รสชาติหอมหวานที่ทำให้หัวใจสั่นไหว โจมตีเขากับนางอย่างรวดเร็ว
ซูหลีตกตะลึงจนพูดไม่ออก ราวกับความรู้สึกอันหอมหวานที่เกิดขึ้นยามสิ้นหวังในค่ายกลเจ็ดดาวเหนือบนยอดเขาจวี้หลิงได้หวนกลับมาอีกครั้ง ส่วนเขา ก็รีบปล่อยนางออกในเสี้ยววินาทีที่นางได้สติกลับคืนมาและง้างฝ่ามือขึ้น
“ท่าน!” กลิ่นอายอันคุ้นเคยผละออกห่างอย่างรวดเร็ว ซูหลีกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก!
“ซูซู…” เขาขานเรียกเสียงแผ่วเบา “เหตุใดจึงต้องปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อข้า?!”
ซูหลีกัดฟัน นางรีบหมุนกายหันหลัง “ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าน! หากท่านอยากได้ความรู้สึกใด ก็ไปหาอวี๋เชียนจีเถิด!”
คนด้านหลังพลันหัวเราะอย่างอัดอั้น “คนที่อวี๋เชียนจีต้องการ ไม่ใช่ข้าแต่แรกแล้ว”
ซูหลีชะงักงัน หันหน้ากลับมาทันที “ไม่ใช่ท่าน? นางมิได้…สนใจท่านมาโดยตลอดหรอกหรือ?”
เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้นางทีละก้าวๆ สายตาอบอุ่นมองพิจารณาใบหน้านาง “ย่อมไม่ใช่ คนที่นางชมชอบ คือหลินเทียนเจิ้งต่างหาก”
ซูหลีตะลึงงัน หลินเทียนเจิ้ง?! สุภาพอ่อนโยนสูงส่งดั่งหยกล้ำค่า บุคลิกสง่างาม กลับชมชอบสตรีมากเสน่ห์เช่นอวี๋เชียนจี?!
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าแฝงตัวเข้าไปในแท่นบูชาหลัก ได้ส่งหลินเทียนเจิ้งไปที่สำนักจันทร์เสี้ยวเพื่อหายาแก้พิษยาไร้รัก ยาแก้พิษยังหาไม่ทันเจอ ระหว่างหลินเทียนเจิ้งกับอวี๋เชียนจีก็ถือกำเนิดความรักขึ้นมา เดิมทีอวี๋เชียนจีเป็นไส้ศึกของหยางเจิ้นที่อยู่ในลัทธิธิดาเทพ ครั้นรู้ว่าหลินเทียนเจิ้งเป็นคนของข้า เพื่อคนรัก นางคิดจะตัดขาดจากความชั่วร้ายและหันหน้าเข้าหาแสงสว่าง ข้าย่อมเห็นดีเห็นงาม และอวยพรให้พวกเขาสองคน ควันพิษนั้นอวี๋เชียนจีเป็นคนสร้างขึ้นมา และมอบมันให้กับหยางเจิ้นนานแล้ว ยามกองทัพใหญ่บุกเข้ามา ข้าคาดเดาว่าหยางเจิ้นอาจใช้ควันพิษนี้มาโจมตีเมือง จึงสั่งให้พวกเขาสองคนปรุงยาแก้พิษขึ้นมาเผื่อได้ใช้”
หัวใจของซูหลีสับสนวุ่นวาย นึกถึงเมื่อครู่ที่นางหงุดหงิดเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขากับอวี๋เชียนจีมีความรู้สึกต่อกัน ก็อดนึกเสียใจไม่ได้ มิน่าเล่าเขาจึงบอกกับนางอย่างหนักแน่นว่าจะต้องหายาแก้พิษยาไร้รักให้ได้ ที่แท้ เขาก็มีคนอยู่ในสำนักจันทร์เสี้ยวด้วยนี่เอง
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน ที่ค่อยๆ สงบลงท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี นางจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงงึมงำ “เหตุใดท่านไม่รีบบอกแต่แรก?”
“ข้าเพียงอยากรู้ว่า หัวใจของเจ้าไม่เหลือความรู้สึกอันใดต่อข้าอีก ดังเช่นที่เจ้าพูดจริงหรือไม่” เขาก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว นัยน์ตาหยุดอยู่ในส่วนลึกของดวงตานาง “ซูซู…ไม่เป็นไรเลยหากเจ้าจะโกหกข้า แต่เหตุใดจึงต้องโกหกตนเอง?”
สายตาของเขาหนักแน่นถึงเพียงนั้น หนักแน่นจนทำให้หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน โกหกตนเอง? นางกำลังโกหกตนเองหรือ? ไม่ นางกับเขาตัดขาดเยื่อใยกันไปนานแล้ว ชาตินี้ภพนี้ ไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ได้อีกแล้ว!
นางหันหลังอีกครั้ง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “นั่นเป็นเพียงเรื่องที่ท่านคิดไปเองแต่เพียงผู้เดียว”
เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดังสนั่นหวั่นไหวมาจากป้อมปราการทางทิศเหนือ คล้ายว่ากองทัพข้าศึกล่าถอยกลับมา ใบหน้าตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขารีบรั้งตัวซูหลี “ไป!”
ทั้งสองวิ่งฝ่าป่าทึบไปตามเส้นทางเดิม มุ่งหน้ากลับประตูเมืองทิศเหนืออย่างรวดเร็ว ทหารม้ากลุ่มหนึ่งพลันโผล่หน้าออกมาจากอีกด้านของป่า ผู้นำของกลุ่มก็คือหัวหน้าทหารอายุน้อยคนที่พวกเขาเห็นในป่าทึบเมื่อครู่ ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีที่ให้หลบซ่อน พวกเขาสองคนเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างจัง ซูหลีลอบตึงเครียดในใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าเป็นใคร?”
รองหัวหน้าทหารเคยเห็นซูหลีในวัง พลันตะโกนเสียงดังลั่นป่าทันที “ธิดาเทพแห่งลัทธิธิดาเทพ!”
ใบหน้าของหัวหน้าทหารหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “ฆ่า!”
ทุกคนได้ยินก็หยิบลูกศรง้างธนู ห่าธนูพุ่งเข้ามาอย่างแน่นหนา ตงฟางเจ๋อกับซูหลีโฉบกายขึ้นเหนืออากาศ หลบการโจมตีอันรุนแรง ลูกธนูเหล่านั้นปักลึกลงไปในพื้นดิน
เหล่าทหารม้าพุ่งตัวเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง ซูหลีหันแผ่นหลังชนกับแผ่นหลังของตงฟางเจ๋อ จ้องหัวหน้าทหารหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา เขาอายุราวสิบห้าสิบหกปี เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลางดงาม เหมือนหยางเจิ้นยิ่งนัก แต่ดวงตาคู่นั้น กลับโหดเหี้ยมอำมหิตกว่าผู้เป็นบิดาหลายเท่านัก
ความแค้นทั้งในอดีตและปัจจุบันถาโถมในใจ หยางจินตวาดสั่งด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “ยิง!”
“จับตัวเขาไว้!” ตงฟางเจ๋อใช้วิชาพรายกระซิบ ซูหลีพาร่างกายพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ลังเล นางหลบเลี่ยงการโจมตี แล้วพุ่งตรงไปทางหยางจิน
หยางจินหน้าเปลี่ยนสี รีบเงื้อหอกยาวในมือ แล้วขว้างแหวกอากาศออกไป! เพียงแต่ซูหลีหมุนกายเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว นิ้วมือทั้งห้าคว้าไปที่แผ่นหลังของหยางจิน แล้วดึงร่างเขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าขึ้นกลางอากาศ นางรีบสกัดจุดลมปราณของหยางจินด้วยความเร็วดั่งสายลม หยางจินมิอาจขยับตัว ร่วงตกลงไปบนพื้นทั้งอย่างนั้น
ขณะเดียวกัน ตงฟางเจ๋อถอดเสื้อคลุมบนตัวออก ร่างกายหมุนคว้าง พลิกข้อมืออย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมสีดำถูกถ่ายเทกำลังภายในอันแข็งแกร่ง เหมือนดังวังน้ำวนสีดำ ลูกศรแหลมคมแตกหักจนสิ้น แต่กลับถูกดูดเข้าไปในวังน้ำวนไม่เล็ดลอดไปสักอัน
ทุกคนตกตะลึง กระบวนท่าแปลกประหลาดนี้ช่างน่าทึ่งและน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ครั้นเห็นหยางจินถูกจับ ทุกคนก็รีบเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปโจมตีซูหลีแทน
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา แขนแกร่งกระตุกเล็กน้อย เสื้อคลุมสีดำกางออกจนสุด เศษธนูหักเหล่านั้นพุ่งกลับไปหาเจ้าของของพวกมัน พร้อมกับเรี่ยวแรงมหาศาล
ชั่วขณะหนึ่ง ม้าศึกคำรามลั่น เสียงกรีดร้องดังอย่างต่อเนื่อง ม้าศึกแตกตื่น กองกำลังทหารม้าแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง คนตกจากหลังม้า ถูกม้าที่วิ่งหนีด้วยความแตกตื่นเตะกลิ้งไปกับพื้น เสียงโอดครวญดังไม่ขาดสาย
“เจ้าช่างเป็นสตรีอกตัญญูจิตใจเหี้ยมโหมดังหมาป่า เสียแรงที่เสด็จพ่อเชื่อใจเจ้าถึงเพียงนั้น!” หยางจินนอนล้มอยู่บนพื้น ขยับเขยื้อนไม่ได้ ได้แต่จ้องหน้าซูหลี สายตาเต็มไปด้วยประกายเคียดแค้นชิงชัง
ซูหลีสาวเท้าไปหาเขาช้าๆ แล้วกล่าวเสียงขรึม “เขามีโอกาสกลับตัวหลายต่อหลายครั้ง หยางจิน เจ้ายังเด็กนัก อย่าได้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
“เจ้าไม่เห็นแก่คนในครอบครัว! กลับช่วยคนเลวทำเรื่องชั่วช้า! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเหยียนเอ๋อร์ตายอย่างไร?” หยางจินเคียดแค้น ในที่สุดก็คำรามออกมาอย่างทนไม่ไหว
ครั้นนึกถึงหยางเหยียนที่ตายไปอย่างน่าอนาถ หัวใจของซูหลีเจ็บปวด เด็กน้อยที่บริสุทธิ์คนนั้น ทั้งฉลาดและน่ารัก แต่กลับต้องสละชีวิตเพื่อการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์อันโหดเหี้ยม
ซูหลีมองดูใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้น จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่า หยางจิน…คือเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของหยางเจิ้นแล้ว! นางจ้องหน้าเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงราบเรียบ “การตายของเหยียนเอ๋อร์ บิดาเจ้าก็มีความผิดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน หากเขามิได้ลุ่มหลงมัวเมา กระทำการโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เจ้าเองก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าเสียสิ!”
“เจ้าเป็นโอรสเพียงองค์เดียวที่เหลืออยู่ของเสด็จน้า ข้าไม่มีทางสังหารเจ้า กลับไปบอกเสด็จน้า จงกลับเนื้อกลับตัวเมื่อยังไม่สายเกินไปเสียเถิด เพียงเพื่อจิตทะเยอทะยานของตนเอง ทั่วหล้าเดือดร้อนเป็นไฟ เกรงว่ามีแต่จะต้องสูญเสียไปมากกว่านี้ เจ้า…จัดการเอาเองก็แล้วกัน”
ซูหลีดีดนิ้วเบาๆ หยางจินพลันรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย ร่างกายถูกคลายจุดแล้ว นางไม่พูดมากความอีก เพียงหมุนกายสาวเท้าออกเดิน
นัยน์ตาที่หลุบต่ำของหยางจินมีแววเจ้าเล่ห์พาดผ่าน เขาพลิกหมุนข้อมือเล็กน้อย กริชคมเล่มหนึ่งไถลลงมากลางฝ่ามือ แล้วประกายสีเงินก็พุ่งแหวกอากาศตรงไปยังแผ่นหลังของซูหลี!
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาสะบัดแขนเสื้อ กริชเล่มนั้นพลันหมุนเปลี่ยนทิศทาง หยางจินตกตะลึง รีบพลิกกายหลบเลี่ยงเป็นพัลวันแต่ก็ช้าไป กริชเล่มนั้นพุ่งแทงเข้าไปในไหล่เขาอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลทะลัก เขาลุกขึ้นยืนอย่างตื่นกลัว กระโดดขึ้นม้าตัวหนึ่งแล้วทะยานหายลับเข้าไปในป่าทึบอย่างรวดเร็วดั่งสายลม
ซูหลีชะงักฝีเท้า แต่กลับไม่พูดอะไร เพียงสาวเท้าออกเดินต่อไป
เขาเดินตามหลังนางไปเงียบๆ ยามนี้มีเพียงเสียงลมกรีดพัดหวีดหวิว บุญคุณความแค้นทั้งหมดกำลังป่วนพล่านอย่างเงียบงัน
หลังจากศึกในครั้งนี้ผ่านไป กองทัพกบฏของหยางเจิ้นยุติการโจมตี สงครามเข้าสู่ช่วงชะงักงันอีกครั้ง พระราชพิธีพระบรมศพของฮ่องเต้พระองค์ก่อนถูกระงับไว้ชั่วคราวด้วยเหตุการณ์สงคราม หยางเซียวไม่กล้าประวิงเวลาออกไปอีก จึงตัดสินใจจัดพิธีส่งดวงวิญญาณสู่สุขคติในช่วงดังกล่าวทันที
ครั้นถึงวันพิธี ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยสีขาวไว้ทุกข์ บรรยากาศเงียบเหงาเศร้ารันทด หยางเซียวสวมอาภรณ์ไว้ทุกข์ เดินนำขบวนเหล่าขุนนางส่งพระบรมศพของฮ่องเต้เข้าไปในสุสานประจำราชวงศ์ ซูหลีเดินตามอยู่ในขบวนอันยิ่งใหญ่ ไม่ห่างจากหยางเซียวมากนัก ตลอดทาง หยางเซียวดูเงียบขรึมผิดปกติ ไม่ว่าเมื่อใด ขอแค่เขาหันกลับมา ก็มักมองเห็นสายตาสุขุมและห่วงใยของนางจ้องมองมาที่เขาเสมอ ท่ามกลางความเจ็บปวด เขากลับรับรู้ได้ถึงการปลอบประโลม.
……………………