ฮ่องเต้สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ยังไม่ทันเอ่ยวาจา
“ท่านหญิงหมิงซีกล่าวถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! เป็นทหารทั้งที่รู้แต่ก็ยังทำผิด ยิ่งสมควรได้รับการลงโทษ!” เงาร่างของตงฟางจั๋วปรากฏตัวอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงตวาดเข้ม สายตาคมปลาบเปล่งประกาย
ทุกคนอึ้งงัน ในวังมีข่าวลือว่าหลังจากวันที่ท่านหญิงหมิงซีตกลงแต่งงานกับเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อ จิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋วก็ล้มป่วยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เข้าท้องพระโรงติดต่อกันหลายวัน เหตุใดวันนี้การประชุมครึ่งเช้าผ่านไปแล้ว จู่ๆ เขาจึงมาปรากฏตัว?
ชุดพิธีการที่เคยพอดีตัวในอดีต ยามนี้เห็นชัดว่าหลวมโคร่งกว่าตัว ใบหน้าเขาดูซีดขาวเล็กน้อย โครงหน้าหล่อเหลาที่เดิมคมชัดอยู่แล้วยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก
ซูหลีตกใจ ไม่ได้เจอกันหลายวัน เขากลับผอมไปขนาดนี้แล้ว หากใช้คำว่าคำว่าผอมกะหร่องมาบรรยายสภาพเขาในตอนนี้ ก็คงไม่เกินจริง
“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางจั๋วเดินเข้ามาทำความเคารพ
“วาจาของเจ้าเมื่อครู่ หมายความว่าต้องการให้ข้าลงโทษแม่ทัพจั้น?” ฮ่องเต้กล่าวเสียงเย็น
ตงฟางจั๋วทำราวไม่รู้สึก เอ่ยตอบเสียงขรึม “ลูกคิดว่า แม่ทัพจั้นในฐานะพลทหาร ยิ่งสมควรทำตัวเป็นแบบอย่าง เหมือนกรณีของเซียวจ้งโส่ว ทำผิดก็สมควรถูกลงโทษ ไม่ควรแบ่งแยก!”
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไร นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโยนปัญหาไปให้ตงฟางเจ๋อ “เจิ้นหนิงอ๋อง เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
เหล่าขุนนางสะท้านไปทั้งใจ ฮ่องเต้ถามความเห็นของตงฟางเจ๋อ เห็นชัดว่าให้ความสำคัญกับเขามาก ระหว่างท่านอ๋องทั้งสอง ยามนี้ใครสำคัญกว่าในสายตาของฮ่องเต้ ไม่ต้องพูดก็ทราบกันดี
ตงฟางเจ๋อตอบอย่างใจเย็น “ไม่ว่าเสด็จพ่อตัดสินเช่นไร ลูกก็ไม่มีความเห็นต่างพ่ะย่ะค่ะ”
รู้ทั้งรู้ว่าจุดยืนของเขาทำได้เพียงตอบออกไปเช่นนี้ แต่ซูหลีก็ยังอดปวดใจไม่ได้ นางหลับตาแน่น ข่มกลั้นความเปรี้ยวฝาดในใจ
ฮ่องเต้สายตาไหวระริก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงแช่มช้า “เรื่องที่เกิดขึ้นในหอเทียนเซียง ถึงแม้แม่ทัพจั้นจัดการไม่เหมาะสม แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้ว ล้วนทำไปด้วยเจตนาดี เอาเช่นนี้แล้วกัน ตัดเบี้ยสามเดือนเพื่อเป็นการลงโทษ”
“ฝ่าบาท!” เสียงร้องตกใจพลันดังขึ้น หลีเฟิ่งเซียนร่างกายสั่นสะท้าน เขาแทบไม่อยากเชื่อ ละเมิดอำนาจทางทหารเป็นพฤติกรรมร้ายแรงเพียงใด ยามนี้กลับตัดสินโทษสถานเบาเช่นนี้!
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” จั้นอู๋จี๋รีบรับคำ กล่าวขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง ก่อนจะเหลือบมองหลีเฟิ่งเซียนอย่างท้าทายเล็กน้อย
ตงฟางจั๋วหมายจะเปิดปากอย่างร้อนใจ กลับถูกฮ่องเต้โบกมือตัดบทอย่างเย็นชา “เซ่อเจิ้งอ๋องได้ทำงานอย่างหนักเพื่อแคว้นเฉิงเรามาเป็นเวลาหลายปี ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ครั้งนี้มีความผิดฐานดูแลทหารไม่เข้มงวดจริงๆ ถ่ายทอดราชโองการ กำลังทหารหนึ่งแสนนายในค่ายหงเยี่ยนที่ประจำการอยู่นอกเมืองหลวง นับจากนี้ไปให้แม่ทัพจั้นเป็นผู้ดูแลต่อ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” จั้นอู๋จี๋รับคำเสียงดัง นัยน์ตาของเขาเย็นชา กลีบปากฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
แม้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่หลีเฟิ่งเซียนกลับเซถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่อาจควบคุม ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง! มีคนเคยเตือนเขา ขุนนางที่มีอำนาจมากแต่ไม่รู้จักเก็บงำประกาย สุดท้ายก็จะทำให้เจ้าแผ่นดินเกิดความระแวง! โลกใบนี้ คล้ายไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน หญิงอันเป็นที่รัก บุตรสาวที่เคยหวงแหน อำนาจสูงสุด ความรู้สึกที่จืดจาง…เสี้ยววินาทีนี้ ดวงตาของหลีเฟิ่งเซียนหม่นหมอง ไร้ชีวิตชีวา
ซูหลียืนอยู่เบื้องหน้าเขา สัมผัสได้ถึงความจนใจและเจ็บปวดของเสด็จพ่อได้อย่างชัดเจน ชั่วขณะหนึ่งนางถึงกับพูดคำใดไม่ออก
ณ ตอนนี้ ทุกคนต่างลอบสะท้อนใจ เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนผู้ที่เคยเก่งกล้าสามารถด้านการรบ และมีอำนาจบารมีเหลือล้น ในที่สุดก็ต้องเดินลงจากเวทีอันภาคภูมิที่ใครๆ ต่างจับจ้องแล้ว!
และทั้งหมดนี้ บางทีอาจเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
การประชุมล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงที่มีปีละหนึ่งครั้ง เดิมทีควรจัดขึ้นในเดือนสิบ ทว่าเพราะคดีของหลีซูยังไม่จบ ท่านหญิงหมิงซีก็ยังเลือกพระสวามีไม่ได้ ฮ่องเต้จึงพระราชทานอนุญาตให้เลื่อนไปจัดในช่วงปลายเดือนสิบเอ็ด
ล่วงเลยเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ภายในสนามล่าสัตว์ฉีซานของราชวงศ์อากาศเริ่มหนาวเย็น
ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ตงฟางเจ๋อและองครักษ์คู่กายเซิ่งฉินควบม้าเร็วมุ่งหน้าไปยังจวนท่านหญิง เขาสวมชุดล่าสัตว์สีดำ ยามปรากฏตัวตรงหน้าซูหลี นางอดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยไปเล็กน้อย เดิมเขาก็เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่และรูปงามอยู่แล้ว ชุดแต่งกายที่ดูหมดจดนั่น ยิ่งขับเน้นให้เขาองอาจผ่าเผย ราศีโดดเด่นเหนือผู้ใด
ตงฟางเจ๋อเองก็มองพิจารณาหญิงงามตรงหน้า ชุดล่าสัตว์สีเขียวอ่อนห่อหุ้มเรือนร่างบอบบางของนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งอันงดงามของนาง พาให้ผู้พบเห็นประทับใจ เอวบางถูกรัดแน่น ยิ่งทำให้ดูคอดบางลงไปอีก ตงฟางเจ๋อหัวใจสั่นไหว เอื้อมมือออกไปโอบเอวบางของนาง มองดูแววตาผึ่งผายในดวงตางาม แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนต่างบอกว่าสตรีแคว้นเปี้ยนสง่างามผึ่งผาย ซูซูสวมอาภรณ์ชุดนี้แล้วไม่แพ้พวกนางแน่นอน!”
ซูหลีตัวแข็งทื่อ เบี่ยงกายหลบมือใหญ่ตรงเอวเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจนัก “ท่านอ๋องเคยเห็นสตรีแคว้นเปี้ยนหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะแต่ไม่ตอบ ส่งสัญญาณให้ซูหลีขึ้นม้าตัวเดียวกับเขา ซูหลีกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เชิญท่านอ๋องเสด็จก่อนเถิดเพคะ”
ตงฟางเจ๋อสายตาสั่นไหวเล็กน้อย ฝ่ามือใหญ่คล้ายยังมีความอบอุ่นหอมหวนหลงเหลืออยู่ พาให้รู้สึกจั๊กจี้ฝ่ามือ ทว่ากลับข่มกลั้น แย้มยิ้ม แล้วพลิกกายขึ้นม้า ยิ่งรู้จักนาง เขาก็ยิ่งเข้าใจนิสัยนาง เรื่องบางเรื่องไม่อาจร้อนใจ
ทั้งสองควบม้าออกจากเมือง หวั่นซินและเซิ่งฉินตามหลังไปติดๆ เพิ่งจะไปถึงตีนภูเขาฉีซาน กลับบังเอิญพบตงฟางจั๋วที่นั่นพอดี
ชุดล่าสัตว์สีเขียว หล่อเหลาโดดเด่น เทียบกับเขาในอดีต ยังคงผ่ายผอมไปบ้าง แต่สีหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่มองตงฟางเจ๋อ นัยน์ตาคมเข้มจดจ้องซูหลีเขม็ง สายตาสับสน ไม่ได้เอ่ยอะไร
ทั้งสองขี่ม้าเข้าไปใกล้ ตงฟางเจ๋อกุมบังเหียนม้ากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คนเราเมื่อเจอเรื่องน่ายินดีจิตใจก็มีความสุขตาม วาจานี้เป็นจริงดังคาด วันนี้พี่รองดูอาการป่วยดีขึ้น สีหน้าแจ่มใสยิ่งนัก”
ตงฟางจั๋วกลับยิ้มเย็น เอ่ยว่า “ถึงแม้จะมีเรื่องน่ายินดี ก็อาจไม่ใช่เรื่องน่ายินดีของข้า!” เอ่ยจบก็เหลือบมองซูหลีแวบหนึ่ง ทำท่าจะเอ่ยวาจา แต่ก็เงียบไป ก่อนจะตะบึงม้ามุ่งหน้าไปยังสนามล่าสัตว์ฉีซาน
ไม่รู้สองคนนี้เล่นปริศนาคำทายอะไรกัน? ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนนี้เองหวั่นซินเดินเข้ามาชะโงกตัวกระซิบเสียงเบา “เมื่อเช้าเพิ่งได้รับข่าวมาเจ้าค่ะ องค์หญิงเจาหวาแห่งแคว้นเปี้ยนเสด็จมายังเมืองหลวงแคว้นเฉิง องค์หญิงช่ำชองการขี่ม้ายิงธนู เกรงว่าจะไม่พลาดการล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงนี้”
องค์หญิงเจาหวาหยางเสวียน?! องค์หญิงองค์เล็กที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโปรดปรานที่สุด ได้ยินว่ารูปโฉมงดงาม นิสัยเถรตรงและปากร้าย เข้มงวดในหลักเหตุผลไม่ยอมอ่อนข้อ บุรุษแคว้นเปี้ยนมากมายทั้งรักและเกรงกลัวนางในเวลาเดียวกัน ยามนี้นางมาเมืองหลวงแคว้นเฉิงเพื่อล่าสัตว์เพียงอย่างเดียวจริงหรือ?
ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก นางยังไม่ทันได้พบองค์หญิงผู้นั้น แต่ก็รู้สึกกระวนกระวายในใจแล้ว ซูหลีขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว หันไปมองตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงเขาจ้องแผ่นหลังตงฟางจั๋ว สีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาเย็นชา
หยางเซียวสู่ขอซูหลีไม่สำเร็จ เห็นชัดว่ายามนี้แคว้นเปี้ยนมีความคิดใหม่ องค์หญิงเสด็จมาเมืองหลวงในยามนี้ หรือมีจุดประสงค์ที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์? หากองค์หญิงแต่งงานกับตงฟางจั๋ว ย่อมไม่เป็นผลดีกับตงฟางเจ๋อ แต่ถ้าหาก…คนที่องค์หญิงอยากแต่งงานด้วยคือเขา เช่นนั้นนางควรทำอย่างไรดี?
สนามล่าสัตว์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาฉีซาน จากตีนเขาไปจนถึงเขตพระราชฐานสำหรับล่าสัตว์ หากขี่ม้าเร็วหน่อย ก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามจึงจะไปถึง ตงฟางเจ๋อคำนึงถึงซูหลี ไม่กล้าเดินทางเร็วเกินไป ความจริงเขาไม่รู้ว่าทักษะการขี่ม้าของซูหลีนั้นเยี่ยมยอด เพียงแค่ไม่กล้าแสดงออกมาเท่านั้น หลีเฟิ่งเซียนเคยเป็นจอมทัพแห่งหกกองทัพ ทั้งขี่ม้ายิงธนู ฝีมือล้วนเป็นที่ประจักษ์ ยามเยาว์วัยนางมักอ้อนเสด็จพ่อให้สอนนางขี่ม้ายิงธนู ถึงแม้ไม่กล้าเอ่ยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่เทียบกับคนทั่วไป ถือว่าโดดเด่นกว่าแน่นอน
…………………………………………………….