กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – บทที่ 279 กอดเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย (1)

บทที่ 279 กอดเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย (1)

จนถึงตอนนี้ฮ่องเต้ก็ยังคงไม่พูดอะไร เขามองโอรสของตนเอง สีหน้าคล้ายอึ้งงันเล็กน้อย ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่บ้าง

ตงฟางจั๋วกล่าวอีกว่า “หากในใจท่าน ข้าเป็นโอรสที่ท่านรักและเอ็นดูจริงๆ เหตุใดท่านจึงใจดำไม่อ่อนข้อให้ข้าสักครั้งเล่า? ท่านรู้หรือไม่ พวกนางสองคนเป็นสตรีที่ข้ารักและสำคัญกับข้าที่สุดในชีวิตนี้แล้ว!”

อารมณ์ของเขาพลันพลุ่งพล่าน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม จนเกือบจุดชนวนระเบิด

ครอบครัวของเหล่าขุนนางตกใจจนกรีดร้องเสียงแหลม ทว่ากลับถูกปิดปากทันที ด้วยกลัวว่าจะทำให้บุรุษที่คลุ้มคลั่งผู้นั้นตกใจ แล้วทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ จนยากจะควบคุมยิ่งกว่าเดิม

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้ที่ใบหน้าบึ้งตึงตวาดลั่น สายตาจดจ้องโอรสของตนเองเขม็ง ใบหน้าขึ้งเคียดเต็มไปด้วยริ้วรอย สะท้อนให้เห็นความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง “ข้าน่ะหรือไม่ยอมอ่อนข้อให้เจ้า? หากมิใช่เจ้าวู่วามไร้ความคิด ประพฤติตนอกตัญญู จะลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร?!”

ตงฟางจั๋วถลึงตาจ้องเขา พ่อลูกปะทะสายตา ความรักกลายเป็นความแค้น เรื่องที่โหดร้ายทารุณที่สุดในโลก กลับเกิดขึ้นในราชวงศ์อันสูงส่งเสมอ ดวงตาแดงก่ำของเขายามนี้มองไม่เห็นความรักแม้เพียงครึ่งส่วน เหลือเพียงความเกลียดชังและความเคียดแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!

ซูหลีมองตะบันไฟในมือเขาเขม็ง ร้อนใจดั่งไฟแผดเผา หากตงฟางจั๋วคลุ้มคลั่งไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี กลัวว่าทุกคนทั้งในและนอกตำหนักแห่งนี้จะไม่มีใครโชคดีรอดชีวิตไปได้สักคน ความคิดแล่นผ่าน นางพลันก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ตงฟางจั๋วมองนางอย่างหวาดระแวง พลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าเข้ามา! ถอยไป!”

ซูหลีมองเขาอย่างใจเย็น เกลี้ยกล่อมเสียงเบา “ตงฟางจั๋ว หากท่านรามือตอนนี้ก็ยังไม่สายไป”

“ไม่ทันแล้ว!” เขาโต้แย้งเสียงดัง บีบบังคับฮ่องเต้ให้สละราชบัลลังก์ ก่อความวุ่นวาย ยามนี้เขาจนตรอกแล้ว!

ประกายไฟกระพือเล็กน้อย เกือบจุดชนวนระเบิดติด ส่งผลให้ฝูงชนหวีดร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง! ซูหลีรีบตะโกนบอก “ท่านวางตะบันไฟลงเสีย ฝ่าบาทจะต้องลงโทษท่านสถานเบาแน่นอน!” พูดไป นางก็รีบหันกลับไปมองฝ่าบาท ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาในที่สุดก็ปรากฏวี่แววหวั่นไหวเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงไม่พูดอะไร

ตงฟางจั๋วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วกล่าวว่า “ลงโทษสถานเบา?! เจ้าคิดว่าเขาจะยอมปล่อยโอรสที่คิดก่อกบฏไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ? วันนี้ที่ข้าเลือกเดินเส้นทางนี้ ข้าไม่คิดจะหันหลังกลับแต่แรกแล้ว”

หัวใจของซูหลีเย็นเยียบไปทันที เดิมทีเขาหมายจะชิงบัลลังก์ ถึงแม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นโทษตายได้แล้วจริงๆ ดูเหมือนอาศัยคำพูดไม่กี่คำคงเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้แล้ว นางหันไปมองตงฟางเจ๋อโดยสัญชาตญาณ ในสายตาเรียบเฉยไร้คลื่นอารมณ์ของเขาพลันสั่นระริกเล็กน้อย ซูหลีค้นพบทันทีว่ายามนี้เซิ่งฉินได้แฝงตัวเข้าไปในกลุ่มคนอย่างเงียบงันแล้ว เขาตั้งใจจะเข้าใกล้เก้าอี้มังกรจากด้านข้าง

นางพลันตระหนัก ตัดสินใจก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ตงฟางจั๋วจ้องนางเขม็ง คล้ายมีแววคาดหวังซ่อนอยู่ลึกๆ แต่ก็กลัวนางจะเข้าใกล้ด้วย แววเหี้ยมโหดในดวงตามีความเจ็บปวดแฝงอยู่ ดวงตาแดงก่ำ เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

ซูหลีเห็นเขาไม่ตวาดสั่งให้หยุด จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พร้อมกับทอดถอนใจ “หากท่านตัดสินใจจะเดินในเส้นทางนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ได้ แต่เหล่าขุนนางพาครอบครัวมาร่วมงานเลี้ยง พวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้พวกเขาออกไป แล้วข้าจะอยู่กับท่านเอง”

คำว่า ‘ข้าจะอยู่กับท่าน’ ทำให้สายตาตงฟางจั๋วเป็นประกาย ความหวังอันน้อยนิดพลันจุดประกายขึ้นมาทันที ทว่ากลับลังเลคล้ายไม่กล้าเชื่อนางง่ายๆ อีก

“ข้าจะอยู่กับท่านเอง” ซูหลีก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง นางแอบโบกมือเบาๆ ข้างหลัง ส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ รีบออกไปจากที่นี่ ใบหน้านางสงบนิ่ง นัยน์ตากระจ่างใส เผยรอยยิ้มจางๆ ราวกับนางยินยอมพร้อมใจที่จะตายไปพร้อมกับเขาโดยไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย นางกล่าวเสียงเบา “ท่านมีข้า ก็เพียงพอแล้ว ยังต้องการคนอื่นให้มากเรื่องอีกทำไมกัน?”

สายตาตงฟางจั๋วไหวระริก สีหน้าสับสนยากคาดเดา

“เจ้าคิดจะใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตของทุกคน? หรือว่า…เจ้าเพียงต้องการให้ตงฟางเจ๋อมีชีวิตรอดเท่านั้น?” สายตาเย็นชาจ้องตรงไปยังตงฟางเจ๋อที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่เบื้องล่าง ในใจเต็มไปด้วยความอิจฉาจนแทบคลั่ง

ยามนี้คนในตำหนักต่างออกไปข้างนอกจนหมดแล้ว ในตำหนักนอกจากฮ่องเต้กับตงฟางเจ๋อ ก็เหลือเพียงหยวนเซี่ยงกับองครักษ์อีกสิบกว่านายเท่านั้น

นัยน์ตาตงฟางจั๋วตึงเครียด พลันค้นพบว่าเซิ่งฉินหายตัวไป ความสงสัยบังเกิดทันที ซูหลีตื่นตกใจ รีบก้าวเข้าไปอีกหลายก้าว แล้วถามเสียงเบา “หรือท่านต้องการให้เขาตายไปพร้อมกับพวกเรา?”

เขาย่อมไม่ต้องการเช่นนั้น ยามมีชีวิตไม่อาจร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางได้อย่างใจหวัง ยามสิ้นลมหากได้ตายพร้อมกับนาง ก็ถือว่าสมปรารถนาแล้ว แต่เขากลับทำใจปล่อยตงฟางเจ๋อไปง่ายๆ ไม่ได้!

“หากร่วมเป็นร่วมตายกับซูซูได้ ข้าก็ยินยอมพร้อมใจ” ตงฟางเจ๋อก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ สายตาของเขาจดจ้องซูหลี ราวกับวาจานี้เขากล่าวให้นางฟังแต่เพียงผู้เดียว

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอุ่นใจ หากเป็นแต่ก่อน นางต้องคิดว่าที่ตงฟางเจ๋อกล่าววาจาเช่นนี้เป็นเพราะจุดประสงค์อื่น ไม่ใช่คำพูดจากใจอย่างแน่นอน แต่ครั้นนางหันไปสบกับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความเสน่หาของเขา กลับเหมือนจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์ทันที เมื่อเห็นสายตาอันมั่นคงของเขา นางก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมาเพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตงฟางจั๋วเท่านั้น แต่เขาพูดมันออกมาจากใจจริงๆ!

เพลิงริษยาในใจตงฟางจั๋วลุกโชนดังคาด เขาตวาดเสียงเกรี้ยว “เจ้าคู่ควรหรือ? เจ้าต่างหากที่เป็นคนร้ายตัวจริงที่ฆ่านาง!” เอ่ยจบ เขาเอื้อมมือออกมาคว้าตัวซูหลี!

ในตอนนี้เอง กำแพงที่อยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของเก้าอี้มังกรพลันล้มครืน เซิ่งฉินถือกระบี่คมพุ่งตัวเข้าไปหาตงฟางจั๋วด้วยความเร็วดั่งลูกธนูที่พุ่งตัวออกจากคันศร!

ตงฟางจั๋วคำรามด้วยความแค้น พลิกฝ่ามือซัดออกไป กำลังภายในอันแข็งแกร่งทรงพลังพลันปะทุ กระบี่ล้ำค่าแตกหักเป็นสามชิ้นทันใด! เซิ่งฉินไม่อาจต้านรับการจู่โจมที่เกิดจากความเคียดแค้นของเขาได้ ร่างสูงใหญ่ถูกซัดไปด้านหนึ่ง กระแทกกับพื้นเสียงดังสนั่น

ซูหลีไม่ลังเล ฉวยโอกาสตอนที่ตงฟางจั๋วเอื้อมมือออกมา พุ่งตรงเข้าไปหาตะบันไฟในมือเขา

ในตำหนักใหญ่แห่งนี้มีเพียงนางที่อยู่ใกล้เขาที่สุด การเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับเสี้ยววินาทีนี้เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น นางไม่มีเวลาให้คิดมาก เพียงยื่นฝ่ามือบอบบางเข้าไปจับตะบันไฟในมือเขาอย่างแม่นยำ ก่อนจะดับเปลวไฟให้มอด ได้ยินเพียงเสียง ‘ฉ่า’ กลิ่นผิวหนังถูกเผาไหม้พลันลอยคลุ้งในอากาศ

“เจ้า!” ตงฟางจั๋วตะลึงงัน สตรีที่เมื่อครู่ยังพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่ายินดีที่จะตายไปพร้อมกับเขา ยามนี้กลับทุ่มตัวทุ่มใจดับความหวังสุดท้ายของเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น! ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ถูกดับฝันทำให้เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก เขาคว้าร่างสตรีตรงหน้า ตวาดเสียงดังลั่น “เจ้าโกหกข้า!”

“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ ตะโกนเรียกชื่อนางด้วยความตกใจ เงาร่างโฉบไหว พุ่งตัวเข้าไปหาซูหลีด้วยความเร็วสูง

ได้ยินเพียงเสียง ‘ฉึบ’ ประกายแหลมคมพาดผ่าน ตงฟางจั๋วกลับดึงมีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พาดลำคอซูหลี ก่อนจะตวาดเสียงเกรี้ยว “หยุดเดี๋ยวนี้!”

ลำคอเนียนขาวยาวระหงของซูหลี พลันปรากฏรอยเลือดสีแดงสะดุดตาเส้นหนึ่ง

ตงฟางเจ๋อหยุดทันที สายตาเครียดขึ้ง ราวกับเจ้าแห่งขุมนรก “ตงฟางจั๋ว หากเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”

“ฮ่าๆๆ!” ตงฟางจั๋วพลันหัวเราะเสียงดังลั่น “ตายทั้งเป็น? ดี ข้าเหมือนตายทั้งเป็นมานานแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าให้ข้าดูเสด็จแม่ตายไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าวางแผนชิงนางไปจากอ้อมแขนข้า ข้าก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว! ในเมื่ออยู่ไปก็ไร้ความหมาย มิสู้…ตายเสียดีกว่า”

นิ้วมือทั้งห้าของเขาดั่งตะขอเหล็ก เกี่ยวร่างซูหลีไปด้านหน้าอย่างแน่นหนา ใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววเหี้ยมเกรียมของเขาค่อยๆ ชะโงกเข้ามาใกล้ดวงหน้าซีดขาวของนาง ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “วาจาที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่ เจ้าโกหกข้างั้นหรือ?”

…………………………………………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท