พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่169

บทที่169

บทที่169 แกว่าใครไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี

นร้านเครื่องประดับ รพีพงษ์ยังไม่รู้เรื่องที่รถตนเองโดน ทุบ เขากำลังตั้งใจดูเครื่องประดับให้กับอารียาอยู่

“รพีพงษ์ เครื่องประดับที่นี่แพงไปหน่อยหรือเปล่า หยก หนึ่งอันตั้งสามแสน ทางนู้นมีปิ่นปักผม ฉันเห็นว่ามันเหมือน กับที่ชรินทร์ทิพย์ใช้ปักผมเลย ที่แท้ก็ตั้งสองแสน นี่ ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วป่ะ”

อารียาเห็นเครื่องประดับพวกนั้นที่แสดงอยู่ในร้าน เกิด ความตะลึงบนใบหน้า

“เครื่องประกับที่นี่ไม่ก็เป็นวัตถุโบราณที่ล้ำค่ำ ไม่ก็เป็น ผลงานของนักจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง แพงขึ้นมาหน่อย

เพราะมีเหตุผลในตัวของมัน คุณดูว่าชอบอันไหน ผมซื้อให้

คุณ” รพีพงษ์หัวเราะพลางกล่าว

อารียาพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก แล้วกล่าว “ชั่งมันเถอะ เครื่องประดับที่นี่แพงเกินไป ไม่งั้นพวกเราไปดูร้านอื่นเถอะ ซื้อกี่อันที่ถูกๆหลอกๆแม่ฉันไปก็โอเคแล้ว”

รพีพงษ์ปฏิเสธความคิดของอารียาทันที แล้วกล่าว “ซื้อ ให้เธอ ต้องซื้อที่ดีที่สุด คุณไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเงิน คุณ แค่เลือกอันที่ชอบสักกี่แบบก็โอเคแล้ว แล้วก็เลือกอันที่จะ ให้แม่ด้วยละกัน”

อารียาเห็นรพีพงษ์ยังคงแน่วแน่แบบนี้ ทำได้เพียงดู เครื่องประดับเหล่านั้นที่อยู่ในร้านต่อไป เพียงแต่ดูอยู่นานแล้วแต่ก็ยังไม่อยากซื้อ เพราะมันค่อนข้างแพงมากจริงๆ

พนักงานสองคนที่กำลังตามรพีพงษ์อยู่นั้นมองพวงกเขา ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ ในใจพลางคิดถ้าไม่มี ปัญญาซื้อแล้วจะเดินวนอยู่ที่นี่ทำไม เสียเวลาพวกเธอ

ตอนนี้ภูรีเดินเข้ามาในร้าน เพราะเธอคือลูกค้าประจำ ของร้าน มีพนักงานสองคนเข้าไปต้อนรับทันที ทักทาย อย่างกระตือรือร้น

“พี่ภูรี คุณมาอีกแล้ว ครั้งนี้คุณอยากซื้ออะไรหรอ?”

“พวกแกช่วยเหลือเครื่องประดับที่ดูดีสักกี่อันให้ฉัน หน่อยสิ ฉันจะเอาไปให้คนอื่น” ภูรีกล่าว

พนักงานสองคนนั้นพยักหน้าทันที แล้วพาภูรีเดินรอบๆ

ร้าน

รพีพงษ์เห็นอารียาแค่ดูแต่ไม่ซื้อ ก็พูดกับเธอว่า “คุณดู หรือยังว่าจะซื้ออันไหน? ถ้าคุณไม่บอก ผมจะตัดสินใจ แทนคุณแล้วนะ”

อารียาเห็นรพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็ยื่นมือชี้ไปที่ต่างหูคู่หนึ่งที่ เคาน์เตอร์ตรงนั้น แล้วกล่าว “ฉันรู้สึกว่าต่างหูคู่นั้นสวยดี”

รพีพงษ์หันหลังไปพูดกับพนักงานร้านแล้วกล่าว “รบกวน ช่วยพวกเราห่อต่างหูคู่นั้นด้วย ขอบคุณครับ” เขาไม่แม้แต่จะดูว่าต่างหูคู่นั้นราคาเท่าไหร่ สำหรับเขา

แล้ว แม้จะซื้อของในเรื่องทั้งหมดก็ไม่มีปัญหา สุดท้ายพนักงานก็เห็นรพีพงษ์พวกเราซื้อของเสียทีอารมณ์บนใบหน้าก็ดูอบอุ่นขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ไม่เสีย เวลาเปล่า

ตอนนี้ภูรีก็เดินถึงจุดนี้พอดี ดวงตาของเธอก็ส่องไปที่ ต่างหูคู่นั้นเช่นกัน แล้วกล่าว “ต่างหูคู่นั้นไม่เลว ห่อให้ฉัน

ด้วย”

พนักงานสองคนที่ติดตามเธออยู่ก็พยักหน้า จะไปห่อต่าง หูคู่นั้นให้เธอ

พนักงานที่ติดตามรพีพงษ์พวกเขารีบกล่าวทันทีว่า “ขอโทษนะ ต่างดูคู่นี้พวกเขาดูแล้วชอบก่อน ต้องการที่จะ ซื้อแล้ว”

ภูรีรีบจ้องเขม็งไปที่พนักงานคนนั้น แล้วด่า “ไอ้เด็กผู้ หญิงคนนี้ตาบอดหรือไง? ไม่รู้หรอว่าฉันเป็นใคร?”

พนักงานร้านคนนั้นเพ่งไปที่ภูรี ทันใดนั้นสีหน้าก็ถอดสี แล้วกล่าว “พี่ภูรี เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจดู ไม่คาดคิดว่าเป็น คุณ พี่ภูรีได้โปรดยกโทษให้ด้วย”

ภูรีมองบนต่อเธอ แล้วกล่าว “งั้นตอนนี้ฉันต้องการต่างหู

คู่นี้ ยังมีปัญหาอีกไหม?”

“ไม่….ไม่มีปัญหา” พนักงานตอบ

รพีพงษ์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วกล่าว “ขอโทษครับ ต่าง ดูคู่นี้พวกเราเลือกก่อน ที่นี่น่าจะเน้นเรื่องมาก่อนได้ก่อน นะ”

พนักงานคนนั้นหันกลับไปมองรพีพงษ์ แล้วกล่าว “ไม่งั้น พวกคุณดูแบบอื่นไหม? พี่ภูรีคือลูกค้าประจำของร้านเราพวกเราต้องบริการเธอก่อน”

“ผมรู้เพียงแค่มาก่อนได้ก่อน ภรรยาของผมชอบต่างหูคู่ นั้น อย่างอื่นไม่ชอบ” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น

ภูรีเห็นรพีพงษ์อยากได้ต่างหูนี่ ก็เริ่มเอ่ยปากด่าขึ้นมา แต่ทว่าเธอยังไม่ได้เริ่มพูด พนักงานคนนั้นก็เริ่มว่ารพี พงษ์ “คุณทำไมเป็นคนแบบนี้ พี่ภูรีคือภรรยาของท่านพี่ ใหญ่ตระกูลกุลสวัสดิ์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่งของกับเธอ? คุณเดินดูที่นี่ตั้งนาน เพิ่งจะพูดว่าเอาต่างหูหนึ่งคู่ พี่ภูรีเค้า มาที่ร้านไม่กี่นาทีก็ซื้อไปหลายอย่างแล้ว คุณเทียบกับเธอ ได้หรอ?

รพีพงษ์รู้สึกค่อนข้างเสียอารมณ์ ไม่คาดคิดว่าพนักงาน ที่นี่จะว่าเขาไม่หยุด เดินตามตนเองแปปเดียว ก็มีความผิว แล้ว

“โอ้ว ที่แท้ก็เป็นไอ้พวกยากจนทั้งสอง ฉันคิดว่าพวกแกมี เงินมาก กล้าแย่งของกับฉัน แบบพวกแกยังกล้าแย่งของที่ ฉันชอบด้วยหรอ? ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะให้คนโยนพวกแก ออกไป ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร” ภูรีกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด

อารียาเห็นภูรีแตะต้องไม่ได้ ก็ดึงแขนของรพีพงษ์ แล้ว กล่าว “ไม่งั้นพวกเราไม่เอาอันนั้นแล้วก็ได้ ดูแบบอื่นละกัน ให้เธอไปก็โอเคแล้ว”

รพีพงษ์หันไปดูอารียา แล้วกล่าว “สิ่งที่คุณชอบ ผมจะ ต้องช่วยคุณเอามาให้ได้”

ภูรีเบ้ปาก แล้วกล่าว “อุ๊ย น่าหัวเราะจริงๆ ไอ้เด็กน้อยเกรงว่าแกกำลังอยู่ในความฝันนะ? แกไม่ได้ยินที่เธอพูด เมื่อกว่าฉันเป็นใครหรอ? ฉันคือพี่สะใภ้หลักของตระกูล สุขสวัสดิ์ แกยังมีหน้ามาแข่งกับฉัน?”

“แล้วยังไง ถึงจะเป็นหัวหน้าตระกูลสุขสวัสดิ์อยู่ที่นี่ ก็ไม่ กล้าพูดกับผมแบบนี้เหมือนกัน” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือก เย็น

“แกส่องกระจกบ้างนะ ดูลักษณะแก แกคิดว่าแกเป็นใคร รีบไสหัวไปซะ มิเช่นนั้น ฉันจะให้บอดี้การ์ดของฉันโยนแก ออกไปทั้งคู่” ภูรีกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“พวกแกยังดูอะไรอีก รีบไปสิ พวกแกแตะต้องพี่ภูรีไม่ได้ หรอก” พนักงานสองสามคนก็ไล่ตาม

รพีพงษ์เพ่งมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งคู่ที่อยู่หลังภูรีแล้ว กล่าวหัวเราะดูแคลน พลางกล่าว “ผมก็อยากจะรู้ บอดี้ การ์ดสองคนนี่ของคุณจะโยนผมออกไปได้ไหม?

ภูรีเห็นรพีพงษ์ไม่เกรงกลัวต่อบอดี้การ์ดของเธอแต่อย่าง ใด แล้วก็ขมวดคิ้ว

“แกชั่งกล้า เลนจ์โลเวอร์ที่จอดอยู่ด้านนอกคงจะไม่ใช่ ของแกสินะ” ภูรีถามขึ้นมาทันที

รพีพงษ์พยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่ผิด เป็นของผมเอง”

ทันใดนั้นภูรีก็หัวเราะขึ้นอย่างดัง แล้วกล่าว “ฉันว่าแล้ว ไม่แปลกที่แกแล้วได้ขนาดนี้ รถเลนจ์โลเวอร์ยังกล้าที่จะ จอดในที่ข้างฉัน แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยนะ”

“ที่จอดรถข้างนอกเป็นที่ของสาธารณะ กลายเป็นของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น

“ฉันพูดว่าเป็นของฉัน ก็ต้องเป็นของฉัน รถคันนั้นขอแก ฉันทุบทิ้งไปล่ะ นี่คือผลของการที่แกกล้าแย่งของกับฉัน ฉันแนะนำให้แกรีบมาตรงนี้ มิเช่นนั้นอีกสักแปปสิ่งที่จะ โดนทุบ ก็คือแกนั่นแหละ!” ภูรีกล่าวอย่างเหยียดหยาม

รพีพงษ์เงียบไปสักพัก แล้วเดินออกไปดูเดี่ยวนั้น ค้นพบ ว่ารถของตัวเองโดนทุบจนไม่เหลือชิ้นดี

หลังจากที่เขากลับมา มองไปที่ภูรีอย่างเกรี้ยวกราด แล้ว กล่าว “คุณคิดว่าคุณมีขนาดไหน ถึงได้ทำตัวไม่เคารพ กฎหมาย?”

ภูรีแหงนหน้า กล่าว “กฎหมาย? จะบอกให้แกรู้ไว้นะ ฉัน นี่แหละกฎหมาย แกอยู่ตรงนี้ทำฉันเสียเวลา ฉันจะให้แก รับผลกรรมที่จะตามมา”

หลังจากเธอพูดจบ บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่หลังเธอเดิน ตรงไปที่รพีพงษ์ จะลงมือกับเขา ใบหน้าอารียาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่คาดคิดว่า

เรื่องจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้

รพีพงษ์ก็ไม่เกรงใจ กระโดดไปชกบอดี้การ์ดสองคนล้ม ลงพื้นทันที

ภูรีเห็นบอดี้การ์ดของตนถูกรพีพงษ์จัดการอย่าง ง่ายดาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ

เธอถอยหลังไปสองก้าว เพ่งไปที่รพีพงษ์อย่างค่อนข้าง

เกรงกลัว แล้วกล่าว “แก…แกกล้าต่อยบอดี้การ์ดของฉันฉันเป็นคนของตระกูลสุขสวัสดิ์ แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ใช่ไหม!”

“ตระกูลสุขสวัสดิ์แล้วไง นี่เป็นข้ออ้างที่คุณไม่มีเหตุผล หรอ? รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น

ปกติภูริไม่เคยถูกคนปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตอนนี้บอดี้ การ์ดของเธอก็โดนต่อยล้มไปแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำไงต่อไป

“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” ในชั่วขณะนี้ ก็มีเสียงดังขึ้นมา ทุกคน ต่างหันมองไปที่ประตู

โยษิตาเดินเข้ามาในร้าน เมื่อเธอเห็นรถที่โดนทุบหนึ่ง คันอยู่ที่ประตู คิดว่าในร้านเกิดเหตุอะไรขึ้น

หลังจากที่พนักงานหลายคนเห็นโยษิตาแล้ว รีบเข้าไป ต้อนรับทันที เรียกอย่างยินดีว่า “เจ้านาย”

ภูรีไม่คาดคิดว่าโยษิตาจะปรากฏตัวที่นี่ แล้วพนักงาน หลายคนก็เรียกเธอว่าเจ้านาย นี่ทำให้เธอรู้สึกสงสัย

แต่เธอก็รู้ถึงสถานะของโยษิตา ไม่กล้าลังเล แล้วรีบเดิน เข้าไปแล้วกล่าวอย่างยินดี “คุณโยษิตา คุณมาที่นี่ได้ไง? ฉันยังคิดว่าอีกเดี่ยวจะไปหาคุณ”

โยษิตามองไปที่ภูรี แล้วกล่าว “สองสามวันก่อนฉันมา เดินดูที่นี่ เห็นว่าไม่เลว เลยเทคโอเวอร์ที่นี่เลย ตอนนี้ฉัน เป็นเจ้าของร้านนี้”

ภูรีตกใจ ในใจพลางคิดไม่แปลกที่เป็นคนของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต ได้ทำการซื้อร้านเครื่องประดับที่ใหฯ่ ที่สุดของเมืองริเวอร์ไว้ นี่ถือว่าฟุ่มเฟือยกว่าเธออีกเยอะ
“คุณโยษิตาเก่งกาจจริงๆ ซื้อที่นี่ไว้ ฉันยังคิดว่ามานี่เพื่อ ซื้อของขวัฯให้คุณสักกี่ชิ้น ตอนนี้ดูๆคงไม่ต้องแล้ว ร้านนี้ เป็นของคุณโยษิตาแล้ว” ภูรีพูดอย่างเขินอาย

“รถข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น?” โยษิตากล่าว

“คือง รถค้นนี้แย่งที่จอดกับฉัน ฉันโมโห จึงให้คนทำลาย มันทิ้งซะ” ภูรีกล่าว

เธอคิดว่าโยษิตาเป็นคนเกียวโต น่าจะเข้าใจพวกคนรวย เกี่ยวกับความคิดแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบัง

โยษิตาขมวดคิ้ว เห็นชัดเจนว่าไม่พอใจกับการกระทำ ของภูรีเป็นอย่างมาก เธอมองไปที่ด้านใน หลังจากที่ได้ เห็นรพีพงษ์กับอารียาแล้ว ในใจก็รู้สึกตกใจขึ้นมา

“ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ฉันได้ยินเหมือนพวกเธอกำลัง ทะเลาะกัน?” โยษิตาไม่รีบไปหารพีพงษ์ เพียงแค่ถามหนึ่ง ครั้ง

“เจ้านาย ข้างในสองคนนั้นต้องการแย่งของกับพี่ภูรี ถึง แม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกไว้ก่อน แต่พี่ภูรีเป็นลูกค้า ประจำของทางร้าน พวกเราจึงอยากที่จะเอาต่างหูคู่นั้นให้ พี่ภูรี ผลลัพธ์คือสองคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ยังไงก็ไม่ให้ จึงได้ทะเลาะกันขึ้นมา” พนักงานคนหนึ่งกล่าว

หลายๆคนคิดว่าโยษิตาจะต้องเข้าข้างภูรีแน่นอน ดังนั้น จึงไม่ได้สนใจรพีพงษ์และอารียาทั้งคู่เลย

“พวกเธอพูดไม่ผิด สองคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ ยัง กล้าจะแย่งของกับฉันอีก” ภูรีกล่าวอย่างเหยียดหยาม
อารียาเห็นเจ้าของร้านเค้ามาแล้ว แล้วยังรู้จักกับภูรีอีก รู้ ว่าถ้ายังทะเลาะต่อไปพวกเขาต้องเสียเปรียบแน่ๆ จึงอยาก พารพีพงษ์ไปขอโทษภูรี

ในขณะเดียวกันนี้เอง ทันใดนั้นโยษิตาก็ยกมือขึ้น แล้ว ตบไปที่หน้าของพนักงานคนนั้น แล้วกล่าว “แกว่าใครไม่รู้ จักที่ต่ำที่สูง? พวกเขาคือหลานชายและหลานสะใภ้ของ ฉัน แกก็มีสิทธิ์ว่าเธอแบบนั้น?”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท