ตอนที่ 171 ผู้สร้างสัตว์อสูรลึกลับ
การถูกไล่ออกจากที่ซ่อนของอาจารย์นั้นทําให้เจสันรู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน และเจสันก็สงสัยว่าสายใยวิญญาณของเขาจะสามารถมาหาเขาได้อย่างไร แต่วินาทีต่อมา พวกมันก็ถูกโยนตามออกมา
สกอร์พิโอลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเจสันยิ้มให้มัน
เมื่อเห็นเจสันอยู่ข้างหน้าสกอร์พิโอก็กระโดดเข้ามาหาเจสัน ในขณะที่ระยะระหว่างเจสันกับมันนั้นอยู่ห่างกันมาก แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่งได้พัฒนา ก็ทําให้มันสามารถกระโดดได้ถึงเจสัน
การรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของมันทําให้เจสันมีความสุขอย่างมากในขณะที่เขาลูบตัวของสกอร์พิโอ
อาร์เทมิสตื่นขึ้นและสังเกตเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจของมันได้รับความสนใจจากเจสัน ซึ่งทําให้มันรู้สึกไม่พอใจ
มันกรีดร้องในใจด้วยความรังเกียจ มันกําลังจะคว้าตัวสกอร์พิโอและโยนลงไปในน้ํา แต่เจสันจับที่ขนนกของมันซึ่งทําให้มันหยุดเกือบจะในทันที
ผ่านไปไม่กี่นาทีจนกระทั่งสายใยวิญญาณทั้งสองก้าวถอยหลังออกจากกัน
เมื่อนึกถึงคําพูดของเชนเกี่ยวกับการประสานจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของเขา เจสันต้องการเข้าสู่โลกวิญญาณของเขาและค้นหาทุกสิ่ง
ในขณะที่เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยในโลกวิญญาณของเขา
เห็นได้ชัดว่าทั้งอาร์เทมิสและสกอร์พิโอกําลังต่อสู้กับพลังวิญญาณของเขา
เจสันเองต้องแบ่งพลังวิญญาณของเขาให้กับสายใยวิญญาณของเขา
ตอนนี้เขามีหน่วยพลังวิญญาณ 150 หน่วย ต้องขอบคุณการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสกอร์พิโอและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น ทําให้เจสันไตร่ตรองว่าจะแบ่งมันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม สกอร์พิโอได้รับพลังงานวิญญาณ 15 หน่วยจากเขาแล้ว
นี่หมายความว่าแม้ว่าอาร์เทมิสจะได้รับหน่วยพลังงานวิญญาณที่เหลืออยู่ที่เจสันสะสมไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มันจะไม่มีประโยชน์ เนื่องจากจะเหลือพลังวิญญาณไม่มากพอที่จะทําให้อาร์เทมิสเข้าสู่โลกวิญญาณได้
หลังจากเข้าสู่ขั้นวิวัฒนาการ พลังวิญญาณของอาร์เทมิสเพิ่มขึ้นเป็น 130 หน่วย แต่น่าเสียดายที่มันยังคงเติบโตเต็มที่และแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้ พลังวิญญาณที่มันต้องการได้เพิ่มขึ้นเป็น 140 หน่วย มันยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ แม้ว่าเจสันจะป้อนมานาให้มันด้วยมานาที่มีระดับต่ําที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และแกนมานาที่มีการจัดอันดับเวทย์มนตร์เป็นครั้งคราว
สิ่งนี้ไม่ได้ทําให้มันรู้สึกหงุดหงิดน้อยลง ซึ่งมันแสดงด้วยพายุหิมะขนาดเล็ก ที่ห่อหุ้มตัวของมันเอาไว้ และเจสันต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทําให้มันสงบลง
การอนุญาตให้สกอร์พิโอผนวกเข้ากับพลังงานวิญญาณเพิ่มเติมอีก 45 หน่วยช่วยให้มันเข้าสู่โลกวิญญาณของเจสันในทันที ที่ซึ่งเราสามารถเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเจสันและสกอร์พิโอได้
เจสันได้คิดเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าการเชื่อมต่อนั้นบางมาก เขาเริ่มสงสัยว่าเขาจะรวมตัวกับสกอร์พิโอเหมือนที่ทิลล์ได้ทํารวมกับสายใยวิญญาณของเขาหรือไม่
แต่ก่อนที่เขาจะคิดต่อไป เจสันก็รู้สึกคันไปทั้งตัว ขณะที่กําลังของเขาเริ่มเพิ่มมากขึ้นด้วยความแข็งแกร่งที่ร่วมกันของสกอร์พิโอผ่านแกนโลกวิญญาณ
โดยปกติจะใช้เวลานานกว่าการขยายพพลังทั้งหมดจากแกนโลกวิญญาณจะไปถึงเขาเพื่อเสริมสร้างร่างกายและขยายขนาดแกนมานา แต่ดูเหมือนว่าการรวมพลังวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งจะทําให้กระบวนการทั้งหมดเร่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจสําหรับเจสัน
เมื่อรู้สึกว่าผิวของเขาแข็งแรงขึ้น ในขณะที่กระดูกและเนื้อของเขาแข็งแรงเจสันเข้าใจว่าวิวัฒนาการของสกอร์พิโอนั้นช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้ายนกายภาพมากกว่าพลังมานา นี่เป็นเพราะขนาดแกนมานาของเขาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือ
เขาไม่ได้อัพระดับที่สูงขึ้นผ่านการวิวัฒนาการในครั้งนี้ แต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ขนาดแกนกลางมานาของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่ร่างกายของเขายังมีอาการคัน อาร์เทมิสเกาะที่ไหล่ของเจสันเพื่อทําเครื่องหมายอาณาเขตของมัน ขณะที่เจสันยืนขึ้นเพื่อที่จะกลับบ้าน
รถรับส่งที่เขาเรียกว่ามาถึงใช้เวลาประมาณห้านาทีต่อมา
เจสันนั่งอยู่ข้างในนั้นตัดสินใจฝึกเทคนิคแฮฟเว่นเฮลด้วยพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นใหม่ของเขา
การฝึกครั้งที่เขาทําตอนนี้เพิ่มพลังวิญญาณของเขาประมาณ 1.2 หน่วย ซึ่งสูงมากและทําให้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างคร่าวๆ 0.8% สําหรับการฝึกฝนแต่ละครั้ง
ดังนั้น เจสันจึงรู้สึกมั่นใจในการเข้าถึงพลังงานวิญญาณที่สูงขึ้นเพื่อเก็บอาร์เทมิสเอาไว้ในโลกวิญญาณ
เมื่อมาถึงบ้านเฟลอร์ก็เป็นเวลาวันอาทิตย์และเกือบจะเที่ยงแล้ว
เจสันมีความสุขที่ได้เห็นเฟลอร์ที่มองเขาด้วยความประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่คิดว่าเจสันจะกลับบ้านเร็วขนาดนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงถามเจสันว่ามีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเจสันไม่ได้ปฏิเสธ ในขณะที่เจสันบอกพวกเขาอย่างมีความสุขว่าสกอร์พิโอจะมีวิวัฒนาการในไม่ช้าและตอนนี้เขาได้รับการวิวัฒนาการแล้วแม้มันจะยังไม่สมบูรณ์
แม้ว่าเขาจะโกหกกับพวกเฟลอร์ ความจริงก็จะถูกเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว เพราะเขาไม่สามารถซ่อนการมีอยู่ของสกอร์พิโอได้ตลอดไป เพราะมันจะตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในท้ายที่สุด การพูดความจริงง่ายกว่าการโกหก แต่ดูเหมือนว่าพวกเฟลอร์จะตกใจอย่างยิ่งกับการเปิดเผยของเขา ขณะที่เกร็กถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
นายรู้จักผู้สร้างสัตว์อสูรมั้นหรอ!?
เกร็กเกือบจะตะโกนซึ่งทําให้เขาประหลาดใจ แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจสันจําได้ว่าเพื่อนของเขามีไมโนทอร์แคระที่สามารถวิวัฒนาการได้ตราบเท่าที่มันมีมานาเพียงพอ พร้อมกับส่วนผสมอันมีค่าที่เหมาะสมซึ่งจะต้องปรุงเป็นสารละลายวิวัฒนาการ
เฟลอร์ได้ค้นหาผู้สร้างสัตว์อสูรมานานแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้ค้นพบสายเลือดที่ซ่อนอยู่ของเกร็กและศักยภาพเพิ่มเติมของสายเลือดดังกล่าว แต่ข้อกําหนดในการนัดหมายเพื่อพบผู้สร้างสัตว์อสูรนั้นยากมากอยู่แล้ว
ในท้ายที่สุด ก็ไม่รับประกันด้วยซ้ําว่าผู้สร้างสัตว์อสูรจะช่วยพวกเขาได้ไหม
และแม้ว่าเขาสามารถช่วยได้ พวกเขาก็ต้องค้นหาวัสดุที่จําเป็นและจ่ายเงินสําหรับการวิวัฒนาการ
เมื่อคํานวณทุกอย่างร่วมกัน ข้อกําหนดในการวิวัฒนาการสัตว์ร้ายนั้นต้องใช้ทรัพยาการมากมายมหาศาล แม้ว่ามันจะคุ้มค่าทุกเครดิตก็ตาม
เมื่อรู้ว่าเกร็กหมายถึงอะไร เจสันไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร จู่ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นในใจเขา
จากสิ่งที่ฉันอ่านในหนังสือ การพัฒนาสัตว์ร้ายที่มีสายเลือดที่ปิดผนึกไว้ในร่างกายของพวกมันนั้นง่ายที่สุดสําหรับผู้สร้างสัตว์อสูรที่เก่งกาจ ด้วยข้อมูลที่เพียงพอดาเลีย ควรจะสามารถบอกฉันได้ว่าวัสดุใดบ้างที่ไมโนทอร์แคระต้องการเพื่อที่จะวิวัฒนาการ ตราบใดที่เธอรู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์เลสเซอร์ไมโนทอร์ มันน่าจะเป็นไปได้…หรือว่าไม่ควรถาม? ลองดูก็ไม่เสียหาย!
เจสันครุ่นคิดว่าควรเริ่มต้นอย่างไรในขณะที่พูดอย่างลังเล
ฉันรู้จักผู้สร้างสัตว์อสูร แต่ฉันไม่รู้ว่าผู้สร้างสัตว์อสูรนี้อยู่ในระดับใด หรือแม้แต่ชื่อของเขาหรือเธอ
อาจกล่าวได้ว่า ฉันบังเอิญได้พบกับผู้สร้างสัตว์อสูรคนนี้ และเขาก็ชอบสกอร์พิโอ
ในขณะที่เขาสังเกตเห็นศักยภาพของสัตว์ร้ายของฉัน
บางที่ฉันอาจจะถามผู้สร้างสัตว์อสูรได้ว่าเขาสามารถช่วยทอรัสเพื่อวิวัฒนาการได้ไหม แต่ฉันไม่สามารถสัญญาอะไรได้นะ!
เจสันตอบด้วยการโกหกเล็กน้อยผสมกับความจริง เขาไม่สามารถเปิดเผยการมีอยู่ของอาจารย์ของเขาได้ เพราะเธอซ่อนตัวจากสายตาของสาธารณชน
ดังนั้น เจสันจึงตัดสินใจสร้างเรื่องของผู้สร้างสัตว์ร้ายลึกลับ ซึ่งหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของเขาได้
เขาไม่สามารถสัญญาอะไรได้ แต่เกร็กและเฟลอร์ดูเหมือนจะพอใจกับคําพูดง่ายๆ ของเจสันแม้ว่าเขาจะไม่ได้มั่นใจอะไรเลยก็ตาม แต่เจสันให้ความหวังเล็กน้อยแก่พวกเขาซึ่งเกือบจะหายไป
เนื่องจากเกณฑ์การเข้าพบที่เข้มงวดซึ่งระบุโดยผู้สร้างสัตว์อสูรระดับล่างของแอสทริกซ์