ฮองเฮาหน้าขรึมลง คล้ายใกล้หมดความอดทนเต็มที ตงฟางจั๋วเรียกฮองเฮาอีกครั้ง “เสด็จแม่!” แววอ้อนวอนในน้ำเสียงของเขาชัดเจน
ฮองเฮาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เอาเถิด หมิงซีใคร่ครวญให้ดี แล้วค่อยให้คำตอบกับข้าก็แล้วกัน” ขณะกำลังพูด นางพลันรู้สึกหน้ามืด ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก นวดคลึงหลายครั้ง
ตงฟางจั๋วตกใจ รีบเดินเข้าไปประคองนาง “เสด็จแม่ เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาครางเบาๆ ยังไม่ได้พูดอะไร ก็ได้ยินซูหลีถามเสียงเบา “อาการประชวรของฮองเฮากำเริบอีกแล้วใช่หรือไม่เพคะ?” ทั้งสองประคองนางกลับไปนั่งบนตั่ง
ฮองเฮาเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยได้สติกลับคืนมา “อาการเก่ากำเริบอีกแล้ว น่าแปลก ชาเก๋ากี้ทองนั่นข้าก็ดื่มอยู่ทุกวันนี่นา”
ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงเข้ม “หรือมีผู้ใดทำอะไรกับชานั่นอีกแล้ว?”
“เมื่อครู่ตอนที่ฮองเฮาทรงดื่มชา หม่อมฉันแยกแยะกลิ่นดูแล้ว ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเพคะ” ซูหลีส่ายหน้ากล่าว “ชานั้นดื่มมานานมากแล้ว อาการประชวรของฮองเฮาก็บรรเทาลงเรื่อยๆ เมื่อดื่มนานไป ร่างกายอาจคุ้นเคยกับฤทธิ์ยา การปรุงยากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นเพคะ”
“ฤทธิ์ยาอ่อนลงหรือ? เช่นนั้นควรทำอย่างไร?” ตงฟางจั๋วเอ่ยอย่างกังวล
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพคะ ขอเพียงปรับยาใหม่ตามอาการก็พอ” ซูหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งให้คนนำพู่กันและหมึกเข้ามา แล้วเขียนสูตรชาให้ใหม่อย่างรวดเร็ว
สายตาฮองเฮาไหวระริก หยิบเทียบยามาอ่าน คลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “หมิงซีฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ ข้าชื่นใจยิ่งนัก แต่ว่า สูตรชาแผ่นนี้เหมือนจะมีส่วนผสมที่มากกว่าชาเก๋ากี้อยู่หลายอย่าง”
ซูหลีตอบเสียงเรียบ “เพคะฮองเฮา อาการประชวรไม่เหมือนกัน ตัวยาที่ใช้ย่อมต่างกัน เว่ยอวิ๋นเสอต้องต้มด้วยไฟร้อนสามสิบนาที นำน้ำแกงที่ได้มาแช่ตัวยาอื่น ก็จะยิ่งได้ผลดี หากฮองเฮาไม่วางใจ เรียกหมอหลวงมาถามดูย่อมได้เพคะ”
“มีอันใดให้ไม่วางใจกันเล่า” ฮองเฮาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด หันมองตงฟางจั๋วแวบหนึ่ง นางย่อมเชื่ออยู่แล้ว ถึงแม้ซูหลีจะไม่พอใจนางจริงๆ ก็ไม่มีทางเล่นลูกไม้กับนางต่อหน้าตงฟางจั๋วแน่นอน พิจารณาซูหลีอยู่ครู่หนึ่ง ก็แย้มยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นวันนี้หมิงซีต้มชาให้ข้าด้วยตนเองเถิด เจ้าจะได้สอนพวกนางด้วย เลี่ยงไม่ให้พวกนางเลินเล่อจนทำให้เกิดผลกระทบต่อฤทธิ์ยา”
“เพคะ” ซูหลีเอ่ยอย่างนอบน้อม ฮองเฮาเรียกนางกำนัลคนหนึ่งมา ให้เดินตามซูหลีออกจากตำหนักใหญ่ไป
เพิ่งจะก้าวออกจากประตู ซูหลีลอบถอนหายใจเบาๆ แววเย็นชาพาดผ่านดวงตา ชาเก๋ากี้ไม่ได้ฤทธิ์อ่อนลงแต่อย่างใด เพียงแต่เมื่อครู่ตอนที่ฮองเฮาเข้าใกล้นาง นางลอบบดยาลูกกลอนที่ซ่อนไว้ในเล็บให้ละเอียด ยาลูกกลอนเม็ดนี้ไร้กลิ่นไร้สี เป็นยาที่นางตั้งใจปรุงขึ้นมาเพื่อฮองเฮาโดยเฉพาะ ฤทธิ์ของมันจะทำให้โรคเก่าของฮองเฮากำเริบเร็วขึ้น
นางพลันลอบยิ้มเย็นชา ฮองเฮารักตัวกลัวตายยิ่งนัก ยามนี้แม้ยังกึ่งเชื่อกึ่งคลางแคลงในตัวนาง ก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสในการรักษาโรคเก่าให้หลุดลอยไป เพราะโรคของนางเป็นถึงโรคที่แม้แต่หมอหลวงก็ยังต้องปวดหัว ถึงได้ส่งคนตามซูหลีไปต้มชาด้วยตนเองเช่นนี้ และนี่ก็คือสิ่งที่นางต้องการ นางตั้งใจเพิ่มตัวยาเว่ยอวิ๋นเสอเข้าไป เพื่อเพิ่มเวลาในการต้มชาให้นานขึ้น และฉวยโอกาสนี้ตามหาเจวี้ยนเอ๋อร์
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในตำหนัก ซูหลีคล้ายไม่เห็นนาง ข้อมูลที่เซิ่งจินสืบมาได้ เจวี้ยนเอ๋อร์นางกำนัลในตำหนักของฮองเฮา เป็นหญิงรูปร่างบอบบาง ใบหน้าหมดจด กลางคิ้วข้างซ้ายมีไฝสีแดงหนึ่งเม็ด
ในตำหนักฉางชุน มีห้องชาส่วนพระองค์ที่มีไว้เพื่อชงชาให้ฮองเฮาโดยเฉพาะ ตั้งแต่เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ ซูหลียังไม่เห็นนางกำนัลคนใดที่มีลักษณะเด่นเหมือนเจวี้ยนเอ๋อร์สักคน พลันรู้สึกไม่สบายใจ เหล่มองนางกำนัลตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เดินตามมาข้างกาย แล้วนางก็แย้มยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าเจ้านัก เพิ่งมาทำงานที่ตำหนักฉางชุนหรือ?”
นางกำนัลหน้าแดงเล็กน้อย ก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านหญิง บ่าวอวี้หรง เพิ่งมาทำงานที่ตำหนักได้ไม่นาน”
ซูหลีร้องอ๋อ เหมือนจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ยิ้มแล้วถามว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้จักเจวี้ยนเอ๋อร์หรือไม่?”
อวี้หรงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ตอบเสียงงึมงำ “บ่าวเพิ่งมาใหม่ ไม่รู้จักนางเจ้าค่ะ”
ซูหลีเคร่งเครียด เพิ่งมา? หากเพิ่งมาจริงๆ แล้วเหตุใดฮองเฮาจึงให้ตามนางมาต้มชาเล่า? นางแย้มยิ้มแล้วเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจ “เจวี้ยนเอ๋อร์ฝีมือดียิ่งนัก ครั้งที่แล้วข้าเห็นนางทำถุงผ้าต่วนหรูอี้ งดงามยิ่งนัก หมายจะขอให้นางช่วยทำให้ข้าสักใบ วันนี้เข้าวังมากลับไม่เห็นนางเสียนี่”
อวี้หรงยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นกลับแฝงแววกลัดกลุ้มรางๆ ซูหลีลอบขมวดคิ้ว สัญชาตญาณบอกนางว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่ากลับถามออกไปไม่ได้ นางเลือกวัตถุดิบหลายอย่าง แล้วบอกรายละเอียดสำคัญในการต้มชากับอวี้หรงอย่างถี่ถ้วน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชาต้มเสร็จแล้ว ทั้งสองก้าวเท้าออกจากห้องมุ่งหน้ากลับตำหนักใหญ่
ไกลออกไป เสียงร้องไห้ระคนกรีดร้องของหญิงสาวพลันดังแว่วมา จากนั้นก็เงียบกริบไปทันที อวี้หรงหน้าซีดเผือด ซูหลีตึงเครียด เสียงนั้น เหมือนดังมาจากตำหนักด้านข้างของตำหนักฉางชุน!
ซูหลีสาวเท้าเร็วๆ เดินไปตามทางเดินอันทอดยาวของตำหนัก และชนเข้ากับคนผู้หนึ่งตรงทางเลี้ยว ต่างฝ่ายต่างตกใจ ถอยกรูดไปหลายก้าว ซูหลีจดจ้อง ที่แท้ก็เป็นขันทีกลุ่มหนึ่ง กำลังยกศพที่ถูกห่อด้วยผ้าขาวออกจากตำหนัก ครั้นเดินชนกับซูหลี ขันทีที่ยกศพพลันเซถอยไปหลายก้าว
สายลมเย็นเยียบพัดผ่าน ทำให้ผ้าขาวที่คลุมศพเปิดออก เห็นเพียงอาภรณ์หุ้มกายของนางกำนัลเต็มไปด้วยรอยเลือดกระดำกระด่าง แลดูน่าพรั่นพรึง มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นทั้งสองข้าง ข้อต่อนิ้วขาวจนซีด ราวกับกำลังปกป้องสิ่งของที่อยู่ในมือด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี รองเท้าลายดอกไม้สวยๆ ที่สวมไว้บนเท้าก็ถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงสะดุดตา
ซูหลีเย็นสะท้านไปทั้งหัวใจ เพียงเวลาไม่นาน ก็มีนางกำนัลถูกฮองเฮาสั่งโบยจนตายอีกแล้ว มีหญิงสาวที่อยู่ในวัยบุปผาแรกแย้ม ต้องสูญเสียวัยบานสะพรั่งของตนเองในตำหนักแห่งนี้ไปมากมายเท่าใดแล้ว!
ขันทีที่เดินนำหน้าครั้นเห็นว่าเป็นนาง ก็รีบอธิบาย “บ่าวสมควรตาย รีบเดินจนเกือบชนท่านหญิงเสียแล้ว ขอท่านหญิงโปรดอภัยด้วยขอรับ”
ในวังมีนางกำนัลและขันทีที่ตายเพราะทำความผิดอยู่มากมาย ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ยาก ตามกฎราชวงศ์เฉิง ไม่อาจพักศพไว้ในวังข้ามคืน จะมีคนในกรมอาญาส่งศพออกไปให้คนนอกวังเพื่อนำไปฝังที่สุสานหมื่นศพอีกที
ซูหลีพยักหน้า “ไม่เป็นไร ไปเถิด”
คนผู้นั้นรีบเรียกขันทีอีกหลายคนให้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีเดินไปไม่กี่ก้าว กลับค้นพบว่าอวี้หรงไม่ได้เดินตามมา นางหันกลับไปมอง อวี้หรงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ใบหน้าซีดเผือด ปากสั่นจนฟันกระทบกันไม่หยุด
นางสงสัย อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรไป?”
อวี้หรงมองนางอย่างตกใจ น้ำตาไหลพราก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงสั่น “เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ…”
ซูหลีพลันบังเกิดความสงสัย นางกำนัลคนนี้จะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน ถึงได้กลัวขนาดนี้! ซูหลีลอบถามหยั่งเชิงนาง “เช่นนั้นเจ้าจะตัวสั่นไปไย? ฮองเฮามิได้สั่งลงโทษนางกำนัลเป็นครั้งแรกเสียหน่อย!”
อวี้หรงรีบก้มหน้า “เจ้าค่ะ…บ่าวเพียงแต่…เพียงแต่รู้สึกว่ารองเท้าคู่นั้น ลวดลายเช่นนั้นดูพิเศษมาก…ไม่ได้กลัว…” นางพูดละล่ำละลัก ท่าทางเหมือนแตกตื่นทำตัวไม่ถูก
…………………………………………………………..