พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่491 ตอบรับข้อเรียกร้องที่ไร้เงื่อนไข

บทที่491 ตอบรับข้อเรียกร้องที่ไร้เงื่อนไข

บทที่491 ตอบรับข้อเรียกร้องที่ไร้เงื่อนไข

“คุณ……คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้เดา? ” มโนชาถามรพีพงษ์อย่างไม่มั่นใจ ตัวเธอเองก็รู้สึกว่าคำถามของเธอนั้นไร้ประโยชน์

แต่เป็นเพราะว่ามีความประทับใจที่ไม่ดีต่อรพีพงษ์ ทำให้ในใจของเธอรู้สึกว่าถ้าไม่ถามประโยคนี้ออกมาก็ราวกับว่าตัวเองจะเสียเปรียบยังไงยังงั้น

“ถ้าคุณคิดว่าผมเดาออกมา ต้องมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? ” รพีพงษ์ฉีดยิ้มมุมปากขึ้น กลับไม่ได้โกรธคำถามของมโนชาเลย

มโนชามองไปที่ของสะสมสิบกว่าชิ้นบนตู้จัดแสดงนิทรรศการ ถ้าทายสองชิ้นนี้ถูกในเวลาเดียวกัน คิดความเป็นไปได้ละก็ ก็นับว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก

“ปั้นชาและชามดอกไม้นี้ ตามที่พ่อได้พูดมา คือมาจากฝีมือท่านอาจารย์ที่ลอกเลียนแบบของสาธารณรัฐท่านหนึ่ง ซึ่งการลอกเลียนของโบราณของท่านนั้น ถึงขั้นเทพแล้ว สิ่งของที่ผ่านมือของท่านนั้น ยากมากที่จะดูออก ” ในขณะนั้น ปรวิทย์ก็พูดต่อ

“ได้ยินพ่อผมพูดว่า ในการประมูลช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีเสื้อบางชิ้นที่มาจากของสะสมของท่านอาจารย์ลอกเลียนท่านนี้ ถูกคิดว่าเป็นของจริงและได้ประมูลขายออกไปแล้ว การประมูลนั้นได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินวัตถุโบราณไป แต่ไม่มีใครมองสิ่งของลอกเลียนแบบนั้นออกเลย ”

“ที่มาที่แท้จริงของปั้นชาและชามดอกไม้นี้ พ่อของผมบอกผมคนเดียวด้วยตัวท่านเอง วันนี้เป็นครั้งแรกที่ประกาศที่มาของของปลอมสองชิ้นนี้ต่อสาธารณชน ถึงแม้นี้จะเป็นของเลียนแบบ แต่ว่าก็มาจากมือของท่านอาจารย์นี้เหมือนกัน ระดับความเหมือนจริงนั้นสามารถทำของปลอมให้เป็นของจริงได้ ดังนั้นราคาของของสะสมสองชิ้นนี้ก็ไม่น้อยเลยเหมือนกัน ”

หลังจากที่ทุกคนได้ฟังการแนะนำของปลอมสองสิ่งจาก ปรวิทย์แล้วนั้น ล้วนประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าวัตถุโบราณสองชิ้นที่เป็นสัญลักษณ์ของ ราชวงศ์ซ่งเหนือและราชวงศ์หมิงนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยท่านอาจารย์ของสาธารณรัฐ

ถ้าไม่ใช่ ปรวิทย์ประกาศที่มาของสองสิ่งนี้ต่อสาธารณชนละก็ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะซื้อของสองสิ่งนี้กลับไปด้วยราคาที่สูงเสียดฟ้าก็ตาม ก็คิดว่าตัวเองซื้อของจริงกลับไปแน่นอน

หลังจากที่มโนชาได้ยินการแนะนำของ ปรวิทย์แล้วนั้น ในใจก็ตกตะลึงเพิ่มขึ้นไปอีก เธอจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่รพีพงษ์พูดถึงของปลอมสองชิ้นนี้ ก็พูดว่าของสองชิ้นนี้ก็สร้างขึ้นมาจากสาธารณรัฐ

ตามที่ ปรวิทย์พูด ก่อนที่เขาจะประกาศ คนที่รู้ว่าของสองชิ้นนี้ว่าเป็นของของสาธารณรัฐ ก็มีแค่ปรมัตถ์และ ปรวิทย์สองคน

ถ้ามีคนที่สามารถมองที่มาของสองสิ่งนี้ออก นั้นก็แปลว่าเป็นคนที่รู้ในสายงานนี้เป็นอย่างดี รพีพงษ์ใช่ประสบการณ์ความรู้ของตัวเองจริงๆ ถึงดูที่มาของสองชิ้นนี้ออก

แม้ว่าจะเกิดความเป็นไปได้น้อยก็จริง รพีพงษ์เดาของสองชิ้นนี้ถูก แต่ก็ไม่มีทางพูดช่วงเวลาที่สร้างของสองชิ้นนี้จากสาธารณรัฐได้

แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือรพีพงษ์ได้ฟังเรื่องของปลอมสองชิ้นนี้จากปรมัตถ์มาก่อนแล้ว วันนี้ถึงได้พูดที่มาของสองชิ้นได้อย่างถูกต้อง แต่เห็นได้อย่างแน่ชัด ว่าเรื่องนี้ไม่มีทาง เป็นไปได้อย่างแน่นอน

มโนชามองไปที่รพีพงษ์เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง รู้ว่าเมื่อก่อนตัวเองได้เข้าใจรพีพงษ์ผิดไป เจ้าหมอนี้ไม่ได้ดูตื้นเขินเหมือนอย่างที่เธอคิดไว้ อย่างน้อยที่สุดเธอและอาจารย์ของเธอก็ไม่สามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ แถมยังพูดที่มาของพวกมันได้อีก

ถ้าเธอมีความรู้แบบนี้ละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะดูถูกของโบราณที่พวกเขาเคยพบจากด้านนอกมาก่อนก็ได้

และยังมีอีกเรื่องที่มโนชารู้สึกว่ารพีพงษ์ไม่ได้เป็นคนโอ้อวดจอมปลอมอย่างที่เธอคิดไว้ นั้นก็คือรพีพงษ์ใช้เวลาภายในสิบห้านาที ก็สามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ แต่เขากลับไม่ไปบอก ปรวิทย์

งั้นก็แสดงว่าเขากลับไม่ได้สนใจโอ้อวดตัวเองมากขนาดนั้น และไม่มีความคิดที่จะเลือกของหนึ่งชิ้นจากของสะสมของปรมัตถ์ด้วย

ไม่พูดไม่ได้ ว่าถ้าเป็นเธอ ยังมีความอยากจะได้ของสะสมของปรมัตถ์ สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยุด้วยไม่ได้ทำอะไร แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

หลังจากที่รู้แน่ชัดว่าตัวเองเข้าใจรพีพงษ์ผิดนั้น มโนชาก็เปลี่ยนเป็นเขินอายขึ้นมา มองไปที่รพีพงษ์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ปกติคนที่เข้าใจคนอื่นผิด หลังจากที่รู้ความจริงแล้วนั้น ก็จะมีความปรารถนาดีและใจกว้างต่อคนที่เข้าใจผิด มโนชาก็รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองก็เป็นแบบนั้น

ผดุงสิทธิ์และไกรเดชสองคนก็เอาคำพูดของ ปรวิทย์ มาตัดสินความเก่งกาจของรพีพงษ์ พวกเขาทั้งสองคนมองไปที่รพีพงษ์ดัวยความเคารพขึ้นมานิดหนึ่ง

“คุณรพี คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะมีความรู้ที่ลึกซึ้งขนาดนี้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะใช้ความคิดเห็นที่เลวไปคาดเดาคนที่มีคุณธรรมสูงส่งแล้ว หวังว่าเรื่องที่ผ่านมาคุณรพี อย่าได้ไปถือสาอะไรเลยนะครับ ” ผดุงสิทธิ์ยิ้มแล้วพูดกับรพีพงษ์

รพีพงษ์ยิ้มให้เขาไปนิดหนึ่ง แสดงออกว่าไม่ได้อะไร

ไกรเดชก็ยิ้มแล้วพูดว่า : “ตอนนี้ผมพูดเรื่อง De Yi Yuan Baoนั้นว่าผมไม่ได้เป็นคนบอกคุณรพี พวกคุณคงเชื่อแล้วใช่มั้ย ”

ได้ยินคำพูดของไกรเดช มโนชาก็ยิ้งละอายใจขึ้นไปอีก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเขินอายมองไปที่รพีพงษ์ ก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับรพีพงษ์ และเล่นกับนิ้วของตัวเองด้วยความประมาท

“คุณ……คุณรพี เมื่อก่อนฉันมีทัศนคติที่ไม่ดีกับคุณไปหน่อย เพราะฉันคิดว่าตัวเองใช่ เข้าใจคุณผิด หวังว่าคุณรพีจะใจกว้าง อย่าไปเก็บไว้ในใจเลย ชาขอโทษคุณมา ณ ที่นี้ด้วย” น้ำเสียงที่มโนชาพูดกับรพีพงษ์ก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นมานิดหนึ่ง

รพีพงษ์มองเธอ แล้วพูดว่า : “ขอโทษก็ไม่ใช่ว่าจะแล้วไป ขอแค่คุณยังจำได้ ตอนนี้คุณจำเป็นต้องตอบรับข้อเรียกร้องที่ไร้เงื่อนไขกันผม ”

ในใจของมโนชาชะงักไปอย่างฉับพลัน รพีพงษ์ปาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าการพนันระหว่างเธอกับรพีพงษ์คือเธอเป็นฝ่ายแพ้ สำหรับข้อแลกเปลี่ยน เธอจำเป็นต้องตอบรับข้อเรียกร้องของรพีพงษ์อย่างไร้เงื่อนไข

ก่อนหน้านี้ มโนชาคิดว่ารพีพงษ์ไม่สามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นได้เจอแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้คำนึงถึงการเดิมพันที่จะตามมา ก็เลยตอบตกลงรพีพงษ์ไป

ตอนนี้เธอแพ้แล้ว มโนชาถึงได้รู้สึกตัวว่า ถ้าตัวเองจำเป็นต้องตอบรับข้อเรียกร้องของรพีพงษ์อย่างไร้เงื่อนไขละก็ งั้นเรื่องที่รพีพงษ์จะให้เธอทำละก็เยอะมากมายเลย

แต่สิ่งแรกที่ในสมองของเธอคิดได้ ก็คือรพีพงษ์คงไม่ได้ให้เธอ……เธอยังเรียนมหาลัยอยู่นะ ปกติเวลาพบเจอเรื่องนี้ สิ่งที่คิดได้ก็มีแต่เรื่องผู้หญิงกับผู้ชายทั้งนั้น

เพียงแค่รพีพงษ์พูดข้อเรียกร้องอย่างนั้นออกมา การเป็นคนที่รักษาสัญญา มโนชาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะทำให้ตัวเธอเองละเมิดเงื่อนไขในชีวิตของตัวเอง อย่างงั้นเธอก็จะใช่ชีวิตอย่างละอายใจไปตลอดชีวิต

คิดถึงตรงนี้ ใบหน้ารูปไข่ของมโนชาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาทันที ในสมองก็มีภาพคิดไปทั่วเต็มไปหมด

“คุณ……คุณต้องการเรียกร้องอะไร? ” มโนชาถามอย่างระมัดระวัง

“เรื่องนี้ผมยังคิดไม่ออกชั่วคราว รอผมคิดออกแล้วค่อยบอกคุณแล้วกัน ” รพีพงษ์พูด

มโนชาทำได้เพียงพยักหน้า แต่ว่ายิ่งเป็นแบบนี้ ในใจของเธอก็ยิ่งไม่แน่ใจ เธอไม่รู้เลยว่ารพีพงษ์จะพูดข้อเรียกร้องอะไรออกมา

ผดุงสิทธิ์และไกรเดชทั้งสองคนมองทั้งสองคนแล้วยิ้มๆ การเดิมพันของคนอื่น พวกเขาทั้งสองคนไม่อาจก้าวก่ายได้ ดังนั้นดูเฉยๆ ก็พอ ในใจของไกรเดชยังรู้สึกว่ามโนชางั้นเหมาะสมกับรพีพงษ์เป็นอย่างมาก แต่ว่าตอนนั้นรพีพงษ์พูดแล้วว่าอย่าล้อเล่นเรื่องนี้อีก ดังนั้นเขาก็ทำได้แค่คิดอยู่ในใจ

“ในเมื่อวันนี้ไม่มีใครหาของปลอมสองสิ่งนั้นเจอ ถ้าอย่างนั้นของสะสมที่ผมเดิมทีต้องการจะให้เห็นทีคงจะต้องอยู่ที่นี่สักพัก แต่ว่าถ้าหากทุกท่านต้องการจริง ๆ ละก็ สามารถที่จะจ่ายเงินซื้อได้นะครับ เนื่องจากวันนี้ผมอารมณ์ดี จึงจะเสนอราคาที่พิเศษให้กับทุกท่านครับ ” ปรวิทย์ พูดต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง”

ทันทีทันใดผู้คนมากมายก็อยากต้องการซื้อของของสะสมของปรมัตถ์ นี้เป็นโอกาสอันน้อยนิด แม้ว่าที่นี่จะเป็นร้านที่ปรมัตถ์เปิด แต่มีโอกาสน้อยมากที่ขายของสะสมของปรมัตถ์ ดังนั้นจึงมีจำนวนคนไม่น้อยที่เข้าไปสอบถามราคา

ในตอนนั้นเอง รพีพงษ์เดินไปด้านหน้า แล้วพูดเสียงดังว่า : “ ในของสะสมที่นี่ ยังมีของปลอมชิ้นที่สามอยู่ !”

ทุกคนต่างก็ถูกเสียงของรพีพงษ์สกัดไว้ ภายในกำปั่นทองจึงเงียบขึ้นมาทันที

หลังจากนั้นทุกคนต่างก็มองมายังรพีพงษ์ พร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความตกใจหลังจากนั้นทุกคนต่างก็มองมายังรพีพงษ์ พร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความตกใจ

ไกรเดชและอีกสองคนคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะพูดประโยคนี้ออกมา มองเขาด้วยความงุนงง

ปรวิทย์ที่มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็ต้องหยุดยิ้มทันที เขาหรี่ตามองไปยังรพีพงษ์ อีกทั้งในหัวสมองยังคงคิดว่าคนนี้คือใครกันทำไมถึงพูดประโยคนี้ออกมากะทันหัน

หรือว่าจะมาทำลายงาน?

ของสะสมพวกนี้ที่เขาวางอยู่บนตู้จัดแสดงนิทรรศการนั้น แต่ละชิ้นล้วนผ่านสายตาของปรมัตถ์มาด้วยตัวเอง ซึ่งของในนั้นมีปั้นชาและชามดอกไม้ที่เป็นของปลอม ส่วนที่เหลือนั้นเป็นของจริงหมด

ตอนนี้นั้นก็มีคนพูดออกมาว่ายังมีของปลอมชิ้นที่สามอยู่อย่างกะทันหัน ที่ปรวิทย์จะคิดได้ก็คือ เป็นคนที่มาทำลายงาน ซึ่งเขาจะต้องไม่เห็นด้วยกับการประเมินวัตถุโบราณของปรมัตถ์อย่างแน่นอน ในเมื่อปรมัตถ์พูดว่าในตู้จัดแสดงนิทรรศการนี้มีของปลอมแค่สองชิ้น งั้นก็ไม่มีทางที่จะมีชิ้นที่สามแน่นอน

“ คุณครับ คุณกำลังล้อเล่นใช่หรือเปล่าครับ ของสะสมที่อยู่บนตู้จัดแสดงนิทรรศการนี้ ต่างก็เป็นของที่พ่อผมดูมาด้วยตัวเองทั้งนั้น นอกจากของปลอมสองชิ้นนั้นแล้ว ที่เหลือก็คือของจริง จะเป็นไปได้ยังไงกันที่จะมีของปลอมชิ้นที่สามละครับ ผมว่าคุณอย่าพูดล้อเล่นกับผมเลยครับ ” ปรวิทย์ ยิ้มพร้อมกับพูดกับรพีพงษ์

“ ผมไม่ได้พูดล้อเล่นซะหน่อย ที่อยู่ด้านบนตู้จัดแสดงนิทรรศการนี้ ยังมีของปลอมชิ้นที่สามอยู่จริงๆ ปรมัตถ์ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกซะหน่อย ถึงจะเป็นเขา ก็มีตอนที่ผิดบ้าง ” รพีพงษ์พูดออกมา

คำพูดที่เขาพูดออกมา ผู้คนมากมายในที่นี้เบิ่งตากว้าง ในใจคิดว่ารพีพงษ์นี้ต้องมาทำลายงานแน่นอน

คำพูดเมื่อกี้นี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะยั่วยุปรมัตถ์ ตำแหน่งของปรมัตถ์ในด้านการประเมินวิเคราะห์วัตถุโบราณระดับโลกของเกียวโตนั้นไร้คนเทียบเทียม ตอนนี้รพีพงษ์พูดว่าปรมัตถ์ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกซะหน่อย สำหรับพวกเขาแล้ว ก็นับว่ามาหาเรื่อง

ปรวิทย์เปลี่ยนสีหน้า พูดโดยอารมณ์ที่ไม่ดีกับรพีพงษ์ว่า : “ ฐานะของพ่อในด้านการประเมินวิเคราะห์และวินิจฉัยอยู่ในระดับโลก ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้เป็นอย่างดี การที่เขานั้นจะเป็นคนที่ถูกหรือไม่นั้น ไม่ใช่ว่าคุณจะพูดออกมาแล้วเป็นอย่างที่คุณพูด แต่ถ้าหากว่าวันนี้คุณต้องการมาหาเรื่องละก็ ได้โปรดรีบออกไปโดยเร็วด้วย ผมไม่ต้องการให้เกิดเหตุปะทะกันรุนแรง ถ้าหากไม่ใช่ละก็ คุณได้โปรดดูสิ่งของในร้านของพวกเราได้ปกติ อย่าได้พูดอะไรแบบนี้อีก ”

ทุกคนต่างก็มองรพีพงษ์ด้วยสายตาที่ดูถูก เห็นได้ชัดว่าเขานั้นเป็นคนที่ไร้ชื่อเสียง แล้วมีสิทธิ์อะไรที่จะชี้แนะปรมัตถ์

อีกทั้งยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง นั้นก็คือรพีพงศ์ยังดูเด็กเกินไปในความเป็นจริง ซึ่งไม่เหมือนกับคนที่มีความรู้สะสมจากประสบการณ์สูง เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินบุคคลคนอันดับหนึ่งของโลกในด้านการประเมินวิเคราะห์วัตถุโบราณอย่างปรมัตถ์ได้

“ เด็กคนนี้โผล่มาจากตรงไหนมาเนี่ย ถึงได้กล้าสงสัยในการตัดสินของปรมัตถ์ ชั่งไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง ”

“ คาดว่านี้ก็คงเป็นคนที่ไร้สมองไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย อีกทั้งยังวิ่งมาที่ร้านของปรมัตถ์เพื่อที่จะก่อปัญหา ไม่แน่ว่านี้อาจเป็นคนที่ฝ่ายตรงข้ามจ้างมาป่วนก็ได้ ”

“ พูดได้ถูกต้อง เขายังพูดอีกว่าในที่นี้ยังมีของปลอมชิ้นที่สามอยู่ด้วย ถ้าหากว่าเขาสามารถหามันเจอ งั้นทำไมสองชิ้นแรกนั้นเขาถึงหาไม่เจอล่ะ ผมคิดว่าเขาก็คงจะมาพูดเรื่อยเปื่อยแถวนี้นะสิ คนแบบสงสัยสมองคงจะมีปัญหา มาถึงร้านท่านอาจารย์ปรมัตถ์ทั้งที่ยังจะก่อเรื่องอีก รนหาที่ตายจริง ๆ ”

……

ไกรเดชและทั้งสองคนก็มองมายังรพีพงษ์ด้วยสายตาที่ลังเล ซึ่งคนอื่นนั้นไม่รู้ว่ารพีพงษ์นั้นหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นเจอแล้ว แต่พวกเขารู้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ดีว่าความสามารถด้านการประเมินวัตถุโบราณของเขานั้นถือว่าสูงมาก

แต่ว่าการที่รพีพงษ์ออกมายืนพูดแบบนั้น ก็เหมือนกับการท้าทายอำนาจและบารมีของปรมัตถ์ พวกที่ยกย่องปรมัตถ์เหมือนกับไอดอลนั้น คงไม่ไว้หน้าเขาแน่นอน

ไกรเดชทำสายตาล่อกแล่ก และยิ้มขึ้นมา แล้วพูดว่า : “ คุณรพีครับ เป็นเพราะคุณตาลายหรือเปล่า ถึงแม้ท่านอาจารย์ปรมัตถ์จะไม่ได้ถูก แต่ก็คงไม่ดูพลาดหลอก……”

“ ด้านในนั้นมีของที่ปลอมชิ้นที่สามแน่นอน” รพีพงษ์ยืนยันที่จะพูด

หลังจากที่เขาเดินไปด้านหน้า พร้อมกับจ้องหน้าปรวิทย์ พูดว่า : “ ตามความคิดของผมแล้ว ถ้าหากว่าคุณขายของปลอมแบบนั้นออกไป เมื่อมีคนมองออก มันก็เป็นการทำลายชื่อเสียงของปรมัตถ์อย่างแท้จริงนะ ”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท