อของเขาว่าพวกเขามีธุระอื่นต้องไปทำ ดังนั้นพวกเขาจึงขอตัวกลับก่อน
หลินเจี้ยนและพ่อของเขารู้ว่าสือเหล่ยและคนอื่นๆไม่เต็มใจที่จะอยู่ต่อ แม้ว่าพวกเขาจะตัวสั่นเมื่อเห็นสัญลักษณ์ของรถเหล่านี้ที่มีราคารวมกันกว่าสิบล้านหยวน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้เพราะงานแต่งงานมีเพียงครั้งเดียวในชีวิตและสิ่งนี้จะทำให้งานแต่งงานดูน่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้น
เขาลังเลอยู่ชั่วขณะด้วยความสุภาพ แต่ในที่สุดก็รับกุญแจเหล่านี้เอาไว้ สือเหล่ยพาเจียงหยวนเชา หูเซียวหัว และคนอื่นๆออกมาจากงาน
มันเป็นช่วงมือกลางวันแล้วหลังจากเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นมาและเป็นธรรมดาที่สือเหล่ยจะเลี้ยงข้าวลูกคนรวยเหล่านี้ แม้ว่าวิธีการที่พวกเขาช่วยจะคาดไม่ถึงไปซะหน่อย แต่ทุกๆสิ่งก็ถูกแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
พวกเขาหาร้านอาหารและนั่งลงในห้อง ชายหนุ่มที่มีอายุประมาณ 30 ปียิ้ม “หยวนเชา นายจะปล่อยไปแบบนี้จริงๆเหรอ?”
เจียงหยวนเชาแตะไปที่แก้มของเขาซึ่งยังเจ็บอยู่เล็กน้อย “ฉันคงไม่บอกให้คนไปไล่เขาออกเฉยๆแน่ๆ ให้ลูกชายของเขาเสร็จงานแต่งก่อนเถอะ ฉันจะบอกหัวหน้าจีเกี่ยวกับเรื่องของหวังเพิงและเขาจะต้องถูกสอบสวนแน่ๆ เมื่อเขาถูกสอบสวน นั่นก็จะเป็นจุดจบของครอบครัวหวัง และถ้าฉันมัวมาสนใจกับคนแบบนั้น ฉันคงจะเสียหน้าเปล่าๆ!”
ทุกคนหัวเราะ เหล้าและอาหารถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ สือเหล่ยรินเหล้าและยืนขึ้น “ทุกๆคน วันนี้ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ แด่พวกคุณทุกคน”
ทุกๆคนแสดงออกมาว่าแค่การให้ยืมรถนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
จากนั้นสือเหล่ยได้ชนแก้วกับเจียงหยวนเชาเนื่องจากเขาถูกชกและยังมีรอยแดงบนแก้มของเขาที่สามารถมองเห็นได้อยู่
หลังจากที่เจียงหยวนเชาดื่มกับสือเหล่ยแล้ว เขาก็พูดขึ้นมา “โอ้ใช่ ไททันอยากให้ฉันถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทของนาย ถ้ามันเหมาะสม เขาก็วางแผนที่จะบึ่งไปยังหวูตงเพื่อเข้าควบคุมบริษัทในอีกไม่กี่วัน เขาต้องการที่จะต่อสู้กับหัวหน้าของบริษัทคู่แข่งและบดขยี้พวกมันหลังจากตรุษจีน เขามีเงินพร้อมแล้วด้วย”
“มันขึ้นอยู่กับผลการประเมินที่สือเฉียงมอบให้กับเจิ่นซู บอกลูกพี่ลูกน้องของพี่เลยและผมจะโทรหาเจิ่นซูเพื่อถามเขาให้”
สือเหล่ยเดินออกมาข้างนอกเพื่อโทรศัพท์ เจิ่นซูรับสายอย่างรวดเร็ว เขาได้บอกไว้แล้วว่าเขายอมรับการเข้าสู่ยกแรกได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่เขาต้องคำนวณยอดเงินที่เหมาะสมกับแฟนของเขาซะก่อน
“คุณสือ พวกเขาเกือบจะประเมินเสร็จแล้วและผมคิดว่าพวกเราจำเป็นต้องได้อย่างน้อยสักสิบล้าน แต่ผมก็ได้ตรวจสอบด้วยว่าถ้าเพื่อนของคุณมีเงินแค่หลักล้าน ผมกลัวว่ามันจะไม่มีเงินพาให้เ